– 2 –
กรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ศูนย์กลางแห่งโอกาสและบริการสาธารณะ ซึ่งน่าจะเอื้อต่อพัฒนาการและการเติมเต็มความฝันของเด็กและเยาวชนได้ดีที่สุด แต่เด็กและเยาวชนในนครหลวงแห่งนี้จำนวนมากกลับต้องเผชิญปัญหาความยากจน เปราะบาง และเข้าไม่ถึงโอกาสและบริการเหล่านั้นรุนแรงยิ่งกว่าในอีกหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในมิติการดูแล บริการทันตกรรม การศึกษา การทำงาน การสะสมทุนทางสังคม ตลอดจนการคุ้มครองสวัสดิภาพและความปลอดภัย ส่วนหนึ่งเพราะการเข้าถึงโอกาสและบริการในเมืองมีต้นทุนสูงเกินกว่าที่พวกเขาจะแบกรับไหว อีกทั้งยังเหลื่อมล้ำรุนแรง
กรุงเทพมหานครมีจำนวนคนจนที่วัดจากรายจ่ายอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าตัวในช่วงระหว่างและหลังวิกฤตโควิด จากราว 4.4 หมื่นคนในปี 2020 เป็นกว่า 1.2 แสนคนในปี 2022 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวสวนทางกับแนวโน้มช่วงก่อนการระบาด รวมถึงแนวโน้มของภูมิภาคอื่น ซึ่งจำนวนคนจนลดลงต่อเนื่องมาหลายปี1 ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ความยากจนเมืองในปัจจุบันเปราะบางยิ่งกว่าในอดีต และมีเงื่อนไขแตกต่างจากพื้นที่อื่นของประเทศ
คนจนในกรุงเทพมหานครประกอบด้วยคนหลากหลายกลุ่ม ตัวอย่างเช่น คนไร้บ้านและคนงาน แคมป์ก่อสร้าง แต่กลุ่มใหญ่ที่สุดกระจุกตัวอยู่ในชุมชนแออัด ซึ่งมีจำนวนรวม 633 แห่ง2 ชุมชนเหล่านี้เป็นที่อาศัยของครัวเรือนรวม 1.4 แสนครัวเรือน และเด็กและเยาวชน 1.7 แสนคน3 แรกสุดมักก่อตัวขึ้นจากการตั้งถิ่นฐานของแรงงานจากต่างจังหวัดที่อพยพเข้ามาแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจ ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัวเร็วเมื่อ 4-5 ทศวรรษก่อน
ถึงกระนั้น ในปัจจุบัน โอกาสประกอบอาชีพหารายได้ของครัวเรือนชุมชนแออัดค่อนข้างจำกัด สมาชิกครัวเรือนเพียงร้อยละ 44 มีงานทำ ในกลุ่มนี้ จำนวนมากยังเป็นผู้ค้าหาบเร่แผงลอย4 ซึ่งมีโอกาสลดลงมากในช่วงระหว่างและหลังวิกฤตโควิด เพราะผู้บริโภคมีแนวโน้มเปลี่ยนไปซื้ออาหารผ่านบริการส่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มแทน ขณะที่รัฐบาลก็ดำเนินนโยบายจัดระเบียบเมืองจริงจังยิ่งขึ้น สะท้อนผ่านสถิติผู้ค้าหาบเร่แผงลอยในกรุงเทพมหานครที่ลดลงจาก 1.4 แสนรายในปี 20195 เหลือ 1.9 หมื่นรายในช่วงหลังวิกฤต การเปลี่ยนงานใหม่ก็เป็นไปได้ยากสำหรับผู้ค้าหลายคน ด้วยขาดทักษะหรือสูงอายุแล้ว6
อัตราการมีงานทำต่ำย่อมหมายถึงอัตราการพึ่งพิงสูง โดยเฉพาะในครัวเรือนที่มีเด็กและเยาวชน เมื่อประกอบกับปัจจัยอื่น ครัวเรือนชุมชนแออัดในกรุงเทพมหานครถึงร้อยละ 70 จึงมีรายได้ไม่พอรายจ่าย โดยครัวเรือนกลุ่มนี้มีรายจ่ายเกินรายได้เฉลี่ย 4,892 บาทต่อเดือน ครัวเรือนชุมชนแออัดกว่าร้อยละ 90 ยังไม่มีเงินออมสำหรับใช้จ่ายยามฉุกเฉินและลงทุนพัฒนาเด็กและเยาวชน7
บ้านของครัวเรือนดังกล่าวร้อยละ 63 ยังอยู่ในสภาพทรุดโทรมและไม่แข็งแรง8 อีกทั้งหลายชุมชนก็กำลังตกเป็นเป้าหมายในการไล่รื้อ เพื่อก่อสร้างโครงการของรัฐ และพัฒนาพื้นที่ให้มีความเป็นผู้ดี (gentrification) ทำให้ผู้อาศัยถูกดำเนินคดีและเบียดขับออกจากที่อยู่อาศัย ปัญหาทั้งหมดส่งผลให้เด็กและเยาวชนชุมชนแออัดมีแนวโน้มเผชิญความยากลำบากในการดำรงชีพและเติมเต็มความฝันมากกว่าเด็กทั่วไป
“ผมชอบฟุตบอลตั้งแต่อนุบาลเลย […] เคยเป็นกัปตันทีมโรงเรียน พาทีมได้แชมป์ สพฐ. ตอนนั้นแข่งกับหลายโรงเรียนเลย”
“เมื่อ 4-5 เดือนก่อน ผมไปสอบโควตานักกีฬาที่ โรงเรียนใหม่ ได้เรียนฟรีด้วย แต่ไม่มีหอ ต้องนั่งรถไปแถวดินแดง ก็วันละราวๆ ร้อยบาท เรียนไม่ถึง 2 อาทิตย์ก็ออก มันไกลเกิน”
เมื่อถามเขาว่าตอนนี้อยากทำอะไร เขาตอบทันทีว่า “อยากทำงาน แล้วก็มีรายได้ เพราะว่าตอนนี้ไม่มีใครทำงานได้แล้ว ไม่มีใครเลี้ยงครอบครัว”
“แล้วเรื่องความฝันที่อยากจะเป็นนักฟุตบอลล่ะ”
“อยากพี่ แต่ไม่มีเส้นทางไป”
เรื่องเล่าจาก ต้า อายุ 15 ปี
กรุงเทพมหานคร
เด็กครัวเรือนยากจนในกรุงเทพมหานครมีแนวโน้มเข้าไม่ถึงการดูแลและบริการสุขภาพอย่างเหมาะสม ภาวะอัตราการพึ่งพิงสูงและรายได้ไม่เพียงพอส่งผลให้ครัวเรือนขาดทรัพยากร และผู้ใหญ่ในครัวเรือนที่มีงานทำต้องทำงานหนัก บางกลุ่มยังอาจขาดทักษะที่จำเป็น จนไม่สามารถดูแลลูกหลานของตนได้อย่างเหมาะสม ผลกระทบของปัญหาดังกล่าวสะท้อนผ่านผลสำรวจเด็กปฐมวัยชุมชนแออัดช่วงหลังวิกฤตโควิดที่พบว่ากลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 77 มีพัฒนาการถดถอย9
ในกลุ่มเด็กโตขึ้น การขาดการดูแลและปล่อยปละให้พวกเขาเตร็ดเตร่ในชุมชน ยังเพิ่มความเสี่ยงให้พวกเขาถูกเด็กที่โตยิ่งกว่าชักจูงให้ทำพฤติกรรมเสี่ยง เช่น บริโภคน้ำกระท่อม ซึ่งเข้าถึงได้ง่ายขึ้นมากนับตั้งแต่ถูกถอดออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 เมื่อปี 202110
ในมิติการเข้าถึงบริการสุขภาพ เด็กอายุ 6-12 ปีในครัวเรือนยากจนที่สุดในกรุงเทพมหานครเพียงร้อยละ 7.0 เข้าถึงบริการทันตกรรม ถือเป็นสัดส่วนต่ำกว่าในพื้นที่เมืองทั่วประเทศโดยเฉลี่ยที่ร้อยละ 12.3 อย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะในกรุงเทพมหานคร ภาคเอกชนมีบทบาทมากในการจัดบริการทันตกรรม โดยทันตแพทย์ร้อยละ 23.2 ทำงานอยู่ในสถานบริการเอกชน เป็นสัดส่วนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ร้อยละ 5.4 ค่าใช้จ่ายในการรับบริการจากเอกชนนี้มักสูงเกินไปสำหรับครัวเรือนยากจน ขณะเดียวกัน สถานบริการภาครัฐก็มีไม่เพียงพอต่อความต้องการ11
ในปีการศึกษา 2023 เด็กและเยาวชนอายุ 3-18 ปีในกรุงเทพมหานคร 137,704 คน หรือร้อยละ 12.8 ตกหล่นจากระบบการศึกษา เป็นสัดส่วนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ร้อยละ 8.412 กลุ่มที่ตกหล่นมากที่สุดคือกลุ่มอายุ 3-5 ปี ซึ่งไม่ได้เข้าเรียนชั้นอนุบาลเกือบครึ่งหรือร้อยละ 45.2 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ร้อยละ 24.5 เกือบหนึ่งเท่าตัว13 เด็กกลุ่มนี้พลาดโอกาสที่จะได้รับการส่งเสริมพัฒนาการการเรียนรู้ช่วงปฐมวัย ซึ่งจะเป็นต้นทุนสำคัญสำหรับพัฒนาการตลอดชีวิต14
หนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเข้าไม่ถึงการศึกษาในกรุงเทพมหานครคือต้นทุนการเข้าถึงสูงมาก ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในพื้นที่นี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศกว่าหนึ่งเท่าตัว15 โดยสำหรับครัวเรือนยากจนที่สุด ค่าใช้จ่ายเกือบครึ่งเป็นค่าเดินทาง16 งานสัมภาษณ์และศึกษาภาคสนามของ คิด for คิดส์ และ The101.world พบว่า ระบบขนส่งสาธารณะซึ่งโครงข่ายไม่ครอบคลุมและราคาแพง ส่งผลให้นักเรียนในชุมชนแออัดใจกลางกรุงต้องเสียค่าเดินทางไปเรียนราว 30-100 บาทต่อวัน ซึ่งเกินกำลังรายได้ การขาดค่าเดินทางเป็นเหตุให้พวกเขาขาดเรียนบ่อยครั้ง ตลอดจนตัดสินใจออกจากระบบการศึกษา
แม้ภายใต้นโยบายเรียนฟรี สถานศึกษาของรัฐบาลจะไม่เก็บค่าเล่าเรียนและอุดหนุนค่าใช้จ่ายบางประเภท แต่ก็มักปรากฏค่าเล่าเรียนแฝง อีกทั้งอัตราเงินอุดหนุนก็ต่ำเกินไป ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันนักเรียนยากจนในกรุงเทพมหานครยังเข้าถึงเงินทุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนได้น้อย โดยในภาคเรียนที่ 1/2023 เข้าถึงเพียง 4,524 คนจากกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 697,830 คน คิดเป็นร้อยละ 0.7 น้อยกว่าสัดส่วนระดับประเทศที่ร้อยละ 18.017 เงินอุดหนุนข้างต้นและทุนการศึกษาอื่นหลายทุนยังมักให้ผู้ปกครองต้องสำรองจ่ายก่อน ซึ่งบางครั้งก็เกินกำลังของครัวเรือนจนเมืองด้วย
สัดส่วนเด็กและเยาวชนอายุ 3-18 ปีที่ตกหล่นจากระบบการศึกษารายจังหวัด ในปีการศึกษา 2023

ต้นทุนการเข้าถึงการศึกษาที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือต้นทุนค่าเสียโอกาส เด็กและเยาวชนจนเมืองมีแนวโน้มต้องออกจากการศึกษาหรือหยุดเรียนครั้งคราวไปหารายได้เมื่อโอกาสอำนวย เช่น ไปเร่ขอทานในช่วงเทศกาล รวมถึงมักตัดสินใจเรียนต่อโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการสำเร็จการศึกษาและหารายได้ เช่น เยาวชนยากจนที่เรียนดีและฝันถึงการเรียนระดับอุดมศึกษาเพื่อทำงานทักษะสูงและยกระดับฐานะ มักเลือกเรียนสายอาชีพแทนที่จะทำตามฝัน เพราะเล็งเห็นโอกาสเรียนจบและหารายได้ระหว่างเรียนได้แน่นอนและเร็วกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น แม้กรุงเทพมหานครจะเป็นแหล่งรวมตำแหน่งงานทักษะสูง แต่เยาวชนยากจนก็ตระหนักว่า ตนอาจไม่สามารถพัฒนาทักษะและได้วุฒิการศึกษาสูงจนแข่งขันในตลาดแรงงานดังกล่าว ปัจจุบัน คนจนเมืองจำนวนมากก็ต้องรับจ้างงานต่ำกว่าระดับทักษะและวุฒิการศึกษาอยู่แล้ว สะท้อนผ่านผลสำรวจหาบเร่แผงลอยในปี 2021 ซึ่งพบว่า ผู้ค้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลถึงร้อยละ 24.8 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ขึ้นไป เป็นสัดส่วนมากกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศที่ร้อยละ 19.818 เมื่องานที่เยาวชนจนเมืองเห็นว่าตนพอเข้าถึงได้ไม่ต้องอาศัยทักษะและวุฒิการศึกษาสูง ก็ไม่มีเหตุให้พวกเขาเลือกแบกรับค่าเสียโอกาสของการเรียนระดับสูง
เมื่อเราถามว่าตอนนี้อยากทำอะไร พวกเขาตอบเสียงดังฟังชัดว่า “อยากทำงานฮะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่างานอะไร เอาแค่งานอะไรก็ได้ที่ได้เงินก็พอ” พวกเขาเล่าว่าเด็ก
รุ่นราวคราวเดียวกัน เมื่อเรียนจบแล้วก็มักหางานทำทันที อาชีพที่คนดูจะทำกันเยอะ คือการรับจ้างเป็นแรงงานบนรถดูดสิ่งปฏิกูล หรือเป็นพนักงานในร้านสะดวกซื้อ
น่าตั้งคำถามว่าการศึกษามีความหมายอย่างไรสำหรับเมฆกับหมอก แน่นอนว่าเราชวนพวกเขาคิดหาคำตอบว่า “เรียนไปทำไม” เหมือนกัน และหลังจากใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมฆก็ตอบว่า “มันต้องเรียนฮะ เอาวุฒิ”
เราถามต่อไปว่าอยากเรียนถึงชั้นไหน
“ม.3 ก็พอแล้วฮะ” คือคำตอบ
เรื่องเล่าจาก เมฆ และ หมอก (นามสมมติ) อายุ 15 ปี กรุงเทพมหานคร
หนึ่งในปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลื่อนฐานะทางสังคมคือการสะสมทุนทางสังคมและวัฒนธรรมของแต่ละคนและครอบครัว การเกิดและเติบโตในครัวเรือนยากจนมีนัยว่าเด็กและเยาวชนในครัวเรือนเหล่านี้มีทุนจากรุ่นผู้ปกครองเสียเปรียบอยู่แล้ว19
งานสัมภาษณ์และศึกษาภาคสนามของ คิด for คิดส์ และ The101.world พบว่า การขาดต้นทุนเดิมนั้นบั่นทอนโอกาสในการสะสมทุนใหม่ตั้งแต่อายุน้อย เด็กยากจนเมืองมักตกเป็นเป้าถูกล้อเลียน กลั่นแกล้ง และกีดกันจากเพื่อนในสถานศึกษา ตัวอย่างสาเหตุได้แก่ การได้ค่าขนมน้อยกว่าเพื่อน และการมีบุคลิกไม่สู้หน้าคน เพราะถูกกระทำความรุนแรงในวัยเด็ก การไม่ถูกยอมรับสร้างความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแก่เด็กและวัยรุ่นตอนต้นอย่างมาก กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้พวกเขาไม่อยากไปเรียน หรือเลือกที่จะไปคบหาเพื่อนในชุมชนเดียวกันจนถูกกล่าวหาว่าติดเพื่อนจนไม่ยอมไปเรียน
ในแง่นี้ ปัญหาเด็กยากจนหลุดจากระบบการศึกษาจึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องขาดแคลนทุนทรัพย์หรือผู้ปกครองไม่ใส่ใจ แต่ยังสัมพันธ์กับความยากจนด้านทุนทางสังคม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงในสังคมเมือง โดยหากพิจารณาค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนในกรุงเทพมหานคร จะพบว่าครัวเรือนร่ำรวยที่สุดร้อยละ 10 มีค่าใช้จ่ายมากกว่าครัวเรือนยากจนที่สุดร้อยละ 10 ถึง 11 เท่าตัว
ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนยากจนที่สุดร้อยละ 10 และร่ำรวยที่สุดร้อยละ 10 ในกรุงเทพมหานคร
| ค่าใช้จ่าย | ครัวเรือนยากจนที่สุด 10% | ครัวเรือนร่ำรวยที่สุด 10% |
|---|---|---|
| ค่าเล่าเรียน | 858 | 36,552 |
| เครื่องแต่งกาย | 809 | 1,678 |
| อุปกรณ์การเรียน | 445 | 2,355 |
| เดินทางไปเรียน | 1,943 | 8,674 |
| ค่าใช้จ่ายรวม | 4,055 | 49,260 |
การกีดกันทางสังคมยังรุนแรงขึ้นในสังคมผู้ใหญ่ ความยากจนและโอกาสทางเศรษฐกิจที่มีจำกัดบีบให้คนในชุมชนขัดแย้งแย่งชิงผลประโยชน์กันเอง จนเด็กและเยาวชนติดร่างแหและถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึงการช่วยเหลือไปด้วย เช่น ถูกกีดกันไม่ให้ลงชื่อรับของบริจาคเพียงเพราะพ่อแม่ของพวกเขาไม่ชอบหน้ากัน
เด็กและเยาวชนยากจนในกรุงเทพมหานครอีกกลุ่มที่ควรกล่าวถึงคือ เด็กเร่ร่อนซึ่งกระจุกตัวในบริเวณรอบสถานีรถไฟ ส่วนใหญ่ต้องออกจากบ้านในต่างจังหวัด เพราะปัญหาความรุนแรงในครอบครัว แล้วเดินทางด้วยรถไฟเข้ามาหาทางรอดในเมืองหลวง โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลดำเนินนโยบายรถไฟฟรีระหว่างปี 2008-2017
เด็กกลุ่มนี้ต้องหลับนอนในห้องเช่ารายวันอย่างไม่เป็นหลักแหล่งและโดดเดี่ยว มิได้อยู่กับสมาชิกครอบครัวและเป็นชุมชนเหนียวแน่น จำนวนมากถูกบีบบังคับหรือล่อลวงให้ต้องหารายได้ประทังชีพด้วยการขายบริการทางเพศและการทำงานผิดกฎหมายในพื้นที่ใกล้เคียงสถานี เช่น หัวลำโพง พวกเขามีแนวโน้มที่จะเข้าไม่ถึงปัจจัยการดำรงชีวิต บริการ การสนับสนุน และความคุ้มครองที่จำเป็นต่อพัฒนาการตามช่วงวัยยิ่งกว่าเด็กและเยาวชนยากจนที่อาศัยอยู่กับครอบครัวในชุมชน
แม้กรุงเทพมหานครจะเป็นศูนย์รวมบริการสาธารณะ แต่กลับขาดกลไกคุ้มครองเด็กที่เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบขนาดของปัญหาในพื้นที่ กรุงเทพมหานครมีบ้านพักเด็กและครอบครัวเพียงแห่งเดียว ทั้งยังสังกัดอยู่กับกระทรวงส่วนกลาง ขาดการบูรณาการการทำงานร่วมกันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมจึงต้องเข้ามามีบทบาทอุดช่องว่างของบริการภาครัฐในการคุ้มครองเด็กเสี่ยงถูกกระทำความรุนแรง ดังเช่นเด็กเร่ร่อนที่ได้กล่าวถึงข้างต้น
ปัญหาเด็กเร่ร่อนบริเวณสถานีรถไฟนี้มิได้เกิดเฉพาะในกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นตามหัวเมืองและชุมทางรถไฟสำคัญหลายแห่งทั่วประเทศ เช่น ขอนแก่น ชลบุรี เชียงใหม่ และสงขลา20 ขณะเดียวกัน ชุมชนตามทางรถไฟ 336 แห่งก็กำลังถูกไล่รื้อ ส่งผลกระทบต่อครัวเรือนอย่างน้อย 5 หมื่นครัวเรือนใน 36 จังหวัด21 ในแง่นี้ จึงอาจส่งผลต่อชีวิตเด็กและเยาวชนเร่รอนตามสถานีด้วย
“เหตุผลหนึ่งที่หนูหนีออกจากบ้าน เพราะตาเลี้ยงชอบตีหนู เอะอะอะไรก็ตี ตบหัวบ้าง ต่อยบ้าง เอาไฟฟ้าช็อตก็มี โดนมาตั้งแต่เด็กจนรู้สึกว่าครอบครัวไม่ใช่เซฟโซน”
“เมื่อก่อนบ้านหนูเขาติดยาทั้งบ้าน คนรอบข้างกลัว เขาเลยไม่ให้ลูกหลานมาเล่นกับหนู กลัวว่าหนูจะพาลูกเขาเสียคน เลยไม่มีใครเล่นกับหนูตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่เคยมีเพื่อน”
“มันอ้างว้าง เราโหยหาความรัก ครอบครัวก็ไม่เคยให้ เพื่อนก็ไม่เคยมี คนที่คอยรับฟังเราก็ไม่มี หนูเลยกลายเป็นเด็กเก็บกด เป็นเด็กมีปัญหา ชอบหนีออกจากบ้าน จนสุดท้ายก็ออกมายาวเลย”
ตอนอายุ 12 บีมทะเลาะกับแม่จนหนีออกจากบ้านมาใช้ชีวิตข้างถนน
“เวลานอนข้างนอก ช่วงแรกก็กลัวนะ แต่สบายใจกว่าอยู่บ้าน เพราะอยู่บ้านมีแต่ความกดดัน พอออกมาอยู่เองบางครั้งก็ลําบากบ้าง เรื่องยากสุดคือการหาเงิน การหางานทำ”
ที่ผ่านมา บีมเปลี่ยนงานมาหลายครั้ง เพราะเธอไม่รู้ว่าตัวเองถนัดอะไรหรือชอบทำงานแบบไหน แต่ละงานจึงจบภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ว่าจะงานเด็กเสิร์ฟหรือเด็กปั๊ม นอกจากนี้คือเธอถูกโกงค่าแรงบ่อย เพราะเป็นการจ้างงานเด็กโดยผิดกฎหมาย
เรื่องเล่าจาก บีม อายุ 19 ปี
กรุงเทพมหานคร
กรุงเทพมหานครมักถูกมองว่าเป็นศูนย์รวมโอกาส และมีบริการสาธารณะที่จำเป็นต่อพัฒนาการและการเติมเต็มความฝันของเด็กและเยาวชนพรั่งพร้อมที่สุด แต่เด็กและเยาวชนยากจนในพื้นที่นี้กลับเข้าถึงโอกาสและบริการเหล่านั้นได้ยากและเหลื่อมล้ำยิ่งกว่าสภาพการณ์ในประเทศโดยเฉลี่ย เช่น ในมิติการดูแล การบริการทันตกรรม การศึกษา และการสะสมทุนทางสังคม สาเหตุสำคัญเนื่องจากต้นทุนการเข้าถึงโอกาสและบริการที่สูงมาก ซึ่งมากเกินกว่ารายได้และทรัพยากรของพวกเขา
รัฐบาลควรดำเนินมาตรการเพิ่มรายได้ของครัวเรือนเด็กและเยาวชนยากจนเมือง ผ่านการสร้างทักษะและเพิ่มโอกาสประกอบอาชีพ โดยเฉพาะสำหรับสมาชิกครัวเรือนซึ่งยังสามารถทำงานและพึ่งพาตนเองได้
ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรดำเนินนโยบายลดต้นทุนเข้าถึงโอกาสและบริการอย่างตรงเป้าและเข้าใจถึงเงื่อนไขความเปราะบางของเด็กและเยาวชนยากจนเมือง ในมิติการศึกษา ควรลดทั้งต้นทุนการเรียนในสถานศึกษาและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะค่าเดินทางไปเรียน โดยอาจอุดหนุนเป็นเงินค่าเดินทางให้นักเรียนโดยตรง หรือยกเว้นค่าโดยสารขนส่งสาธารณะแก่นักเรียน ผ่านการอุดหนุนผู้ให้บริการภาครัฐและผู้ให้บริการร่วม
ในบริบทที่รัฐบาลยังไม่สามารถจัดบริการให้ครัวเรือนเมืองเข้าถึงได้อย่างถ้วนทั่ว รัฐบาลยังควรอำนวยความสะดวก ร่วมมือ และสนับสนุนทรัพยากรการดำเนินงานขององค์กรเอกชนและประชาสังคมในการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนยากจนเมือง โดยใช้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง
ที่สำคัญ ควรส่งเสริมสิทธิที่จะมีส่วนร่วมในเมือง (right to the city) เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงเด็กและเยาวชนยากจน ได้มีส่วนร่วมออกแบบและตัดสินใจนโยบายเมือง เพื่อให้เมืองสามารถตอบสนองความต้องการและเป็นพื้นที่แห่งโอกาสของทุกคนอย่างทั่วถึงและเสมอภาค
[1] คิด for คิดส์ คำนวณจากผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2023).
[2] กรุงเทพมหานคร, “จำนวนชุมชนประเภทต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร,” 2023.
[3] กรุงเทพมหานคร, “สถิติผู้มีรายได้น้อยและคนจนเมืองในเขตกรุงเทพมหานคร,” 2020.
[4] Suwaporn Leangpasuk, “โครงการคนจนเมือง,” Urban Studies Lab, 5 เมษายน 2024, https://www.uslbangkok.com/post/โครงการคนจนเมือง (เข้าถึงเมื่อ 28 พฤษภาคม 2024).
[5] Poonsab, Wissanee, Joann Vanek, and Françoise Carré, “Informal Workers in Urban Thailand: A Statistical Snapshot,” WIEGO, 2019.
[6] “ถึงเวลายกระดับ ‘หาบเร่แผงลอย’ ก้าวข้ามข้อพิพาทบนทางเท้า,” The Active, 27 มีนาคม 2024. https://theactive.net/news/urban-20240327/ (เข้าถึงเมื่อ 28 พฤษภาคม 2024)
[7] อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 4
[8] อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 4
[9] “แถลงข่าว ‘การเฝ้าระวังและฟื้นฟูผลกระทบต่อเด็กในภาวะยากลำบากภายหลังการระบาดของ โควิด-19’,” สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล, 3 กุมภาพันธ์ 2023, https://cf.mahidol.ac.th/th/แถลงข่าว-การเฝ้าระวังแ/ (เข้าถึงเมื่อ 31 พฤษภาคม 2024).
[10] พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2564 [2021].
[11] กรมอนามัย, การสร้างเสริมสุขภาพช่องปาก ประตูสู่สุขภาพที่ดีในทุกช่วงวัยของชีวิต, พิมพ์ครั้งที่ 1 (กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก, 2012).
[12] กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, “แผนที่เด็กและเยาวชนที่ไม่มีข้อมูลในระบบการศึกษา ปีการศึกษา 2566,” กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, https://isee.eef.or.th/fullmap-eef-oosc/. (เข้าถึงเมื่อ 28 พฤษภาคม 2024).
[13] สำนักงานสถิติแห่งชาติ, รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2565 [2022] (กรุงเทพฯ: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2022).
[14] James Heckman, “The Case for Investing in Disadvantaged Young Children,” CESifo DICE Report 6, June 1, 2008, 3–8.
[15] กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, “เปิดภาระค่าใช้จ่ายการศึกษา รับเปิดเทอม พบ กทม. สูงกว่าทั้งประเทศ 2 เท่า,” กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, 12 พฤษภาคม 2022, https://www.eef.or.th/news-120522/ (เข้าถึงเมื่อ 28 พฤษภาคม 2024).
[16] คิด for คิดส์ คำนวณจากผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2023).
[17] กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, “ทุนเสมอภาคเพื่อการจัดสรรเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer),” กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, 2024, https://isee.eef.or.th/cct/. (เข้าถึงเมื่อ 31 พฤษภาคม 2024).
[18] กระทรวงแรงงาน, รายงานดัชนีชี้วัดคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบกลุ่มอาชีพพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่/แผงลอยจากการสำรวจข้อมูลแรงงานนอกระบบ ปี 2564 [2021] (2022).
[19] ปริตตา หวังเกียรติ, การเลื่อนชั้นทางสังคมข้ามรุ่นของคนจนเมือง ในเขตกรุงเทพมหานคร [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย], 1 มกราคม 2020.
[20] วรรณา แต้มทอง, “‘อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์’ เปิดงานวิจัย เสียงของคนจน (เมือง) ที่เมืองไม่ได้ยิน,” ประชาไท, 10 กุมภาพันธ์ 2022, https://prachatai.com/journal/2022/02/97189 (เข้าถึงเมื่อ 31 พฤษภาคม 2024).
[21] เพิ่งอ้าง.
101 Public Policy Think Tank
ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง
ศูนย์วิจัยนโยบายสาธารณะไทยในบริบทโลกใหม่ สร้างสรรค์ความรู้ด้านนโยบายสาธารณะที่มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มพลังให้ประชาชนสามารถตัดสินใจอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในเรื่องสำคัญที่มีความหมายต่อชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และสังคม