ปราบมิจฯ ให้อยู่หมัด ต้องมอบหน้าที่ให้ธุรกิจร่วมรับผิดชอบ

ประเด็นสำคัญ

  • มิจฉาชีพปรับตัวหลบเลี่ยงมาตรการของรัฐอยู่เสมอ ส่งผลให้มาตรการที่ภาครัฐใช้อยู่ในปัจจบุัน (กฎหมายลงโทษผู้เกี่ยวข้อง อายัดบัญชีม้าซิมผี ให้ความรู้ประชาชน) ไม่เพียงพอป้องกันการหลอกลวงออนไลน์
  • ในต่างประเทศจึงมอบหน้าที่ให้เอกชนช่วยป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวง โดยการวางบทบาทให้เอกชนร่วมป้องกันนั้น 1. ให้เอกชนเป็นผู้ป้องกันหน้างาน 2. ให้เอกชนร่วมป้องกันทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ 3. มีกลไกความรับผิดชอบหากเอกชนไม่ทำหน้าที่ป้องกัน
  • ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศตัวอย่างที่ดึง ค่ายมือถือ-บริษัทแพลตฟอร์ม-สถาบันการเงิน มาป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงให้โอนเงิน ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศตัวอย่างที่ดึง ค่ายมือถือ-สถาบันการเงิน มาช่วงป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกโกงจากแอปพลิเคชั่นดูดเงิน

ทุกวันนี้มีข่าวคนไทยถูกมิจฉาชีพหลอกกันแทบไม่เว้นวัน ทั้งโดนหลอกให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่มีอยู่จริงบ้าง ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกบ้าง โดนหลอกให้ลงแอปดูดเงินบ้าง หรือกระทั่งโดนหลอกให้ลงเงินกับธุรกิจเครือข่ายอย่างกรณีดิไอคอนบ้าง จนแทบจะเรียกได้ว่า ‘การโดนหลอก’ กลายเป็น ‘นิวนอร์มอล’ ของคนไทยไปแล้ว

หลายคนจึงเกิดคำถามว่า “ทำไมคนไทยถึงถูกหลอกง่ายขนาดนี้” บางคนชี้ว่าก็เพราะคนไทยนั้นไร้เดียงสาขาดความรู้เชื่อคนง่าย (เพราะฉะนั้นรัฐควรต้องเร่งให้ความรู้ประชาชน) ส่วนบางคนชี้ว่าก็เพราะคนไทยนั้นมีกิเลส โลภ โดนมิจฉาชีพล่อลวงหน่อยก็ติดกับแล้ว

ในขณะที่บางคนอาจขยับไปมองอีกมุมหนึ่งและตั้งคำถามว่า หรือรัฐไทยยังจัดการมิจฉาชีพไม่ดีพอ?

101 PUB จึงขอเชิญผู้อ่านทุกท่านไปสำรวจว่าประเทศอื่นนั้นมีมาตรการจัดการกับมิจฉาชีพออนไลน์อย่างไร? เพื่อชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์การระบาดของการหลอกลวงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของคนในชาติเพียงอย่างเดียว แต่ที่สำคัญคือขึ้นกับระบบการป้องกันด้วย

บทความนี้เริ่มต้นจากการอธิบายให้เห็นวิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพ ตามมาด้วยการพูดถึงแนวทางการจัดการของรัฐไทย และสุดท้ายจะพาไปสำรวจแนวทางที่หลายประเทศใช้เพื่อยกระดับการป้องกันการหลอกลวงออนไลน์

ประเทศไทยเสียหายจากการถูกหลอกลวงออนไลน์แค่ไหน?

ข้อมูลการสำรวจสถานการณ์การโกงออนไลน์ในไทยปี 2024 ประมาณการว่า คนไทยสูญเสียจากการถูกหลอกลวงออนไลน์เกือบ 600,000 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 3.4% ของ GDP[1]https://www.gasa.org/_files/ugd/7bdaac_0facba990813403a9f41ce9713577619.pdf สัดส่วนความเสียหายนี้นับว่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยอาจมีคนไทยมากถึงราว 18-20 ล้านคนที่เคยสูญเสียทรัพย์สินจากการถูกหลอกลวงทางออนไลน์[2]https://www.hfocus.org/content/2024/05/30458

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเกิดจากการหลอกลงทุนมากที่สุด คิดเป็น 40.3% ของมูลค่าความเสียหาย ตามสถิติการแจ้งความออนไลน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือการหลอกลวงด้วยการข่มขู่ (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) คิดเป็น 12.8% ของมูลค่าความเสียหาย อันดับสามคือการหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงาน คิดเป็น 11.8% ของมูลค่าความเสียหาย อันดับสี่คือการหลอกขายของคิดเป็น 4.5% ของมูลค่าความเสียหาย[3]https://www.prachachat.net/ict/news-1514260

มิจฉาชีพในไทยมีกลยุทธ์ในการหลอกลวงเอาเงินจากเหยื่ออย่างไร?

ถึงแม้ว่ามิจฉาชีพจะมีวิธีการสารพัดเพื่อหลอกลวงดูดเอาเงินจากเหยื่อ แต่เมื่อพิจารณาจากแนวทางการหลอกลวงแล้วสามารถแบ่งออกมาได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ การหลอกลวงให้เหยื่อโอนเงิน (Authorized Push Payment – APP Scam) กับการหลอกลวงยึดบัญชีเหยื่อ (Account Takeover – ATO scam)

หลอกลวงให้เหยื่อโอนเงิน (APP Scam)

ด้วยวิธีการนี้ มิจฉาชีพจะเกลี้ยกล่อมจูงใจเหยื่อด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ เพื่อให้ตัวเหยื่อโอนเงินไปที่บัญชีของมิจฉาชีพเอง หรือมอบข้อมูลส่วนบุคคลที่มิจฉาชีพสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต[4]https://www.forbes.com/uk/advisor/personal-finance/what-is-app-fraud/ เช่น การเปิดบัญชีหรือซิมโทรศัพท์เพื่อใช้ในการหลอกลวงผู้อื่น เป็นต้น มิจฉาชีพต้องอาศัยกลยุทธ์การหลอกลวงที่สอดคล้องกับบริบทความต้องการของคนในสังคม โดยมีแนวทางในการหลอกลวงหลัก ดังนี้[5]ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รวบรวมกรณีศึกษาที่ประชาชนถูกหลอกลวง และจัดแบ่งประเภทไว้สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ https://24hicarecenter.com/pctpr

การหลอกลงทุน: มิจฉาชีพจะชักชวนเหยื่อผ่านการโฆษณาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูง เช่น หุ้น คริปโตฯ ทองคำ สกุลเงินต่างประเทศ ฯลฯ ผ่านโซเชียลมีเดียหรือ SMS[6]หลายครั้งมิจฉาชีพจะสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการปลอมแปลงเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง เมื่อเหยื่อสนใจลงทุน มิจฉาชีพจะติดต่อเข้าไปพูดคุยกับเหยื่อโดยทำให้รู้สึก ‘โลภ’ และ ‘เชื่อใจ’ มากขึ้น เช่น ดึงเข้ากลุ่มไลน์ที่มีกูรูสอนให้ลงทุนพร้อมให้ข้อมูลวงใน[7]ในกลุ่มไลน์มักมีหน้าม้า ที่แกล้งทำเป็นลงทุนตามที่กูรูแนะนำและได้ผลตอบแทนที่สูง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและกดดันเหยื่อให้ลงทุน ในช่วงแรกๆ เหยื่อจะระวังตัวและลงทุนในจำนวนเงินน้อยๆ ในขั้นตอนนี้มิจฉาชีพก็จะมอบผลตอบแทนให้ตามที่โฆษณาไว้ เพื่อจูงใจให้เหยื่อลงทุนเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเหยื่อลงเงินก้อนใหญ่แล้ว มิจฉาชีพจะหลบหนีหายไปพร้อมกับเงินของผู้ลงทุน

การข่มขู่: มิจฉาชีพมักจะติดต่อเหยื่อผ่านการโทรหาโดยตรง แล้วอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ เช่น ตำรวจ เจ้าหน้าที่การประปา เจ้าหน้าที่ธนาคาร เพื่อแจ้งว่าเหยื่อมีความผิดบางอย่าง[8]มิจฉาชีพมีการกลยุทธ์ในการสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการแอบอ้างเป็นบุคคลที่มีอยู่จริง … Continue reading อาทิ มีชื่อในขบวนการฟอกเงิน เมื่อเหยื่อเกิดความ ‘กลัว’ แล้ว มิจฉาชีพก็จะเสนอความช่วยเหลือให้ โดยให้เหยื่อโอนเงินเข้าบัญชีของเจ้าหน้าที่ (ปลอม) เพื่อดำเนินการตรวจสอบที่มาทางการเงินและรับรองความบริสุทธิ์ให้ ซึ่งเมื่อเหยื่อโอนเงินให้แล้วมิจฉาชีพจะตัดการติดต่อทันที

หลอกว่ามีงานให้ทำ: มิจฉาชีพชักชวนเหยื่อด้วยการโฆษณารับสมัครงานรายได้ดีผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยมิจฉาชีพจะหลอกให้เหยื่อมีความ ‘หวัง’ ที่จะมีรายได้ด้วยการมอบภารกิจให้ทำ โดยเริ่มจากทำงานง่ายๆ เช่น กดไลก์โปรโมทเพจ ตามมาด้วยการให้ช่วยกดสั่งซื้อสินค้าจำนวนน้อยๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายแล้วมิจฉาชีพจะให้เงินคืน แต่เงินที่เหยื่อได้รับคืนจะไม่สามารถถอนออกมาได้จนกว่าจะโปรโมตได้ตามเป้า เพื่อหลอกล่อให้เหยื่อโอนเงินซื้อสินค้ามากๆ

หลอกว่ามีเงินให้กู้: มิจฉาชีพโฆษณาตามช่องทางโซเชียลมีเดียเชิญชวนให้คนมากู้เงิน เมื่อเหยื่อสมัครเพื่อขอกู้เงิน มิจฉาชีพจะติดต่อเหยื่อในช่องทางส่วนตัวเพื่อแจ้งให้โอนค่าธรรมเนียม ค่ามัดจำ หรือค่าปลดล็อกเพื่อให้กู้ได้มากขึ้น ซึ่งต่อให้เหยื่อโอนเงินค่าดำเนินการเหล่านี้ไปก็ไม่ได้รับเงินกู้อยู่ดี

โดยสรุปแล้ว การหลอกให้เหยื่อโอนเงินเริ่มต้นจากการที่มิจฉาชีพเข้าถึงเหยื่อด้วยการโทรหาเหยื่อโดยตรง ส่งข้อความ SMS หรือประกาศชักชวนในช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยให้ข้อเสนอต่างๆ ที่ทำให้ ‘อารมณ์’ ครอบงำ ทั้งอาจสับสน กลัว หรือโลภ แล้วบีบให้เหยื่อโอนเงินเข้าบัญชีของมิจฉาชีพ

การหลอกลวงให้โอนเงินเป็นอาชญากรรมทางออนไลน์ที่ภาครัฐต้องให้ความสำคัญเนื่องจากสร้างความเสียหายมหาศาล โดยการหลอกลวง 4 ประเภทที่ยกตัวอย่างไปสร้างความเสียหายรวมกันเกือบ 70% ของมูลค่าความเสียหายที่เกิดจากการหลอกลวงออนไลน์ทั้งหมด การจะยับยั้งไม่ให้ประชาชนถูกหลอกให้โอนเงินจำเป็นต้องหาวิธีที่จะช่วยเตือนในหลายขั้นตอน เพื่อไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงได้ง่าย

การหลอกลวงยึดบัญชีเหยื่อ (ATO Scam)

ในวิธีการนี้ มิจฉาชีพจะหาวิธีการเจาะระบบออนไลน์ของธนาคาร เพื่อเข้าไปควบคุมบัญชีของเหยื่อ ก่อนที่จะทำธุรกรรมโอนเงินออกจากบัญชีเหยื่อเข้าบัญชีของมิจฉาชีพ โดยกระบวนการในต่างประเทศมักเริ่มต้นจากการที่มิจฉาชีพจะหาข้อมูลบัญชีและรหัสผ่านของเหยื่อในที่ซื้อขายกันในเว็บเถื่อน ก่อนที่จะใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นจุดตั้งต้นเพื่อแฮ็กระบบธนาคาร (อาจจะใช้ bot ร่วมด้วย) เพื่อทำให้เกิดธุรกรรม[9]https://www.imperva.com/learn/application-security/account-takeover-ato/#:~:text=Account%20Takeover%20(ATO)%20is%20an,data%20breaches%20and%20phishing%20attacks.

ในกรณีของประเทศไทย แอปดูดเงินคือประเภทการหลอกลวงแบบยึดบัญชีเหยื่อ โดยมิจฉาชีพมักจะใช้วิธีการส่งลิงก์ให้เหยื่อผ่าน SMS และหลอกให้เหยื่อโหลดแอปพลิเคชันปลอม[10]หลอกว่าเหยื่อยังไม่ได้ชำระค่าไฟฟ้า ให้โหลดแอปการไฟฟ้าในลิงก์เพื่อจ่ายเงิน … Continue reading เมื่อเหยื่อติดตั้งแอปพลิเคชันแล้วจะต้องลงทะเบียนด้วยการกรอกข้อมูลส่วนบุคคล ตั้งค่ารหัสผ่าน 6 หลัก (PIN) รวมถึงให้สแกนใบหน้า ส่งผลให้มิจฉาชีพซึ่งเป็นเจ้าของแอปพลิเคชันปลอมนี้ได้ข้อมูลส่วนบุคคลสำคัญทั้งหมดสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงมีวีดีโอบันทึกภาพใบหน้าเพื่อใช้ปลดล็อกแอปพลิเคชันด้วย[11]สามารถทำความเข้าใจวิธีการการทำงานของแอปดูดเงินได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=yLB72G_whmg

นอกจากนี้ แอปพลิเคชันปลอมเหล่านี้จริงๆ แล้วเป็นแอปพลิเคชันสำหรับการควบคุมมือถือทางไกล ส่งผลให้มิจฉาชีพสามารถเข้าควบคุมมือถือของเหยื่อได้ทันทีหลังลงทะเบียนเสร็จ ซึ่งมิจฉาชีพก็จะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้มาจากเหยื่อทำธุรกรรมโอนเงินออกจากบัญชีของเหยื่อเข้าบัญชีที่มิจฉาชีพจัดเตรียมไว้

จากกระบวนการทั้งหมดจะเห็นได้ว่า การหลอกลวงประเภท ‘แอปดูดเงิน’ นั้นแตกต่างจากการหลอกลวงประเภทอื่น กล่าวคือธุรกรรมที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการที่เหยื่อโอนเงินให้มิจฉาชีพด้วยตัวเอง แต่เกิดจากการที่มิจฉาชีพอาศัยช่องว่างของระบบธุรกรรมออนไลน์เข้ามาฉวยเงินออกจากบัญชีของเหยื่อ[12]การหลอกลวงประเภทนี้อาศัยช่องโหว่ของระบบการทำธุรกรรมออนไลน์ รัฐบาลไทยจึงจัดให้การหลอกลวงประเภทแอปดูดเงินเป็นภัยคุกคามระดับร้ายแรง … Continue reading

ในการรับมือกับการหลอกลวงประเภทแอปดูดเงิน ผู้ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องทำให้ระบบการทำธุรกรรมออนไลน์มีความปลอดภัยมากขึ้น ปิดช่องโหว่ต่างๆ ที่อาจทำให้มิจฉาชีพใช้ประโยชน์ขโมยเงินจากเหยื่อได้

รัฐบาลไทยจัดการการหลอกลวงออนไลน์อย่างไร?

ที่ผ่านมาภาครัฐมองเห็นว่าการหลอกลวงออนไลน์เป็นปัญหาสำคัญและได้ผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อยับยั้งป้องกันไม่ให้คนไทยถูกหลอกลวงออนไลน์ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 แนวทางหลัก

มาตรการปราบปรามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อโจรกรรม

ในปี 2023 รัฐบาลไทยได้ผลักดันกฎหมายเพิ่มอำนาจให้ตำรวจจัดการกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยกำหนดโทษผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และกำหนดให้ภาคธุรกิจต้องเปิดเผยข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้สามารถระงับเหตุได้ทันท่วงที[13]พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2566

ถึงแม้ว่าทางเจ้าหน้าที่จะมีอำนาจในการดำเนินการมากขึ้น แต่การตามจับมิจฉาชีพหลังก่อเหตุนั้นมีข้อจำกัดอย่างมาก เนื่องจากมิจฉาชีพที่หลอกลวงประชาชนจำนวนมากมีฐานปฏิบัติการในต่างประเทศ[14]https://www.bbc.com/thai/articles/cgxg7lqnv4no ซึ่งอยู่นอกขอบเขตอำนาจของรัฐบาลไทย นอกจากนี้ มิจฉาชีพมักใช้บัญชีที่จดทะเบียนในชื่อผู้อื่น (บัญชีม้า) เป็นบัญชีรับเงิน[15]หลายครั้งเจ้าของบัญชีม้าไม่รู้เห็นต่อการหลอกลวง เนื่องจากมิจฉาชีพขโมยข้อมูลไปเปิดบัญชี https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1142664 … Continue reading ส่งผลให้เจ้าหน้าที่มักสาวไปไม่ถึงตัวการก่อเหตุ

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เจ้าหน้าที่จับมิจฉาชีพได้ก็ไม่สามารถนำเงินที่หลอกลวงไปคืนกลับมาได้ เนื่องจาก มิจฉาชีพจะโอนเงินที่หลอกมาได้ออกจากบัญชีม้ากระจายไปหลายบัญชีและโอนออกต่อเนื่องเป็นทอดๆ ภายในเพียงไม่กี่นาที[16]https://thaipublica.org/2023/03/electronic-crime-law-effective-now-01/ ที่ผ่านมาจึงสามารถอายัดคืนได้เพียง 15% ของจำนวนที่แจ้งอายัดเท่านั้น[17]https://www.prachachat.net/ict/news-1514260 ซึ่งต่อให้อายัดได้ก็ต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของอีก ผู้เสียหายจึงมีโอกาสที่จะได้รับคืนต่ำ

มาตรการปราบปรามซิมผีและบัญชีม้า

โดยปกติแล้ว มิจฉาชีพมักหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมด้วยการใช้เบอร์และบัญชีธนาคารที่ลงทะเบียนในชื่อผู้อื่น (ซิมผีและบัญชีม้า) ในการโจรกรรม ภาครัฐจึงมองว่าการปราบปรามซิมผีและบัญชีม้าจะมีผลทำให้มิจฉาชีพทำงานยากมากขึ้น และคาดว่าการหลอกลวงจะลดน้อยลง

ในการปราบปรามซิมผีนั้น ภาครัฐสามารถอายัดหมายเลขโทรศัพท์รวมกันได้ประมาณ 2.9 ล้านหมายเลข[18]รองนายกเร่งกวาดบัญชีม้า จากซิมของผู้ที่ครอบครองซิมมือถือตั้งแต่ 6 ซิมขึ้นไปแล้วไม่ได้ไปยืนยันตัวตน[19]https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B5/220912 ซิมที่โทรออกเกิน 100 ครั้งต่อวัน และซิมของผู้ที่มีชื่อลงทะเบียนซิมไม่ตรงกับชื่อในบัญชี Mobile Banking

ส่วนการปราบปรามบัญชีม้านั้น ในปัจจุบันภาครัฐสามารถระงับการทำธุรกรรมออนไลน์ของบัญชีม้าได้กว่า 1 ล้านบัญชี[20]รองนายกเร่งกวาดบัญชีม้า โดยให้ธนาคารพาณิชย์ต้องระงับการทำธุรกรรมออนไลน์ของบุคคลที่มีรายชื่อในฐานข้อมูล[21]https://www.bot.or.th/th/news-and-media/news/news-20240613.htmlของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ Central Fraud Register (CFR)[22]ระบบที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ … Continue reading รวมทั้งให้ธนาคารพาณิชย์สร้างมาตรฐานร่วมกันในตรวจจับบัญชีต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการปราบปรามบัญชีม้าและซิมผีจะทำให้มิจฉาชีพทำงานได้ยากขึ้น แต่มิจฉาชีพเองก็สามารถปรับตัวหาเครื่องมืออันใหม่มาทดแทน ทั้งการหาซื้อบัญชีม้าและซิมผีทางอินเทอร์เน็ต[23]https://www.prachachat.net/ict/news-1538913 หันไปเข้าถึงเหยื่อผ่านช่องทางออนไลน์แทนการโทร หรือหันไปใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลรับเงินแทนการใช้บัญชีม้า[24]https://www.uni.net.th/index.php/news/9445/ การปราบปรามจึงไม่สามารถทำให้มิจฉาชีพหมดไปได้

ตัวอย่างการซื้อขายบัญชีม้า ซิมผี รวมถึงกระเป๋าเงินดิจิทัล ในกลุ่มเฟสบุ๊ก (สืบค้นวันที่ 24 ตุลาคม 2024)

มาตรการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน

ในเชิงอุดมคติ หากประชาชนมีความรู้ คอยระวังตัวตลอดเวลา ไม่เชื่อคนง่าย ไม่รีบโอนเงิน มิจฉาชีพก็คงจะไม่สามารถหลอกเอาเงินจากเหยื่อได้ รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ความรู้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน โดยได้จัดทำฐานข้อมูลความรู้ของทางราชการเพื่อผลิตสื่ออธิบายการโกงแต่ละประเภท[25]https://24hicarecenter.com/pctpr ทำงานประสานกับภาคธุรกิจให้ความรู้ประชาชนที่ใช้บริการของตน[26]ร่วมมือกับ tiktok https://www.infoquest.co.th/2024/416933 และร่วมมือกับ whoscall https://www.infoquest.co.th/2024/430364 รวมถึงที่ค่ายมือถือและธนาคารต่างๆ จัดทำสื่อความรู้เกี่ยวกับการโกงของตนเอง นอกจากนี้ สื่อสารมวลชนทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ และอินเทอร์เน็ตเองก็ลงข่าวเกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์กันโดยตลอด กล่าวได้ว่าทุกภาคส่วนของสังคมต่างผลักดันเรื่องการให้ความรู้เพื่อป้องกันการหลอกลวงออนไลน์กันอย่างขยันขันแข็ง

อย่างไรก็ตาม การเผยแพร่ความรู้ให้ประชาชนก็ยังเป็นวิธีการป้องกันที่มีข้อจำกัด เนื่องจาก 1. มิจฉาชีพใช้วิธีการที่หลากหลาย ซับซ้อน และยังพัฒนาสรรหาวิธีใหม่ๆ ที่น่าเชื่อถือมากขึ้นมาหลอกลวงประชาชนอยู่เสมอ[27]ตัวอย่างเช่น กลยุทธ์ใหม่ในเดือน ตุลาคม 2567 อ้างเป็นคนของสถาบันคุ้มครองเงินฝากหลอกให้แสกนใบหน้าเพื่อยกระดับความปลอดภัยในการคุ้มครองเงินฝาก … Continue reading จึงเป็นไปได้ยากที่จะทำให้ทุกคนรู้เท่าทันการหลอกลวงจากมิจฉาชีพในทุกวิธี 2. มิจฉาชีพมักใช้เทคนิคกระตุ้นอารมณ์ที่ถึงแม้ว่าเราจะมีความรู้ประมาณหนึ่งก็ตกเป็นเหยื่อได้[28]อ่านเพิ่มเติมเรื่องจิตวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์ของเหยื่อที่ถูกหลอกลวงออนไลน์ได้ใน https://www.the101.world/nattavudh-powdthavee-scammers-interview/ และ https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/104327 โดยใช้ข้อเสนอที่ดึงดูด เร่งรัดให้เหยื่อรีบตัดสินใจในระยะเวลาอันสั้น[29]เหยื่อเกินกว่าครึ่งตัดสินใจโอนเงินภายในไม่กี่ชั่วโมง https://www.gasa.org/_files/ugd/7bdaac_0facba990813403a9f41ce9713577619.pdf และกล่อมให้เหยื่อตัดสินใจด้วยตัวเองคนเดียว[30]เหยื่อ 80% ตัดสินใจคนเดียวตอนถูกหลอก https://www.gasa.org/_files/ugd/7bdaac_0facba990813403a9f41ce9713577619.pdf ส่งผลให้ถึงแม้ว่าเหยื่อจะตามข่าวรับรู้กลลวงของมิจฉาชีพมาบ้าง แต่เมื่อเจอสถานการณ์จริงก็หลงกลตกเป็นผู้เสียหายอยู่ดี

เห็นได้ว่ามิจฉาชีพเองก็ปรับตัวหาวิธีหลีกเลี่ยงการควบคุมจากภาครัฐอยู่เสมอ ส่งผลให้มาตรการที่ภาครัฐผลักดันทั้ง 3 แบบยังไม่เพียงพอต่อการควบคุมการระบาด รัฐไทยจึงหันไปผลักดันมาตรการเพิ่มเติมที่จะดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมป้องกัน โดยเริ่มกำหนดให้ธนาคารและค่ายมือถือมีหน้าที่บางอย่างเพื่อป้องกันการหลอกลวง

ในฝั่งของธนาคาร ปัจจุบันภาครัฐโดยธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังศึกษาจัดทำแนวปฏิบัติ (guideline) ที่กำหนดหน้าที่ให้ธนาคารพาณิชย์ต้องหาทางป้องกันไม่ให้ประชาชนโดนโกงจากแอปฯ ดูดเงิน โดยหากละเลยหน้าที่ ธนาคารต้องรับผิดชอบชดเชยความเสียหายให้เหยื่อทั้งหมด 100%[31]https://www.tba.or.th/%E0%B8%98%E0%B8%9B%E0%B8%97-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3/

ในฝั่งของค่ายมือถือ ภาครัฐเริ่มกำหนดให้เครือข่ายมือถือต้องลงทะเบียนผู้ที่จะส่ง SMS ที่มีการแนบลิงก์ เพื่อให้ผู้ให้บริการตรวจสอบลิงก์ก่อน[32]https://www.infoquest.co.th/2024/439681

ต่างประเทศจัดการการโกงออนไลน์อย่างไร?

แนวทางของภาครัฐไทยที่เริ่มมอบหน้าที่ให้ภาคเอกชนเข้าร่วมป้องกันนั้นสอดรับกับแนวโน้มการป้องกันภัยออนไลน์ในต่างประเทศ ที่หันมามอบบทบาทหน้าที่ให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องมาร่วมป้องกันภัยออนไลน์ อย่างไรก็ตาม แนวทางของไทยยังขาดการวางแนวทางป้องกันที่เชื่อมโยงกันเป็นระบบและยังไม่ครอบคลุมการหลอกลวงในทุกรูปแบบ ในส่วนต่อไปจึงขอพาไปสำรวจแนวทางที่ต่างประเทศดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมป้องกัน

ปี 2024 เป็นปีที่รัฐบาลในหลายประเทศหันมากำหนดให้ภาคเอกชนมีหน้าที่ป้องกันการหลอกลวงออนไลน์ทั้ง ญี่ปุ่น[33]รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดให้บริษัทดิจิทัลแพลตฟอร์มต้องมีแนวทางในการปราบปรามโฆษณาของมิจฉาชีพ และต้องเปิดเผยแนวทางในการปราบปราม … Continue reading อังกฤษ[34]รัฐบาลอังกฤษกำหนดให้ธนาคารต้องรับผิดชอบความเสียหายให้กับผู้เสียหาย 100% ในกรณีที่ถูกหลอกให้โอนเงิน https://www.moneysavingexpert.com/news/2023/12/banks-scam-fraud-compensation-rules-confirmed/ ไต้หวัน[35]รัฐบาลไต้หวันกำหนดให้บริษัทดิจิทัลแพลตฟอร์มต้องกำจัดโฆษณาและการส่งข้อความเพื่อการหลอกลวงในแพลตฟอร์มของตน https://focustaiwan.tw/society/202405090017 มาเลเซีย[36]รัฐบาลมาเลเซียผลักดันกฎหมายที่กำหนดให้ธนาคารต้องรับผิดชอบความเสียหายหากเหยื่อถูกหลอกลวงออนไลน์ … Continue reading สิงคโปร์[37]รัฐบาลสิงคโปร์กำหนดให้ค่ายมือถือและธนาคารต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายหากประชาชนเสียหายจากแอปดูดเงิน https://www.tookitaki.com/blog/what-is-singapores-shared-responsibility-framework-to-combat-phishing ออสเตรเลีย[38]รัฐบาลออสเตรเลียกำหนดให้ค่ายมือถือ บริษัทแพลตฟอร์มดิจิทัล และธนาคาร ช่วยประชาชนไม่ให้ถูกหลอก https://www.biocatch.com/blog/australia-scams-code-framework ฯลฯ เนื่องจากมองว่ามิจฉาชีพมักใช้บริการของภาคเอกชนเป็นเครื่องมือในการหลอกลวง หากเอกชนผู้ให้บริการช่วยยับยั้งจะทำให้การหลอกลวงออนไลน์ลดลงได้

การออกแบบให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมช่วยยับยั้งการหลอกลวงออนไลน์มีหลักการสำคัญ 3 ประการ

ประการแรก ภาครัฐต้องกระจายหน้าที่ให้ธุรกิจช่วยดูแลหน้างานให้ เนื่องจากธุรกิจรับรู้พฤติกรรมการใช้งานของมิจฉาชีพทำให้สามารถพอจะคาดเดาได้ว่าผู้ใช้งานคนไหนต้องสงสัย นอกจากนี้ ธุรกิจเป็นผู้ที่ให้บริการระหว่างเกิดเหตุจึงสามารถช่วยยับยั้งการหลอกลวงในช่วงที่มิจฉาชีพกำลังก่อเหตุได้ ซึ่งจะมีประสิทธิผลกว่าการตามจับหลังเกิดเหตุ และหากมิจฉาชีพมีการปรับตัวใช้วิธีหลอกลวงใหม่ๆ ภาคธุรกิจก็มีความคล่องตัวสูงในการเรียนรู้ปรับตัวเพื่อรับมือได้อย่างรวดเร็ว

ประการที่สอง รัฐต้องแบ่งหน้าที่ให้ธุรกิจดูแลตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำของกระบวนการหลอกลวง การที่มิจฉาชีพจะหลอกลวงเอาเงินมาจากเหยื่อได้ต้องพึ่งพาหลายบริการจากภาคธุรกิจ ทั้งบริการการสื่อสารเพื่อติดต่อเข้าหาเหยื่อ (ต้นน้ำ) ตลอดจนบริการทางการเงินเพื่อรับเงินโอนจากเหยื่อ (ปลายน้ำ) ดังนั้น จึงต้องให้ธุรกิจในแต่ละส่วนช่วยป้องกัน

ในขั้นต้นน้ำ ค่ายมือถือและธุรกิจแพลตฟอร์ม เช่น โซเชียลมีเดีย ต้องทำหน้าที่เป็นด่านแรกในการป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพเข้าถึงเหยื่อได้ โดยต้องทำระบบคัดกรองไม่ให้มิจฉาชีพใช้บริการของตนเพื่อติดต่อหลอกลวงเหยื่อ รวมถึงต้องคอยตรวจสอบและให้แจ้งเตือนผู้ใช้บริการหากตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเผชิญกับมิจฉาชีพ

ในขั้นปลายน้ำ หากมิจฉาชีพฝ่าด่านแรกเข้าถึงประชาชน และหลอกลวงให้ประชาชนโอนเงิน (หรือหลอกให้โหลดแอปดูดเงิน) ธนาคารต้องทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพได้รับเงินจากเหยื่อ โดยธนาคารต้องช่วยเตือนภัยในกรณีต้องสงสัยว่ามีโอกาสเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีมิจฉาชีพ รวมถึงต้องทำระบบป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพที่สามารถควบคุมมือถือเหยื่อสามารถโอนเงินออกได้

ประการที่สาม รัฐต้องสร้างกลไกรับผิดชอบของธุรกิจในแต่ละส่วนให้ชัดเจน หลายประเทศได้กำหนดบทลงโทษหากธุรกิจยังปล่อยให้ประชาชนถูกหลอก เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจเข้มงวดในการทำหน้าที่ รวมถึงช่วยกระตุ้นให้ธุรกิจคิดหานวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงได้ง่าย เช่น การนำเทคโนโลยีมาช่วยตรวจจับพฤติกรรมของมิจฉาชีพ[39]https://www.biocatch.com/blog/future-of-scam-detection

ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการโกงออนไลน์ทำอย่างไร?

ออสเตรเลียและสิงคโปร์คือประเทศตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของการหลอกลวงออนไลน์ โดยเสียหายจากการหลอกลวงไม่ถึง 0.5% ของ GDP[40]GASA. (2023). The Global State of Scams—2023. SCAMADVISER. ซึ่งประเทศเหล่านี้ได้ยกระดับวางแนวทางความรับผิดชอบให้กับภาคเอกชนอย่างเป็นระบบ

ผู้วิจัยเห็นว่าประเทศออสเตรเลียเป็นตัวอย่างที่ดีในการกำหนดให้ภาคเอกชนต้องมีหน้าที่ช่วยไม่ให้ประชาชนถูกหลอกให้โอนเงิน ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์มีแนวทางที่ดีในการกำหนดให้ภาคเอกชนต้องมีส่วนรับผิดชอบไม่ให้ประชาชนถูกโกงจากกลโกงควบคุมบัญชี

ออสเตรเลีย – บทบาทแต่ละภาคส่วน (Industry Codes) เพื่อป้องกันการหลอกให้โอนเงิน

ภายหลังจากที่ประเทศออสเตรเลียสูญเสียให้กับการถูกหลอกลวงออนไลน์จำนวนมาก รัฐบาลออสเตรเลียจึงผลักดันชุดมาตรการใหม่ที่ได้กำหนดแนวทางขั้นต่ำที่ภาคเอกชนในแต่ละภาคต้องปฏิบัติ (Industry Codes) เพื่อป้องกัน (Prevention) สอดส่อง (Detection) ยับยั้ง (Disrupt) และรายงาน (Report) การหลอกลวงออนไลน์ที่เกิดขึ้น[41]The Australian Treasury, 2023, Scams-Mandatory Industry Codes Consultation Paper https://treasury.gov.au/consultation/c2023-464732 โดยมาตรการใหม่จะบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้

จุดเด่นสำคัญของแนวทางออสเตรเลียคือการออกแบบที่กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบที่กระจายตัวไปหลายภาคส่วน ซึ่งครอบคลุมทั้ง ค่ายมือถือ บริษัทแพลตฟอร์ม และสถาบันการเงิน

หน้าที่ของค่ายมือถือ

แนวทางตรวจจับและการป้องกัน: 1. ให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับลักษณะพฤติกรรมในการโทรและการส่ง SMS ของมิจฉาชีพ แนวทางในการรับมือ รวมถึงช่องทางแจ้งเรื่องหากพบเจอมิจฉาชีพ 2. ทำระบบลงทะเบียนผู้ที่สามารถโทรหรือส่งข้อความ SMS ได้ 3. คอยตรวจหาการโทรหรือข้อความที่เข้าข่ายว่าเป็นมิจฉาชีพและตามหาต้นตอผู้ใช้งาน

แนวทางยับยั้ง: 1. หากตรวจพบเบอร์ที่ไม่ลงทะเบียนที่น่าสงสัยต้องระงับการใช้งานและส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานกำกับดูแล 2. ระงับสัญญาณทันทีหากระบุได้ว่าเป็นเบอร์ที่มิจฉาชีพใช้งาน

แนวทางรายงาน: แจ้งให้หน่วยงานกำกับดูแลทราบภายใน 20 วันหลังจากระงับสัญญาณเบอร์ของมิจฉาชีพ

หน้าที่ของบริษัทแพลตฟอร์ม

แนวทางป้องกัน: 1. ทำระบบระบุตัวตนของผู้ที่จะลงโฆษณาในแพลตฟอร์ม 2. ตรวจหาปฏิสัมพันธ์ที่เข้าข่ายเสี่ยงว่าจะเป็นการหลอกลวง เพื่อแจ้งเตือนหรือบล็อกการติดต่อ 3. ป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพแฮ็กบัญชีส่วนบุคคลไปใช้หลอกลวงคนในเครือข่ายสังคมของเจ้าของบัญชี

แนวทางตรวจจับและยับยั้ง: 1. แลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมิจฉาชีพกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอื่นและผู้กำกับดูแล 2. หากได้รับแจ้งเบาะแสมิจฉาชีพ ต้องดำเนินการอายัดบัญชีทันที

แนวทางดูแลผู้ใช้งาน: 1. ต้องมีช่องทางที่ผู้ใช้งานสามารถรายงานการถูกหลอกลวงที่ใช้ง่าย (user-friendly) 2. หากผู้กำกับดูแลขอข้อมูลต้องส่งให้ภายในระยะเวลาที่กำหนด

หน้าที่ของสถาบันการเงิน

แนวทางการป้องกัน: 1. นำมาตรการระบุชื่อผู้รับ (Identity of Payee) มาใช้[42]ก่อนจะโอนเงินผู้โอนต้องกรอกชื่อของเจ้าของบัญชีปลายทางให้ถูกต้อง หากชื่อที่ผู้โอนกรอกกับชื่อเจ้าของบัญชีปลายทางไม่ตรงกัน … Continue reading 2. หากตรวจพบว่าผู้ใช้งานมีพฤติกรรมเสี่ยงว่ากำลังถูกหลอกสถาบันการเงินต้องดำเนินการเพิ่มเติมก่อนที่จะปล่อยให้เหยื่อโอนเงิน[43]ธนาคารออสเตรเลียใช้ระบบตรวจจับการใช้งานของผู้บริโภคเพื่อประเมินความเสี่ยงหากผู้บริโภคถูกหลอกลวง เช่น หากผู้ใช้งานมีพฤติกรรมแปลกๆ … Continue reading 3. ต้องมีมาตรการประเมินตรวจจับธุรกรรมที่เสี่ยง เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้งาน หรืออายัดธุรกรรมนั้นไว้ก่อน

แนวทางตรวจจับและยับยั้ง: 1. ธนาคารต้องแบ่งปันข้อมูลบัญชีที่สงสัยว่าเป็นบัญชีมิจฉาชีพให้ธนาคารอื่นรับรู้ 2. หากได้รับแจ้งถึงธุรกรรมที่เข้าข่ายว่าถูกหลอกลวงต้องระงับธุรกรรมทันที และต้องร่วมมือกับธนาคารผู้รับโอนในการจัดการด้วย (กรณีที่โอนเข้าบัญชีปลายทางแล้ว)

แนวทางดูแลผู้ใช้งาน: 1. ต้องมีช่องทางที่ผู้ใช้งานสามารถรายงานความเสี่ยงในการถูกหลอกลวงที่ใช้ง่าย (user-friendly) 2. ต้องช่วยให้ผู้ถูกหลอกได้รับเงินคืนได้ง่าย เช่น ให้ธนาคารปลายทางต้องยกเลิกธุรกรรมภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากธนาคารของผู้เสียหายร้องขอ 3. หากผู้กำกับดูแลขอข้อมูลต้องส่งให้ภายในระยะเวลาที่กำหนด

หากเอกชนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องปล่อยปะละเลยจนมีผู้เสียหาย เอกชนที่ไม่ทำหน้าที่ต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนสามเท่าของกำไรที่ได้รับในช่วงที่ฝ่าฝืนไม่ทำตามมาตรฐาน หรือ 30% ของรายได้ของธุรกิจในช่วงที่ฝ่าฝืนไม่ทำตามมาตรฐาน โดยไม่เกิน 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1,280 ล้านบาท)

ทั้งนี้ กรอบมาตรการได้รับการออกแบบไว้ให้มีความยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ โดยเปิดช่องให้ธุรกิจในภาคอื่นต้องเข้ามาร่วมมีหน้าที่ป้องกันในอนาคต หากมิจฉาชีพปรับยุทธศาสตร์ไปใช้บริการของธุรกิจอื่นเป็นเครื่องมือ นอกจากนี้ หน้าที่ที่กำหนดไว้นี้ยังเป็นหน้าที่เบื้องต้นเท่านั้น ในแต่ละปีภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องต้องจัดทำรายงานประสิทธิภาพการป้องกันส่งให้ผู้กำกับดูแลด้วย เพื่อประเมินความเหมาะสมในการทำหน้าที่ที่เอกชนต้องรับผิดชอบ สุดท้าย จะต้องมีมาตรการที่เปิดพื้นที่ให้ผู้เสียหายสามารถร้องเรียนให้ผู้ให้บริการชดเชยความเสียหายได้ และหากธุรกิจสามารถเจรจาชดเชยให้ผู้เสียหายพึงพอใจได้แล้ว ก็ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวนเพื่อให้เอกชนต้องจ่ายค่าปรับให้แก่รัฐ

สิงคโปร์ – กรอบความรับผิดชอบร่วม (Shared Responsible Framework – SRF) เพื่อป้องกันการควบคุมบัญชี

รัฐบาลสิงคโปร์ได้ผลักดันมาตรการที่กำหนดให้ทั้งสถาบันการเงิน ค่ายมือถือ และผู้บริโภคร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดจากการหลอกลวงประเภทการควบคุมบัญชี (แอปดูดเงิน) เพื่อผลักดันให้ภาคเอกชนยกระดับระบบป้องกันภัยของระบบการเงิน ความน่าสนใจของกรณีสิงคโปร์คือ การสร้างความปลอดภัยของระบบการเงินของสิงคโปร์นั้นไม่ได้พึ่งพาเพียงแต่สถาบันการเงินอย่างเดียว แต่ดึงให้ค่ายมือถือมีส่วนช่วยรับผิดชอบป้องกันภัยคุกคามจากมิจฉาชีพด้วย

โดยภาครัฐได้มีข้อเสนอที่จะกำหนดให้ค่ายมือถือ และสถาบันทางการเงินมีหน้าที่ดังนี้[44]MAS and IMDA, 2023, Guideline on Share Responsibility Framework, https://www.mas.gov.sg/publications/consultations/2023/consultation-paper-on-proposed-shared-responsibility-framework

หน้าที่ของค่ายมือถือ

  • ทำระบบลงทะเบียนหมายเลขที่สามารถส่ง SMS ได้
  • บล็อกไม่ให้หมายเลขที่ไม่ได้ลงทะเบียนส่ง SMS ได้
  • ตรวจหา SMS ที่ส่งมาจากมิจฉาชีพ โดยเฉพาะ SMS ที่มีลิงก์ประกอบ

หน้าที่ของสถาบันการเงิน

  • หน่วงเวลาการใช้งานบัญชีธนาคารออนไลน์ 12 ชั่วโมง หลังจากลงแอปพลิเคชันธนาคารใหม่ (ทำให้เวลามิจฉาชีพได้ข้อมูลสำคัญจากเหยื่อไป แล้วจะไปลงแอปพลิเคชันธนาคารเพื่อโอนเงินออก ทำได้ช้าลง)
  • แจ้งเตือนหากมีการลงแอปพลิเคชันธนาคารใหม่ หรือเกิดธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง
  • แจ้งเตือนเมื่อมีเงินออกจากบัญชีในทันที
  • มีช่องทางให้เหยื่อแจ้งล็อกบัญชี (Kill Switch) ทันทีได้ตลอด 24 ชั่วโมง

หากเหยื่อยังเสียหายจากการถูกมิจฉาชีพควบคุมบัญชี มาตรการกรอบความรับผิดชอบร่วม (SRF) ได้แบ่งสัดส่วนการรับผิดชอบความเสียหายที่ชัดเจนระหว่าง ค่ายมือถือ สถาบันการเงิน และตัวเหยื่อ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 กรณี

1. หากมีข้อบ่งชี้ว่า สถาบันทางการเงินไม่ทำตามหน้าที่ สถาบันทางการเงินต้องรับผิดชอบชดเชยความเสียหายให้กับเหยื่อทั้งหมด

2. หากมีข้อบ่งชี้ว่า สถาบันทางการเงินทำตามหน้าที่แล้ว แต่ความเสียหายเกิดขึ้นจากการที่ค่ายมือถือไม่ทำตามหน้าที่ ค่ายมือถือต้องรับผิดชอบความเสียหายให้กับเหยื่อทั้งหมด

3. หากมีข้อบ่งชี้ว่า ทั้งสถาบันการเงินและค่ายมือถือทำตามหน้าที่แล้ว เหยื่อต้องแบกรับความเสียหายที่เกิดขึ้นเอง

เมื่อหันกลับมาพิจารณาแนวทางของไทยจะพบว่า ภาครัฐไทยผลักดันให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันการหลอกลวงออนไลน์ตามแนวทางของประเทศสิงคโปร์ โดยเน้นที่การป้องกันภัยจากแอปดูดเงิน ทั้งการผลักดันให้ธนาคารต้องรับผิดชอบความเสียหายจากแอปดูดเงิน 100% รวมถึงมาตรการที่ค่ายมือถือต้องลงทะเบียนผู้ส่ง SMS ที่แนบลิงก์

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับประเทศต้นแบบแล้ว ไทยยังไม่ได้กำหนดแนวทางความรับผิดชอบร่วมซึ่งเป็นหลักการหัวใจของประเทศสิงคโปร์ กล่าวคือถึงแม้ว่าจะกำหนดความรับผิดชอบของธนาคารพาณิชย์แล้ว แต่ภาครัฐก็ยังไม่ได้กำหนดให้ค่ายมือถือต้องรับผิดชอบความเสียหายหากไม่ทำตามหน้าที่ รวมถึงยังไม่ได้แบ่งขอบเขตความรับผิดชอบที่ชัดเจนระหว่างสถาบันการเงิน ค่ายมือถือ และประชาชน

นอกจากนี้ ถึงแม้ว่ารัฐไทยจะให้เอกชนเข้ามาร่วมป้องกันการหลอกลวงออนไลน์ประเภทควบคุมบัญชีแล้ว แต่ยังไม่ได้กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของเอกชนให้ช่วยป้องกันการหลอกลวงออนไลน์ประเภทหลอกให้โอนเงินอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งที่ยังคงระบาดและความเสียหายอย่างรุนแรงต่อคนไทย

มาตรการยับยั้งการโกงออนไลน์มีผลข้างเคียงอย่างไร?

หากมองในภาพที่กว้างขึ้น การระบาดของมิจฉาชีพออนไลน์นั้นมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลด้วย เนื่องจากการหลอกลวงที่เกิดขึ้นในทุกวันมีผลทำให้เหยื่อและผู้เกี่ยวข้องหวาดระแวงไม่กล้าใช้บริการดิจิทัล ตั้งแต่การไม่กล้ารับโทรศัพท์ที่เบอร์ไม่คุ้นเคย ไปจนถึงการใช้บริการทางการเงิน ซึ่งหากประชาชนขาดความเชื่อมั่นและใช้บริการในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลลดลง ธุรกิจดิจิทัลของไทยจะมีข้อจำกัดในการเติบโต ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสที่จะนำระบบดิจิทัลมาช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

หากต้องการทำให้ประชาชนกลับมาเชื่อมั่น กล้าใช้บริการในระบบดิจิทัล ก็ต้องทำให้บริการในระบบดิจิทัลปลอดภัยจากมิจฉาชีพ อย่างไรก็ตาม หลายมาตรการที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการหลอกลวงออนไลน์นั้นส่งผลให้ความรวดเร็วของบริการนั้นลดลง เช่น มาตรการลงทะเบียนเพื่อส่ง SMS หรือยิงโฆษณาสร้างความยุ่งยากให้กับธุรกิจที่ต้องการสื่อสารกับเป้าหมายในวงกว้าง มาตรการเพิ่มขั้นตอนก่อนโอนเงินและมาตรการหน่วงเงิน[45]สภาผู้บริโภคของไทยมีข้อเสนอที่ต้องการให้การโอนเงินปลอดภัยมากขึ้นด้วยการหน่วงเงินธุรกรรมที่มีมูลค่า 1 หมื่นบาทขึ้นไป เป็นเวลา 1 ชั่วโมง … Continue reading ส่งผลให้การทำธุรกรรมออนไลน์นั้นช้าลง[46]แนวโน้มในระดับโลกเริ่มหันไปชะลอความเร็วในการทำธุรกรรมทางการเงิน เพื่อสร้างความปลอดภัยมากขึ้น https://www.biocatch.com/blog/faster-payments-sand-in-the-gears

อย่างไรก็ตาม หากผู้ให้บริการมีส่วนร่วมในการป้องกันการหลอกลวงออนไลน์ ผู้ให้บริการภาคเอกชนก็อาจมีนวัตกรรมที่ทำให้บริการของตนปลอดภัยมากขึ้นโดยไม่ทำให้ความเร็วในการใช้งานลดลงมากนัก[47]https://www.biocatch.com/blog/future-of-scam-detection เช่น สถาบันการเงินจะมีระบบตรวจจับความเสี่ยงที่แม่นยำมากขึ้น สามารถทำนายได้ว่าธุรกรรมไหนเสี่ยงที่จะเป็นการโอนเงินให้มิจฉาชีพ สถาบันการเงินนั้นจึงบังคับใช้มาตรการเพิ่มขั้นตอนการโอนเงินหรือหน่วงเงินเฉพาะกรณีเสี่ยงสูงเท่านั้น ทำให้มีผลกระทบต่อธุรกรรมทั่วไปอย่างจำกัด

เอกชนร่วมรับผิดชอบ = ประชาชนไม่ต้องรับผิดชอบ?

การให้ภาคเอกชนร่วมชดเชยความเสียหาย ไม่ได้แปลว่าภาระในการป้องกันการหลอกลวงออนไลน์ตกอยู่กับภาคเอกชนทั้งหมด ประชาชนเองก็ต้องระมัดระวังตัวเองอยู่ดี

ในโมเดลของออสเตรเลียและสิงคโปร์ได้กำหนดขอบเขตหน้าที่ที่ภาคเอกชนต้องปฏิบัติไว้ชัดเจน หากภาคเอกชนทำหน้าที่แจ้งเตือนช่วยป้องกันอย่างเต็มที่แล้ว แต่เหยื่อยังประมาทไม่ดำเนินการตามที่ตนควรทำเพื่อป้องกันการถูกหลอกหลังได้รับการแจ้งเตือน ภาคเอกชนก็ไม่มีหน้าที่ชดเชยความเสียหายให้กับเหยื่อ

นอกจากนี้ หากผู้เสียหายต้องการได้รับเงินชดเชย ผู้เสียหายก็มีต้นทุนที่ต้องดำเนินการเพื่อให้ได้รับการชดเชยเงินคืน ผู้เสียหายต้องแจ้งเรื่องเพื่อเข้าสู่กระบวนการสืบสวน ซึ่งต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงจะได้รับการชดเชยเยียวยา และก็ไม่ได้การันตีว่าผู้เสียหายจะได้รับเงินคืน 100% ด้วย นั่นหมายความว่าไม่มีใครอยากถูกหลอกแล้วต้องเข้าสู่กระบวนการเรียกร้องชดเชยเงินคืนหากไม่มีความจำเป็น


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world

References
1 https://www.gasa.org/_files/ugd/7bdaac_0facba990813403a9f41ce9713577619.pdf
2 https://www.hfocus.org/content/2024/05/30458
3 https://www.prachachat.net/ict/news-1514260
4 https://www.forbes.com/uk/advisor/personal-finance/what-is-app-fraud/
5 ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รวบรวมกรณีศึกษาที่ประชาชนถูกหลอกลวง และจัดแบ่งประเภทไว้สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ https://24hicarecenter.com/pctpr
6 หลายครั้งมิจฉาชีพจะสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการปลอมแปลงเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง
7 ในกลุ่มไลน์มักมีหน้าม้า ที่แกล้งทำเป็นลงทุนตามที่กูรูแนะนำและได้ผลตอบแทนที่สูง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและกดดันเหยื่อให้ลงทุน
8 มิจฉาชีพมีการกลยุทธ์ในการสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการแอบอ้างเป็นบุคคลที่มีอยู่จริง รวมถึงใช้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อที่หลุดมาจากฐานข้อมูลของภาครัฐในการข่มขู่ด้วย https://pdpathailand.com/pdpa-news/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B1/
9 https://www.imperva.com/learn/application-security/account-takeover-ato/#:~:text=Account%20Takeover%20(ATO)%20is%20an,data%20breaches%20and%20phishing%20attacks.
10 หลอกว่าเหยื่อยังไม่ได้ชำระค่าไฟฟ้า ให้โหลดแอปการไฟฟ้าในลิงก์เพื่อจ่ายเงิน ซึ่งแอปการไฟฟ้านั้นเป็นแอปปลอมที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมาให้มีหน้าตาคล้ายแอปการไฟฟ้าจริงๆ https://24hicarecenter.com/pctpr  
11 สามารถทำความเข้าใจวิธีการการทำงานของแอปดูดเงินได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=yLB72G_whmg
12 การหลอกลวงประเภทนี้อาศัยช่องโหว่ของระบบการทำธุรกรรมออนไลน์ รัฐบาลไทยจึงจัดให้การหลอกลวงประเภทแอปดูดเงินเป็นภัยคุกคามระดับร้ายแรง https://www.infoquest.co.th/2024/412105  ถึงแม้ว่าจะสร้างความเสียหายเพียงแค่ 3% ของมูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงเท่านั้น
13 พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2566
14 https://www.bbc.com/thai/articles/cgxg7lqnv4no
15 หลายครั้งเจ้าของบัญชีม้าไม่รู้เห็นต่อการหลอกลวง เนื่องจากมิจฉาชีพขโมยข้อมูลไปเปิดบัญชี https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1142664 สามารถทำความเข้าใจปัญหาของบัญชีม้าโดยละเอียดได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ANgDX-FszUg
16 https://thaipublica.org/2023/03/electronic-crime-law-effective-now-01/
17 https://www.prachachat.net/ict/news-1514260 ซึ่งต่อให้อายัดได้ก็ต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของอีก ผู้เสียหายจึงมีโอกาสที่จะได้รับคืนต่ำ
18, 20 รองนายกเร่งกวาดบัญชีม้า
19 https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B5/220912
21 https://www.bot.or.th/th/news-and-media/news/news-20240613.html
22 ระบบที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน https://www.tba.or.th/en/%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD-5-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99/
23 https://www.prachachat.net/ict/news-1538913
24 https://www.uni.net.th/index.php/news/9445/
25 https://24hicarecenter.com/pctpr
26 ร่วมมือกับ tiktok https://www.infoquest.co.th/2024/416933 และร่วมมือกับ whoscall https://www.infoquest.co.th/2024/430364 รวมถึงที่ค่ายมือถือและธนาคารต่างๆ จัดทำสื่อความรู้เกี่ยวกับการโกงของตนเอง
27 ตัวอย่างเช่น กลยุทธ์ใหม่ในเดือน ตุลาคม 2567 อ้างเป็นคนของสถาบันคุ้มครองเงินฝากหลอกให้แสกนใบหน้าเพื่อยกระดับความปลอดภัยในการคุ้มครองเงินฝาก เพื่อนำไปใช้ปลดล็อคธุรกรรมออนไลน์ในอนาคต https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1150460
28 อ่านเพิ่มเติมเรื่องจิตวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์ของเหยื่อที่ถูกหลอกลวงออนไลน์ได้ใน https://www.the101.world/nattavudh-powdthavee-scammers-interview/ และ https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/104327
29 เหยื่อเกินกว่าครึ่งตัดสินใจโอนเงินภายในไม่กี่ชั่วโมง https://www.gasa.org/_files/ugd/7bdaac_0facba990813403a9f41ce9713577619.pdf
30 เหยื่อ 80% ตัดสินใจคนเดียวตอนถูกหลอก https://www.gasa.org/_files/ugd/7bdaac_0facba990813403a9f41ce9713577619.pdf
31 https://www.tba.or.th/%E0%B8%98%E0%B8%9B%E0%B8%97-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3/
32 https://www.infoquest.co.th/2024/439681
33 รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดให้บริษัทดิจิทัลแพลตฟอร์มต้องมีแนวทางในการปราบปรามโฆษณาของมิจฉาชีพ และต้องเปิดเผยแนวทางในการปราบปราม https://japannews.yomiuri.co.jp/politics/politics-government/20240618-192893/
34 รัฐบาลอังกฤษกำหนดให้ธนาคารต้องรับผิดชอบความเสียหายให้กับผู้เสียหาย 100% ในกรณีที่ถูกหลอกให้โอนเงิน https://www.moneysavingexpert.com/news/2023/12/banks-scam-fraud-compensation-rules-confirmed/
35 รัฐบาลไต้หวันกำหนดให้บริษัทดิจิทัลแพลตฟอร์มต้องกำจัดโฆษณาและการส่งข้อความเพื่อการหลอกลวงในแพลตฟอร์มของตน https://focustaiwan.tw/society/202405090017
36 รัฐบาลมาเลเซียผลักดันกฎหมายที่กำหนดให้ธนาคารต้องรับผิดชอบความเสียหายหากเหยื่อถูกหลอกลวงออนไลน์ ยกเว้นจะพิสูจน์ได้ว่าธนาคารป้องกันเต็มที่แล้วแต่ผู้เสียหายไม่ป้องกันตัวเองอย่างเพียงพอ https://www.businesstoday.com.my/2024/07/09/banks-cannot-hold-customers-responsible-for-online-banking-fraud-losses-under-present-regulations-lim/
37 รัฐบาลสิงคโปร์กำหนดให้ค่ายมือถือและธนาคารต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายหากประชาชนเสียหายจากแอปดูดเงิน https://www.tookitaki.com/blog/what-is-singapores-shared-responsibility-framework-to-combat-phishing
38 รัฐบาลออสเตรเลียกำหนดให้ค่ายมือถือ บริษัทแพลตฟอร์มดิจิทัล และธนาคาร ช่วยประชาชนไม่ให้ถูกหลอก https://www.biocatch.com/blog/australia-scams-code-framework
39, 47 https://www.biocatch.com/blog/future-of-scam-detection
40 GASA. (2023). The Global State of Scams—2023. SCAMADVISER.
41 The Australian Treasury, 2023, Scams-Mandatory Industry Codes Consultation Paper https://treasury.gov.au/consultation/c2023-464732
42 ก่อนจะโอนเงินผู้โอนต้องกรอกชื่อของเจ้าของบัญชีปลายทางให้ถูกต้อง หากชื่อที่ผู้โอนกรอกกับชื่อเจ้าของบัญชีปลายทางไม่ตรงกัน ธนาคารสามารถยับยั้งได้ มาตรการนี้มีไว้ป้องกันหากปลอมแปลงเป็นบุคคลอื่น โดยใช้ชื่อที่ใกล้เคียงกัน https://www.bottomline.com/resources/what-confirmation-payee
43 ธนาคารออสเตรเลียใช้ระบบตรวจจับการใช้งานของผู้บริโภคเพื่อประเมินความเสี่ยงหากผู้บริโภคถูกหลอกลวง เช่น หากผู้ใช้งานมีพฤติกรรมแปลกๆ อย่างการกดมือถือย้ำๆ เพื่อโอนเงินอย่างรวดเร็ว อาจบ่งบอกได้ว่าผู้ใช้งานตกอยู่ภายใต้การกดดันของมิจฉาชีพ  https://biocatch.com/blog/scam-safe-banking-searching-for-clues-in-both-victim-and-recipient-behavior
44 MAS and IMDA, 2023, Guideline on Share Responsibility Framework, https://www.mas.gov.sg/publications/consultations/2023/consultation-paper-on-proposed-shared-responsibility-framework
45 สภาผู้บริโภคของไทยมีข้อเสนอที่ต้องการให้การโอนเงินปลอดภัยมากขึ้นด้วยการหน่วงเงินธุรกรรมที่มีมูลค่า 1 หมื่นบาทขึ้นไป เป็นเวลา 1 ชั่วโมง https://www.tcc.or.th/slow-payment/
46 แนวโน้มในระดับโลกเริ่มหันไปชะลอความเร็วในการทำธุรกรรมทางการเงิน เพื่อสร้างความปลอดภัยมากขึ้น https://www.biocatch.com/blog/faster-payments-sand-in-the-gears

อินโฟกราฟฟิก

บทความที่เกี่ยวข้อง

“รัฐธรรมนูญไม่ใช่แค่เรื่องของนักกฎหมาย”: ถึงเวลาตีโจทย์รัฐธรรมนูญใหม่จากความฝันของเยาวชน-ประชาชน

“รัฐธรรมนูญไม่ใช่แค่เรื่องของนักกฎหมาย”: ถึงเวลาตีโจทย์รัฐธรรมนูญใหม่จากความฝันของเยาวชน-ประชาชน

101 PUB ชวน ประภาส ปิ่นตบแต่ง, ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล, อิสร์กุล อุณหเกตุ แลกเปลี่ยนถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญและโอกาสจากการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ในการเติมเต็มความฝันของเยาวชน-ประชาชนไทย

23 January 2025

‘นโยบายแก้หนี้’ แสงสว่างท่ามกลางวิกฤตหนี้ครัวเรือน?

ปี 2024 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ครัวเรือนทั้งหนี้ใน/นอกระบบ ผ่านการบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ แต่นโยบายเหล่านี้จะเป็นอย่างไร? จะแก้หนี้ได้หรือไม่?

ปรับนโยบายให้ 'เห็นหัว' เด็กและเยาวชนด้วย CYIA (Child and Youth Impact Assessment)

ปรับนโยบายให้ ‘เห็นหัว’ เด็กและเยาวชนด้วย CYIA (Child and Youth Impact Assessment)

คิด for คิดส์ ชวนทำความรู้จักแนวคิด CYIA (Child and Youth Impact Assessment) ซึ่งหลายประเทศใช้เป็นเครื่องมือปรับปรุงนโยบายให้ ‘เห็นหัว’ เด็กและเยาวชนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งสำรวจแนวทางการนำ CYIA มาใช้ประเมินนโยบายในรูปแบบ ‘ร่างกฎหมาย’ ในไทย

101 Public Policy Think Tank
ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง

ศูนย์วิจัยนโยบายสาธารณะไทยในบริบทโลกใหม่ สร้างสรรค์ความรู้ด้านนโยบายสาธารณะที่มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มพลังให้ประชาชนสามารถตัดสินใจอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในเรื่องสำคัญที่มีความหมายต่อชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และสังคม

Copyright © 2025 101pub.org | All rights reserved.