คณะกรรมการธิปไตย

คณะกรรมการธิปไตย: เมื่อรัฐไทยขับเคลื่อนด้วยการตั้ง ‘คณะกรรมการ’

ในหลายประเทศเริ่มมีความเห็นว่าการประชุมที่มากเกินไปอาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เนื่องจากการประชุมทำให้เครียดและขาดสมาธิในการทำงาน และอาจทำให้ไอคิวลดลง[1]กฤตพล สุธีภัทรกุล. 2023. วิจัยชี้ ยิ่งประชุมเยอะ ยิ่งโง่! เผยเคล็ดลับประชุมอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ. กรุงเทพธุรกิจ. URL: https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1052207 ในต่างประเทศจึงพยายามลดชั่วโมงการประชุมลง รวมถึงลดจำนวนคนที่เข้าร่วมประชุม เพื่อทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพขับเคลื่อนให้องค์กรเดินหน้าต่อไปได้

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับมาดูบริบทของประเทศไทยเราจะพบว่าภาครัฐกลับเดินในทิศทางตรงข้าม โดยภาครัฐมักนิยมดึงผู้มีอำนาจมาจัดตั้งเป็นคณะกรรมการนั่งประชุมรวมกันเพื่อขับเคลื่อนภารกิจ ซึ่งจำนวนคณะกรรมการที่ดูแลปัญหาระดับชาติในปัจจุบันมีจำนวนมาก และแต่ละคณะกรรมการก็มีการขยายองค์ประกอบให้สมาชิกองค์คณะจำนวนมาก เพื่อครอบคลุมผู้มีอำนาจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวาระนั้นให้มากที่สุด

101 PUB ขอชวนทุกท่านไปสำรวจสิ่งที่เรียกว่า ‘คณะกรรมการระดับชาติ’ คณะกรรมการเหล่านี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร มีอยู่กี่คณะ ในแต่ละคณะขับเคลื่อนเรื่องอะไร รวมถึงสำรวจปัญหาเบื้องต้นของกลไกคณะกรรมการระดับชาติ ว่าคณะกรรมการระดับชาติช่วยให้ภาครัฐสามารถขับเคลื่อนงานได้จริงไหม?

กลไก ‘คณะกรรมการ’ ยาพาราแก้ปัญหาการทำงานของระบบราชการ

ที่ผ่านมาระบบราชการของไทยมักถูกวิจารณ์ว่ามีโครงสร้างการบริหารแบบเบี้ยหัวแตก กล่าวคือระบบราชการมีการขยายตัว มีการจัดตั้งกรมใหม่ สร้างสายบังคับบัญชามากขึ้น จำนวนหน่วยงานระดับกรมจึงเพิ่มขึ้นกลายเป็นมากกว่า 200 หน่วยงานในปัจจุบัน[2]ฉัตร คำแสง. 2022. รัฐราชการขยายใหญ่ เบียดพื้นที่การคลัง ยังด้อยประสิทธิภาพ. The 101 World. URL: https://www.the101.world/bureaucratic-state/ ซึ่งแต่ละหน่วยงานเองต้องการอิสระ ทรัพยากร กำลังคน อำนาจ หน้าที่[3]กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล. 2565. ‘รัฐราชการไทย’ จากสฤษดิ์ถึง คสช. ใหญ่โต แต่ไร้ประสิทธิภาพอ่อนแอ แต่ปรับตัวเก่ง. ประชาไท. สัมภาษณ์ ชัชฎา กำลังแพทย์. URL: … Continue reading ส่งผลให้รัฐบาลเผชิญอุปสรรคในการขับเคลื่อนภารกิจ ไม่สามารถควบคุมกลไกราชการทั้งหมดให้ทำตามความต้องการได้อย่างเบ็ดเสร็จ

นอกจากนี้ ปัญหาการรวมศูนย์อำนาจของระบบราชการไทยยังซ้ำเติมทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐยิ่งแย่ลง กล่าวคือ ‘กรมส่วนกลาง’ ที่มีอำนาจมักไม่ถ่ายโอนอำนาจการขับเคลื่อนงานไปให้ส่วนราชการในระดับท้องที่ แต่มักใช้วิธีจัดตั้งสำนักงานที่ขึ้นตรงกับกรมในระดับท้องที่แทน ข้าราชการที่ปฏิบัติงานในระดับท้องที่จึงขับเคลื่อนไปตามแนวนโยบายที่มาดำริจากกรมเจ้าสังกัด ส่งผลให้เกิดปัญหาการไม่ประสานงานในการทำงานของข้าราชการที่สังกัดคนละกรมในท้องที่เดียวกัน การขับเคลื่อนนโยบายด้วยโครงสร้างระบบราชการของไทยจึงอยู่ในสภาวะแตกกระจาย (Fragmented) โดยธรรมชาติ[4]วสันต์ เหลืองประภัสร์. 2558. การรวมศูนย์อำนาจและการกระจายอำนาจกับการบริหารราชการแผ่นดินไทย: การทบทวนแนวคิด ข้อถกเถียง … Continue reading

กล่าวได้ว่าระบบราชการไทยที่ขาดศักยภาพในการขับเคลื่อนงานเป็นผลมาจากการที่ระบบราชการไทย ‘รวมศูนย์อำนาจ’ ไว้ที่ส่วนกลาง แต่ ‘แตกกระจาย’ ไม่สามารถควบคุมกลไกหน่วยงานให้ทำงานในทิศทางเดียวกันได้ หน่วยงานราชการของไทยแต่ละหน่วยสนใจเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของหน่วยงานตนโดยไม่ได้ประสานงานกับหน่วยงานอื่นเพื่อให้สามารถจัดการปัญหาในระดับภาพรวมหรือทำให้การแก้ปัญหามีความสมดุลในหลายมิติ

ตัวอย่างเช่น หากเกิดปัญหาโลกรวน (climate change) ฝนขาดช่วงจนน้ำในเขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น เหือดแห้ง ส่งผลให้ภาคเกษตรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือขาดน้ำ ความอุดมสมบูรณ์ของอุทยานแห่งชาติน้ำพอง (พื้นที่ใกล้เคียง) ลดลง รวมถึงส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำและส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง

ในการรับมือต่อปัญหาโลกรวน ข้าราชการในกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) สนใจว่าจะแก้ปัญหาให้ความอุดมสมบูรณ์ของอุทยานแห่งชาติน้ำพองกลับคืนมาได้อย่างไร ข้าราชการกรมการข้าว (กระทรวงเกษตรฯ) สนใจว่าจะทำอย่างไรให้พื้นที่นาข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีน้ำเพียงพอ ส่วนข้าราชการกรมควบคุมโรค (กระทรวงสาธารณสุข) ก็สนใจแก้ปัญหาเฉพาะโรคระบาดที่เกิดขึ้นจากปัญหาน้ำแล้ง

หนึ่งในวิธีการที่รัฐบาลใช้บรรเทาปัญหาสภาวะแตกกระจายของการทำงานของหน่วยราชการได้ คือการตั้ง ‘คณะกรรมการระดับชาติ’ ดึงผู้มีอำนาจในแต่ละกระทรวงแต่ละกรมเข้ามาประชุมวางแผนแก้ปัญหาร่วมกัน[5]วสันต์ เหลืองประภัสร์. 2558. การรวมศูนย์อำนาจและการกระจายอำนาจกับการบริหารราชการแผ่นดินไทย: การทบทวนแนวคิด ข้อถกเถียง … Continue reading เพื่อให้ผู้บริหารของแต่ละกระทรวงแต่ละกรมแบ่งหน้าที่และให้ความเห็นในการสร้างนโยบายที่เป็นการบูรณาการแก้ปัญหาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้การดึงผู้บริหารของหน่วยงานเข้ามาขับเคลื่อนภารกิจร่วมกันยังทำให้ผู้บริหารของแต่ละหน่วยงานมีทิศทางในการออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดำเนินภารกิจไปในทางที่สอดคล้องส่งเสริมกันด้วย

ในการรับมือต่อปัญหาโลกรวน ภาครัฐอาจใช้กลไก ‘คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ’ ที่จัดตั้งขึ้นในปี 2550[6]ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ.2550. 20 มิถุนายน 2550.
ราชกิจจานุเบกษา. URL: https://www.onep.go.th/wp-content/uploads/2022/01/reg-pm-climate-1.pdf
 ในการรับมือต่อปัญหาเขื่อนอุบลรัตน์เหือดแห้ง เนื่องจากคณะกรรมการดังกล่าวถูกตั้งขึ้นมาเพื่อกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย โดยมีการแต่งตั้งผู้มีอำนาจในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหา (ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ และปลัดกระทรวงสาธารณสุข) มาเป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการ

นอกจากการใช้กลไกคณะกรรมการดังกล่าวจะช่วยให้เกิดการผลักดันนโยบายแก้ปัญหาภัยแล้งในเขื่อนอุบลรัตน์ที่บูรณาการตอบโจทย์ปัญหาที่เกี่ยวข้องในทุกกรมทุกกระทรวงแล้ว ในองค์ประกอบของคณะกรรมการยังมีผู้มีอำนาจในหน่วยงานอื่นที่อาจจะให้การช่วยเหลือแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น เช่น ปลัดกระทรวงต่างประเทศ ที่สามารถเจรจาขอรับความช่วยเหลือจากประเทศใกล้เคียงหรือร่วมมือกันแก้ปัญหาในภาพที่ใหญ่กว่า (หากภัยแล้งในเขื่อนอุบลรัตน์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภัยแล้งในแถบลุ่มน้ำโขง) เป็นต้น

ระบบคณะกรรมการที่ดึงผู้บังคับบัญชาของแต่ละหน่วยงานมาทำงานร่วมกันจึงถูกใช้เป็น ‘ยาแก้ปวด’ ชั้นดีในการแก้ปัญหาความไร้ประสิทธิภาพในกระบวนการทำงานของราชการ เมื่อมีประเด็นความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน รัฐบาลก็สามารถตั้งคณะกรรมการมาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวได้

คณะกรรมการบาน แต่งานอาจไม่ขับเคลื่อน

เมื่อรัฐบาลเห็นว่าการใช้กลไกคณะกรรมการระดับชาติสามารถช่วยบรรเทาปัญหาความไม่สอดประสานกันของระบบราชการ คณะกรรมการระดับชาติจึงถูกตั้งขึ้นมาเป็นจำนวนมากเพื่อขับเคลื่อนวาระแก้ปัญหาในด้านต่างๆ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆ หน่วยงาน

ในการนี้ผู้วิจัยได้รวบรวมรายชื่อคณะกรรมการระดับชาติที่น่าจะยังดำเนินงานอยู่ในปัจจุบันจาก 1) คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 314/2567 ที่มอบหมายให้รองนายกและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไปเป็นประธานและกรรมการในคณะกรรมการต่างๆ[7]คำสั่งสำนักนายก ที่ 314/2567. 16 กันยายน 2567. เรื่อง … Continue reading 2) หนังสือสำนักเลขาฯ นายกรัฐมนตรี นร 0508/ว(ล) ที่ให้กระทรวงต่างๆ ส่งบัญชีรายชื่อคณะกรรมการต่างๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี[8]หนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0508/ว(ล) 19823. 20 กันยายน 2567. เรื่อง คณะกรรมการต่างๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี รวมแล้วรัฐบาลตั้งคณะกรรมการระดับชาติที่ยังดำเนินงานอย่างน้อย 220 คณะ

ในจำนวน 220 คณะนี้มีคณะกรรมการระดับชาติที่แต่งตั้งโดยอำนาจของฝั่งนิติบัญญัติ เช่น แต่งตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ แต่งตั้งขึ้นตามพระราชกำหนด และแต่งตั้งขึ้นตามคำสั่ง คสช. เป็นจำนวนอย่างน้อย 77 คณะ ในขณะที่คณะกรรมการระดับชาติที่แต่งตั้งโดยอำนาจของฝ่ายบริหาร เช่น ตามมติคณะรัฐมนตรี ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี พระราชกฤษฎีกา มีจำนวนอย่างน้อย 146 คณะ[9]หนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0508/ว(ล) 19823. 20 กันยายน 2567. เรื่อง คณะกรรมการต่างๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี

การมีจำนวนคณะกรรมการที่มากเกินไปอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของคณะกรรมการลดลง กล่าวคือถึงแม้ว่าการงอกเงยของคณะกรรมการอาจชี้ให้เห็นว่าภาครัฐจริงจังในการแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่เนื่องจากองค์ประกอบของคณะกรรมการระดับชาติมักเป็นคนสำคัญ เป็นผู้มีอำนาจลำดับต้นๆ ของหน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง ผู้อำนวยการ เลขาธิการ ฯลฯ การมีคณะกรรมการจำนวนมากจึงส่งผลให้ผู้มีอำนาจในหน่วยงานต่างๆ ต้องทำหน้าที่เป็นสมาชิกในหลายคณะกรรมการ ต้องร่วมประชุม ร่วมวางแผน และร่วมตัดสินใจในหลายภารกิจ จนอาจทำให้ผู้มีอำนาจเหล่านั้นไม่สามารถแบ่งเวลามาขับเคลื่อนในแต่ละคณะกรรมการได้เต็มประสิทธิภาพ และตัดสินใจส่งตัวแทนที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจไปเข้าร่วมประชุมแทน ส่งผลให้คณะกรรมการไม่สามารถดำเนินการได้เต็มประสิทธิภาพตามแบบที่ออกแบบไว้

ยกตัวอย่างเช่น ผู้อำนวยการสำนักงบประมานเป็นตำแหน่งสำคัญที่ต้องดูแลภาพรวมการใช้จ่ายภาครัฐ ทำให้คณะกรรมการหลายคณะที่ตั้งมาเพื่อขับเคลื่อนบางภารกิจที่อาจต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากเลือกที่จะกำหนดให้ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ส่งผลให้ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการระดับชาติอย่างน้อย 67 คณะ หากแต่ละคณะกรรมการประชุมกันปีละ 2 ครั้ง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณต้องแบ่งเวลามาเข้าประชุม 130 ครั้งต่อปี ไม่นับช่วงเวลาที่ต้องเตรียมงานก่อนการประชุม

คณะกรรมการเกลื่อนกลาด แต่อาจเหลื่อมซ้อนกัน

เมื่อพิจารณารายละเอียดของคณะกรรมการระดับชาติ 223 คณะนั้นจะพบว่า บางคณะมีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน ทั้งมีภารกิจในรับมือกับปัญหาเรื่องเดียวกัน (แต่อาจจะแตกต่างกันในรายละเอียดการทำงาน) และมีสมาชิกร่วมกันเป็นจำนวนมาก อาจนำมาสู่ข้อสังเกตได้ว่าการจัดตั้งคณะกรรมการในประเด็นเหล่านั้นมีความจำเป็นหรือไม่ หากหน้าที่และสมาชิกของคณะกรรมการค่อนข้างซ้ำซ้อนกับอีกคณะกรรมการหนึ่ง

ตัวอย่างหนึ่งของความซ้ำซ้อนในสมาชิกในคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ในประเด็นเดียวกัน เช่น คณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์[10]พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551. 30 มกราคม 2551. ราชกิจจานุเบกษา. ที่จัดตั้งโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และคณะกรรมการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์[11]ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยมาตรการทางบริหารในการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2558. 16 ตุลาคม 2558. … Continue reading ที่จัดตั้งขึ้นโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยมาตรการทางบริหารในการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2558 ซึ่งทั้งสองคณะกรรมการมีกรรมการโดยตำแหน่งทับซ้อนกันเกินกว่าครึ่งคณะ

เมื่อพิจารณาไปที่หน้าที่ของคณะกรรมการ จะพบว่าคณะกรรมการประสานงานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ที่ตั้งขึ้นมาก่อนในปี 2551 เองก็มีหน้าที่ต้องกำกับบริหารพนักงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการค้ามนุษย์อยู่แล้ว[12]มาตรา 23 วรรค 2 พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551. 30 มกราคม 2551. ราชกิจจานุเบกษา. ซึ่งหน้าที่นี้อาจสามารถตีความขยายไปครอบคลุมถึงการป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐไปเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ได้ รวมถึงยังสามารถตั้งอนุกรรมการเพื่อทำภารกิจป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐไปเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์โดยเฉพาะก็ได้[13]มาตรา 25 พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551. 30 มกราคม 2551. ราชกิจจานุเบกษา. ดังนั้นในความเป็นจริงจึงอาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งคณะกรรมการระดับชาติชุดใหม่เพื่อมาดูปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์โดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคณะกรรมการที่อาจมีหน้าที่และสมาชิกทับซ้อนกัน จนทำให้เราต้องพิจารณาถึงการมีอยู่ของคณะกรรมการเหล่านี้ เช่น คณะกรรมการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจนกับคณะกรรมการนโยบายและมาตรการการช่วยเหลือเกษตรกร และคณะกรรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติกับคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัยวาตภัยและดินโคลนถล่ม เป็นต้น

คณะกรรมการระดับชาติ ดูแลประเด็นระดับพื้นที่

อีกข้อสังเกตหนึ่งคือคณะกรรมการระดับชาติบางคณะกลับถูกตั้งขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนประเด็นวาระเฉพาะพื้นที่ ซึ่งอาจถูกตั้งคำถามได้ว่าคณะกรรมการเหล่านั้นจำเป็นต้องใช้ผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น

  1. คณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน[14]ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน พ.ศ. 2547. 29 กันยายน 2547. ราชกิจจานุเบกษา ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อจัดทำแผนพัฒนา ตั้งงบประมาณ รวมถึงกำกับให้หน่วยงานพัฒนาพื้นที่ถนนราชดำเนินไปตามแผน ซึ่งคณะกรรมนี้ประกอบไปด้วยบุคคลสำคัญ เช่น รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ว่ากรุงเทพฯ และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  2. คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า[15]ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546. 26 มีนาคม 2546. ราชกิจจานุเบกษา ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อวางนโยบายพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ จัดสรรงบประมาณ รวมถึงประชาสัมพันธ์ประสานงานให้ผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมกันอนุรักษ์พื้นที่กรุงเก่า โดยคณะกรรมการนี้ประกอบไปด้วยผู้มีตำแหน่งสำคัญเช่น ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ รวมถึงผู้อำนวยการ/อธิบดีกรมอีก 6 กรม

จะเห็นได้ว่าคณะกรรมการทั้งสองชุดมีหน้าที่เกี่ยวพันกับการพัฒนาเฉพาะพื้นที่ (ถนนราชดำเนิน และเมืองเก่ารัตนโกสินทร์) แต่ดึงผู้บริหารตำแหน่งสำคัญๆ เข้ามามีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมการ ซึ่งอาจส่งผลไปเบียดบังเวลาที่ผู้บริหารเหล่านี้ควรใช้ไปกับการดูแลภารกิจที่มีผลกระทบต่อผู้คนเป็นวงกว้างกว่า

หลายคณะมีภารกิจคล้าย แต่ฝ่ายเลขาแยกกัน เสี่ยงเดินหน้าคนละทิศทาง

นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่าหลายๆ คณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นมีวาระทางนโยบายที่คล้ายกัน แต่วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งคณะกรรมการแต่ละชุดอาจแตกต่างกัน หากแต่ละคณะขาดกลไกในการเชื่อมโยงบูรณาการข้อมูลกัน ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาต่างคนต่างทำในการทำงานได้เช่นกัน

กรณีการผลักดันยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมอาจเป็นกรณีหนึ่งที่ทำให้เราเห็นความเสี่ยงในประเด็นนี้ได้ โดยในปัจจุบันมีคณะกรรมการระดับชาติที่ทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมในภาพรวมอย่างน้อย 3 คณะกรรมการ ได้แก่

  1. คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ[16]คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 190/2567 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ. 5 พฤศจิกายน 2557. URL: https://www.nesdc.go.th/ewt_dl_link.php?nid=7281 จัดตั้งขึ้นในปี 2557 โดยสมาชิกส่วนมากของคณะกรรมการชุดนี้มีที่มาจากภาคเอกชน ทั้งที่มาจากองค์กรภาคธุรกิจ (สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ และสมาคมธนาคาร) และเข้ามาผ่านโควตาของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จึงอาจกล่าวได้ว่าคณะกรรมการชุดนี้ถูกใช้ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมด้วยการเป็นพื้นที่ดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
  2. คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย[17]พระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560. 12 กุมภาพันธ์ 2560. ราชกิจจานุเบกษา. URL: … Continue reading จัดตั้งขึ้นในปี 2560 เพื่อจัดผลักดันยุทธศาสตร์พัฒนาอุตสาหกรรม ด้วยการบริหารเงินของกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
  3. คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ[18]ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2563. 6 ตุลาคม 2563. ราชกิจจานุเบกษา. URL: https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/234/T_0007.PDF จัดตั้งขึ้นในปี 2563 เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมของประเทศอย่างบูรณาการ โดยดึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมการชุดนี้ให้มากที่สุด ส่งผลให้คณะกรรมการชุดนี้มีกรรมการโดยตำแหน่งที่มีที่มาจากภาครัฐ (รัฐมนตรีและปลัดกระทรวง) และมาจากภาคเอกชน จำนวน 24 ตำแหน่ง

ถึงแม้ว่าทั้ง 3 คณะกรรมการจะมีเป้าหมายเดียวกันคือพัฒนายุทธศาสตร์อุตสาหกรรมของประเทศเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่เนื่องจากแต่ละคณะกรรมการใช้เลขานุการประจำคณะคนละชุดกัน ส่งผลให้วาระการดำเนินงานของแต่ละคณะกรรมการอาจไม่เชื่อมโยงไม่ต่อเนื่องกันได้ เนื่องจากเลขานุการเป็นตำแหน่งที่มีบทบาทต่อทิศทางและประเด็นการทำงาน ทั้งต้องทำหน้าที่เป็นผู้เสนอข้อมูลต่อคณะกรรมการ ติดตามผลการดำเนินงานของมติคณะ และดำเนินงานทางธุรการทั้งหมดของคณะ[19]สมคิด เลิศไพฑูรย์. 2567. คณะกรรมการในหน่วยงานทางปกครองตามระบบกฎหมายไทย. กรุงเทพฯ : คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ หากไม่มีกลไกที่กำหนดให้เลขานุการของแต่ละคณะต้องประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง แต่ละคณะกรรมการที่ทำงานเรื่องเดียวกันอาจจะขาดการบูรณาการกัน

ปรับสมดุลคณะกรรมการ ให้ราชการได้ขับเคลื่อนภารกิจ

ปัญหาของการมีคณะกรรมการระดับชาติเป็นจำนวนมากและซ้ำซ้อนกันคืองานของผู้บริหารจะล้นมือจนขับเคลื่อนทุกคณะกรรมการไม่ได้จริง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องในการทำงานจนส่งผลให้กลไกภาครัฐยังเผชิญกับปัญหาการขาดบูรณาการในการทำงาน

ภาครัฐจึงควรมีแนวทางในการจัดระเบียบการทำงานของคณะกรรมการให้มีความสมดุลมากขึ้น เพื่อทำให้คณะกรรมการระดับชาติสามารถขับเคลื่อนภารกิจของภาครัฐได้ตามที่คาดหวังไว้ โดยมีข้อเสนอแนะดังนี้

  • ลดจำนวนคณะกรรมการ

วิธีการหนึ่งหากต้องการให้คณะกรรมการระดับชาติสามารถทำหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพสูงสุด คือต้องทำให้คณะกรรมการระดับชาติเหลือน้อยที่สุดหรือเหลือเฉพาะเท่าที่จำเป็น เพื่อให้กรรมการแต่ละคนมีเวลาลงแรงในเรื่องเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ วิธีการปรับจำนวนคณะกรรมการระดับชาติให้ลดลงทำได้โดย

  1. พิจารณายุบรวมคณะกรรมการที่ผลักดันวาระประเด็นใกล้เคียงกันและมีสมาชิกกรรมการคล้ายกัน
  2. ใช้กลไกตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาจัดการประเด็นระดับย่อยลงไป แทนที่จะตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมาใหม่ เช่น กรณีคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่มาเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ อาจตั้งเป็นคณะอนุกรรมการภายใต้กรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์แทน โดยมอบอำนาจให้กับพนักงานระดับรองลงไปสมาชิกขับเคลื่อนภายใต้กลไกอนุกรรมการแทน
  3. ปรับเปลี่ยนถ่ายโอนอำนาจของบางคณะกรรมการที่ทำงานระดับพื้นที่ เช่น คณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ฯลฯ ให้เป็นภารกิจของคณะกรรมการระดับรองลงไปทำหน้าที่แทน เช่น เป็นคณะกรรมการที่ประธานเป็นหัวหน้าหน่วยราชการที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนั้นโดยตรง และให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องส่งผู้แทนมาเป็นคณะกรรมการ
  • ลดจำนวนสมาชิก

คณะกรรมการระดับชาติบางคณะถูกตั้งมาเพื่อรับมือปัญหาหรือวาระขนาดใหญ่ที่สร้างผลกระทบต่อสังคมไทยในหลายด้าน คณะกรรมการนั้นจึงถูกออกแบบให้มีกรรมการโดยตำแหน่งให้ครอบคลุมผู้มีอำนาจที่รับผิดชอบในประเด็นที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุด ส่งผลให้หลายคณะมีจำนวนกรรมการมาก โดยบางคณะก็มีกรรมการเกินกว่า 20 คน[20]เช่น คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ คณะกรรมการนโยบายการผังเมืองแห่งชาติ ฯลฯ

การที่คณะกรรมการขยายตัวจนมีสมาชิกกรรมการเป็นจำนวนมากส่งผลให้การมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภารกิจของคณะกรรมการอาจไม่ทั่วถึง คณะกรรมการบางคนที่เข้าร่วมประชุมอาจไม่ได้มีบทบาทระดมสมองหรือให้ความเห็นในที่ประชุมได้มากนัก การมีอยู่ของคณะกรรมการบางคนจึงอาจมีหน้าที่เพียงรับทราบหรือรับเรื่อง และไม่เห็นความสำคัญของการเข้าร่วมประชุม จึงอาจส่งตัวแทนที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจเข้าร่วมประชุมแทน นอกจากนี้การที่คณะกรรมการแต่ละคณะมีจำนวนกรรมการโดยตำแหน่งมากก็ยิ่งเป็นการเบียดเบียนแย่งเวลาการทำงานของกรรมการโดยตำแหน่งบางท่าน

การพิจารณาจำกัดจำนวนกรรมการโดยตำแหน่งอาจมีความจำเป็น เพื่อไม่ให้แต่ละคณะกรรมการมีขนาดใหญ่เกินไปจนองค์ประชุมไม่คล่องตัวในการขับเคลื่อนและกินเวลาของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มากเกินไป โดยอาจใช้กลไกอื่นให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้เข้าไปมีส่วนร่วมเฉพาะเมื่อคราวจำเป็น เช่น เชิญเข้าร่วมประชุมเฉพาะตอนมีวาระที่เกี่ยวข้องโดยตรงแทน

กรณีของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณที่ต้องเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการถึง 67 คณะ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน หากบางคณะกรรมการใช้วิธีเชิญผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเข้าร่วมเมื่อต้องพิจารณาวาระที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงบประมาณแทน โดยไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมในทุกขั้นตอนของคณะกรรมการ อาจทำให้ภาระงานของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณลดลง

  • สร้างความร่วมมือระดับกลาง-ล่าง

การใช้กลไกคณะกรรมระดับชาติทำให้ผู้บริหารได้พูดคุยระดมความเห็นสามารถสั่งการไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตามถึงแม้ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานจะสามารถกำหนดคำสั่งไปในทิศทางเดียวกัน แต่ผู้ปฏิบัติในระดับพื้นที่ก็อาจจะไม่ได้ร่วมมือกันดำเนินภารกิจได้อย่างบูรณาการ หากอำนาจในการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงยังอยู่กับหน่วยงานกลาง ดังนั้นหากจะสร้างการบูรณาการในการทำงานระหว่างหน่วยงานได้อย่างสมบูรณ์ โจทย์สำคัญในลำดับถัดไปคืออาจต้องกระจายอำนาจการตัดสินใจให้หน่วยงานที่อยู่หน้างานจริง ให้ผู้ปฏิบัติงานที่มาจากหน่วยงานที่แตกต่างกันสามารถปรึกษาหารือตัดสินใจแบ่งบทบาทการดำเนินภารกิจร่วมกันได้

บทส่งท้าย: โจทย์คณะกรรมการยังมีอีกมาก เพื่อทำให้รัฐขับเคลื่อนได้

ปัญหาของคณะกรรมการระดับชาติที่กล่าวถึงเป็นปัญหาในเบื้องต้นเท่านั้น ในภาคปฏิบัติจริงระบบคณะกรรมการระดับชาติอาจมีประเด็นที่ต้องถกเถียงกันอีกมาก เช่น อาจมีบางคณะกรรมการที่ตั้ง ‘คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ’ ที่มีความเสี่ยงเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทน (Conflict of Interest) หรือแต่ละคณะกรรมการมีกลไกความรับผิดชอบที่เหมาะสมแล้วหรือยัง? มีดัชนีชี้วัดผลงานในตอนตั้งคณะกรรมการหรือไม่ว่าคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาสามารถดำเนินนโยบายตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ได้อย่างเป็นรูปธรรม?

ทุกวันนี้ภาครัฐต้องรับมือกับปัญหาใหม่ๆ ที่ซับซ้อนและท้าทายมากขึ้น แต่กลไกของภาครัฐในการรับมือยังแสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพที่ชัดเจน ดังนั้นการ ‘ปฏิรูปภาครัฐ’ ให้คล่องตัวสามารถปรับตัวรับมือกับปัญหาที่ซับซ้อนและท้าทายได้จึงกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของสังคมไทย

แต่การจะปฏิรูปกลไกคณะกรรมการเพียงอย่างเดียวก็อาจยังไม่เพียงพอที่จะตอบโจทย์ใหญ่นี้ เนื่องจากกลไกคณะกรรมการระดับชาติเป็นเพียงแค่ยาบรรเทา ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ หากต้นเหตุของความไร้บูรณาการในการดำเนินงานของภาครัฐเกิดจากโครงสร้างของหน่วยงานราชการไทยที่ขยายตัวไปอย่างไร้ทิศทางและขาดกลไกที่ทำให้แต่ละหน่วยงานเชื่อมต่อกัน อีกโจทย์ที่สำคัญก็คือจะปรับโครงสร้างหน่วยงานราชการของไทยอย่างไรให้ตอบโจทย์โลกใหม่

References
1 กฤตพล สุธีภัทรกุล. 2023. วิจัยชี้ ยิ่งประชุมเยอะ ยิ่งโง่! เผยเคล็ดลับประชุมอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ. กรุงเทพธุรกิจ. URL: https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1052207
2 ฉัตร คำแสง. 2022. รัฐราชการขยายใหญ่ เบียดพื้นที่การคลัง ยังด้อยประสิทธิภาพ. The 101 World. URL: https://www.the101.world/bureaucratic-state/
3 กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล. 2565. ‘รัฐราชการไทย’ จากสฤษดิ์ถึง คสช. ใหญ่โต แต่ไร้ประสิทธิภาพอ่อนแอ แต่ปรับตัวเก่ง. ประชาไท. สัมภาษณ์ ชัชฎา กำลังแพทย์. URL: https://prachatai.com/journal/2022/03/97788
4, 5 วสันต์ เหลืองประภัสร์. 2558. การรวมศูนย์อำนาจและการกระจายอำนาจกับการบริหารราชการแผ่นดินไทย: การทบทวนแนวคิด ข้อถกเถียง และข้อพิจารณาเพื่อการปฏิรูป. สถาบันพระปกเกล้า
6 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ.2550. 20 มิถุนายน 2550.
ราชกิจจานุเบกษา. URL: https://www.onep.go.th/wp-content/uploads/2022/01/reg-pm-climate-1.pdf
7 คำสั่งสำนักนายก ที่ 314/2567. 16 กันยายน 2567. เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี.
8, 9 หนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0508/ว(ล) 19823. 20 กันยายน 2567. เรื่อง คณะกรรมการต่างๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี
10 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551. 30 มกราคม 2551. ราชกิจจานุเบกษา.
11 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยมาตรการทางบริหารในการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2558. 16 ตุลาคม 2558. ราชกิจจานุเบกษา. URL: https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/E/258/1.PDF
12 มาตรา 23 วรรค 2 พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551. 30 มกราคม 2551. ราชกิจจานุเบกษา.
13 มาตรา 25 พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551. 30 มกราคม 2551. ราชกิจจานุเบกษา.
14 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน พ.ศ. 2547. 29 กันยายน 2547. ราชกิจจานุเบกษา
15 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546. 26 มีนาคม 2546. ราชกิจจานุเบกษา
16 คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 190/2567 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ. 5 พฤศจิกายน 2557. URL: https://www.nesdc.go.th/ewt_dl_link.php?nid=7281
17 พระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560. 12 กุมภาพันธ์ 2560. ราชกิจจานุเบกษา. URL: https://www.boi.go.th/upload/content/BOI-PRB2-20170314_99203.pdf
18 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2563. 6 ตุลาคม 2563. ราชกิจจานุเบกษา. URL: https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/234/T_0007.PDF
19 สมคิด เลิศไพฑูรย์. 2567. คณะกรรมการในหน่วยงานทางปกครองตามระบบกฎหมายไทย. กรุงเทพฯ : คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์
20 เช่น คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ คณะกรรมการนโยบายการผังเมืองแห่งชาติ ฯลฯ

วิจัย/เขียน

ฐาปนพงศ์ ยีขุน

สร้างสรรค์ภาพ

วนา ภูษิตาศัย

บทความที่เกี่ยวข้อง

พ.ร.บ. ศูนย์กลางการเงิน: แก้ปัญหาด้วยสภาวะยกเว้น?

101 PUB ชวนประเมินร่างกฎหมายศูนย์กลางทางการเงิน ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นด้านการเงินระดับโลกได้หรือไม่ ต้องทำอย่างไรให้ดียิ่งขึ้น

ภาษีรถติดทำอย่างไรให้เวิร์ค?

ปัญหารถติดเป็นปัญหาโลกแตกของคนกรุงเทพฯ มาโดยตลอด รัฐบาลล่าสุดได้ผลักดันภาษีรถติด เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใช้รถเปลี่ยนพฤติกรรม แล้วภาษีรถติดจะได้ผลหรือไม่? รัฐบาลต้องทำอะไรควบคู่กันไปด้วย?

ค่าแรง 400 เลื่อน-ล่ม-ลดสเป็ค

ประเมินนโยบายการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน ซึ่งแม้จะเป็นตัวเลขที่ยังไม่เพียงพอต่อแรงงาน แต่ก็อาจปรับเร็วเกินจนเผชิญแรงต้านรุนแรง

101 Public Policy Think Tank
ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง

ศูนย์วิจัยนโยบายสาธารณะไทยในบริบทโลกใหม่ สร้างสรรค์ความรู้ด้านนโยบายสาธารณะที่มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มพลังให้ประชาชนสามารถตัดสินใจอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในเรื่องสำคัญที่มีความหมายต่อชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และสังคม

Copyright © 2025 101pub.org | All rights reserved.