เวลาเราคิดถึงนโยบายที่ ‘ไม่ใช่เรื่องของเด็ก’ โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สวัสดิการ-บริการสาธารณะ การพัฒนา ความมั่นคง-ปลอดภัย-ยุติธรรม ไปจนถึงเรื่องการเมือง-การบริหารประเทศ หลายครั้งเรามักมองข้ามไปว่า นโยบายเหล่านี้ก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตเด็กและเยาวชนเช่นกัน ปัญหา ความคิดเห็น และบทบาทของพวกเขาจึงมัก ‘ตกหล่น’ จากสมการการกำหนดนโยบายไปโดยปริยาย
ในโอกาสวันเด็ก 101 PUB ชวนอ่านผลงานวิจัยที่ ‘เหมือนจะไม่ใช่เรื่องของเด็ก’ ใหม่ ผ่านแง่มุมเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน ด้วยความหวังว่าเสียงของพวกเขาจะถูก ‘รับฟังอย่างมีความหมาย’ ในกระบวนการนโยบายทุกเรื่องมากขึ้น
‘เงินอุดหนุนเกษตรกร’ ก็เป็นเรื่องของเด็ก
ในขณะที่เกษตรกรเป็นกลุ่มประชากรตามอาชีพที่ยากจนที่สุดของไทย ทราบหรือไม่ว่าเด็กและเยาวชนอายุไม่เกิน 25 ปีถึง 9.5 ล้านคน หรือ 48.4% เกิดและเติบโตอยู่ในครัวเรือนเกษตรกร[1]101 PUB คำนวณจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ (2021) ปัญหาเกษตรกรยากจนจึงเท่ากับปัญหาที่เด็กและเยาวชนเกือบครึ่งประเทศจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวอย่างเพียงพอและเหมาะสมด้วย
หากใช้เส้นความยากจนเป็นเกณฑ์ เด็กและเยาวชนราว 1.8 ล้านคน หรือ 9.1% อาศัยอยู่ในครัวเรือนเกษตรกรยากจน ครัวเรือนกลุ่มนี้มีเงินเลี้ยงดูส่งเสียพวกเขาเฉลี่ยต่ำกว่า 2,803 บาท/เดือน/คน และรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาได้เพียง 249 บาท/เดือน น้อยกว่าค่าเฉลี่ยของครัวเรือนทั้งประเทศที่ 337 บาท/เดือน ประมาณ 26.1%[2]101 PUB คำนวณจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ (2021)
ในบริบทดังกล่าว ปัญหาของนโยบาย ‘เงินอุดหนุนเกษตรกร’ ซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาเกษตรกรยากจนได้ดีเท่าที่ควร ซ้ำร้าย ยังกลับยิ่ง ‘ขุดหลุมฝังเกษตรกร’ ลงไปในวงจรความยากจนและเหลื่อมล้ำ จึงนับเป็นความล้มเหลวของรัฐบาลในการเติมทุนสนับสนุนลูกหลานของพวกเขาให้เติบโตได้อย่างมีคุณภาพ-เต็มศักยภาพ และอาจส่งผลให้เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ต้องติดกับดักความยากจนข้ามรุ่น
‘บ้านในเมืองแพง-รัฐสร้างบ้านไม่ตอบโจทย์’ ก็เป็นเรื่องของเด็ก
ปัญหาบ้านในเมืองแพงส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนอย่างน้อยสองทาง
ทางแรกคือเด็กและเยาวชนเมืองจำนวนมากต้องเติบโตขึ้นมาในบ้านที่คุณภาพไม่เหมาะสม ซึ่งย่อมบั่นทอนสุขภาวะและพัฒนาการของพวกเขา ในกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ เด็กและเยาวชนอายุไม่เกิน 25 ปีถึง 2.3 ล้านคน หรือ 90.4% ก็อาศัยอยู่ในครัวเรือนรายได้น้อยถึงปานกลาง ซึ่งเผชิญปัญหาค่าใช้จ่ายเรื่องบ้านสูงเกินไป[3]101 PUB คำนวณจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ (2021) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (2017)
อีกทางหนึ่งคือเยาวชนจะสามารถมีบ้านดีๆ ในเมืองเป็นของตัวเองได้ยากมาก – ยากยิ่งกว่าคนรุ่นก่อนหน้า – อย่าลืมว่าพื้นที่เมืองเป็นศูนย์รวมโอกาส เยาวชนจำนวนมากต้องย้ายเข้ามาอยู่เพื่อเรียนสิ่งที่ชอบ ทำงานที่ใช่ สร้างเนื้อสร้างตัว หรือสร้างครอบครัวแล้วให้ลูกมีโอกาสดีๆ ฉะนั้น ถ้าการมีบ้านดีๆ ในเมืองเป็นได้แค่ความฝันอันเลื่อนลอย ความฝันอื่นในชีวิตของพวกเขาก็จะเป็นจริงยากตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม นโยบาย ‘สร้างบ้านให้คนเมือง’ ของรัฐบาล (เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร) กลับแทบไม่สามารถสนับสนุนครัวเรือนรายได้น้อยถึงปานกลางและเยาวชนได้เลย เพราะเน้นสร้างบ้านสำหรับ ‘ขาย’ ซึ่งไม่ยืดหยุ่นต่อการย้ายที่อยู่และการเปลี่ยนแปลงในชีวิต อันเป็นเรื่องปกติ-จำเป็นของทั้งสองกลุ่ม ขณะเดียวกัน บ้านขายย่อมมีราคาสูงมากจนพวกเขาต้องกู้เงินมาซื้อ แต่พวกเขาก็มักกู้เงินก้อนโตเช่นนั้นไม่ผ่าน
หากรัฐบาลไม่เปลี่ยนนโยบายดังกล่าวใหม่ให้สนับสนุนพวกเขาให้มีบ้านที่ดีได้จริง ก็เท่ากับรัฐบาลกำลังปล่อยให้คุณภาพชีวิตและความฝันของเด็กและเยาวชนไทยค่อยๆ ถูกบ่อนทำลายลง
‘กรุงเทพฯ ไม่เอื้อให้ใช้มอเตอร์ไซค์’ ก็เป็นเรื่องของเด็ก
เด็กและเยาวชนกรุงเทพฯ แทบทุกคนต้องเคยเดินทางสัญจร-ส่งของส่งความคิดด้วย ‘มอเตอร์ไซค์’ โดย 60.4% อาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีมอเตอร์ไซค์อย่างน้อย 1 คัน[4]101 PUB คำนวณจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ (2021) ส่วนที่เหลือก็เชื่อว่าต้องเคยใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาไม่มากก็น้อย
ดังนั้น ปัญหาที่ผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ในมหานครแห่งนี้ต้องพบเจอ จึงอาจนับได้ว่าเป็นปัญหาของเด็กและเยาวชนชาวกรุงฯ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถูกห้ามใช้ถนนหลายประเภท ขาดสิ่งอำนวยความสะดวกในยามฝนตกหรืออากาศไม่เอื้อต่อการขับขี่ ไม่มีที่จอดที่เหมาะสม และเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุสูง
ปัญหาข้อหลังสุดนี้สำคัญยิ่ง เพราะในปี 2021 เยาวชนอายุ 15-24 ปีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์มากถึง 136 ราย คิดเป็น 23.9% ของจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั้งหมดในกรุงเทพฯ ถือเป็นสัดส่วนสูงสุดเมื่อเทียบกับช่วงอายุและประเภทยานพาหนะอื่น[5]101 PUB คำนวณจากข้อมูลกรมควบคุมโรค (2022)
ในแง่นี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของกรุงเทพฯ เพื่อเอื้อให้ผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ขับขี่ได้อย่างสะดวกปลอดภัย จึงเท่ากับเสริมสร้างสวัสดิภาพและความปลอดภัย ป้องกันการบาดเจ็บ พิการ และเสียชีวิต ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนกรุงเทพฯ ด้วย
‘ควบรวมสัญญาณมือถือ-อินเทอร์เน็ต’ ก็เป็นเรื่องของเด็ก
ในปัจจุบัน การใช้อินเทอร์เน็ตแทบจะเรียกได้ว่าเป็น ‘ปัจจัยที่ห้า’ ในชีวิตของเด็กและเยาวชนไทย ตามรายงานของ คิด for คิดส์ ในปี 2022 เยาวชนอายุ 15-25 ปีใช้เวลารับสื่อออนไลน์เฉลี่ยมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน โดยกลุ่มที่เรียนเต็มเวลา 97.0% ใช้อินเทอร์เน็ตในการเรียน ส่วนกลุ่มที่ทำงานเต็มเวลา 70.5% ใช้อินเทอร์เน็ตในการทำงาน เยาวชนเกือบทั้งหมดยังใช้อินเทอร์เน็ตโทรและส่งข้อความ (97.6%) ค้นข้อมูล (97.1%) ใช้โซเชียลมีเดีย (94.7%) ซื้อสินค้า (86.8%) และเล่นเกม (81.8%)
อย่างไรก็ดี เด็กและเยาวชนจำนวนมากยังประสบปัญหาการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดยเด็กและเยาวชนอายุ 6-24 ปีราว 3.4 แสนคน หรือ 2.1% ไม่ได้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างสิ้นเชิง ส่วนกลุ่มที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้แต่ยากจนก็ประสบปัญหาค่าบริการสัญญาณมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้านแพง โดยในไตรมาส 1/2021 อัตราค่าบริการสัญญาณมือถือเฉลี่ยอยู่ที่ 453 บาท/เลขหมาย/เดือน คิดเป็นถึง 13.8% ของรายได้ต่อหัวต่อเดือนของครัวเรือนที่รายได้ต่ำสุด 20% แรก
การควบรวม ‘ทรู-ดีแทค’ และ ‘AIS-3BB’ จะทำให้ตลาดโทรคมนาคมมีผู้ให้บริการแข่งขันกันลดลงและกระจุกตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ค่าบริการพุ่งสูงขึ้นจากระดับปัจจุบัน
หมายความว่า เด็กและเยาวชนจำนวนมากขึ้นจะไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ถูกตัดโอกาสในการค้นคว้า เรียนรู้ ทำงาน สื่อสาร และทำกิจกรรมอีกนานัปการผ่านโลกออนไลน์ ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลและความเหลื่อมล้ำในมิติอื่นระหว่างเด็กและเยาวชนต่างชนชั้นให้รุนแรงยิ่งขึ้น
‘พ.ร.ก.ฉุกเฉิน’ ก็เป็นเรื่องของเด็ก
ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2020 – 30 กันยายน 2022 รัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยอ้างความจำเป็นในการใช้รับมือกับวิกฤตโควิด
อย่างไรก็ดี ปรากฏชัดเจนว่ากฎหมายนี้ถูกใช้เครื่องมือในการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก รวมถึงกดปราบการชุมนุมและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ซึ่งรวมถึงเด็กและเยาวชนด้วย
จากข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รัฐบาลดำเนินคดีกับเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีด้วยข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งสิ้น 237 คนตลอดช่วงเวลาบังคับใช้[6]ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (2022)
แม้ปัจจุบันรัฐบาลจะยกเลิกประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉบับนี้แล้ว แต่หากกฎหมายและกระบวนวิธีการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินยังไม่ถูกปฏิรูปเสียใหม่ ก็อาจถูกนำกลับขึ้นมาใช้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ-คุกคามเด็กและเยาวชนได้ทุกเมื่อ