หลายเดือนที่ผ่านมา ประชาคม LGBTQ+ และสังคมไทยได้เฉลิมฉลองความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในการยกระดับความเสมอภาคทางเพศ จากการเริ่มบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม อย่างไรก็ดี การมีกฎหมายดังกล่าวยังห่างไกลจากเป้าหมายการสร้างสังคมเสมอภาค
ธงสายรุ้งที่โบกสะบัดขนัดตาในเดือนไพรด์ (Pride Month) บนฉากท้องฟ้า ‘มัวหม่นครึ้มฝน’ ของเดือนมิถุนายน ดูเหมือนภาพสะท้อนว่า เยาวชน LGBTQ+ ในสังคมไทยยังคงถูกคุกคาม เลือกปฏิบัติ และเผชิญความท้าทายต่อคุณภาพชีวิต-ความเป็นอยู่บนฐานของอัตลักษณ์และรสนิยมทางเพศอย่างกว้างขวาง
ก่อนสิ้นสุดเดือนไพรด์ปีนี้ คิด for คิดส์ โดยความร่วมมือระหว่าง สสส. กับ 101 PUB ชวนสำรวจตัวตนที่หลากหลายของเยาวชน LGBTQ+ และปัญหาที่พวกเขาต้องเผชิญในสังคมไทย พร้อมทั้งสำรวจแรงสนับสนุนของเยาวชนต่อความหลากหลายและความเสมอภาคทางเพศที่มีทีท่าถดถอยลง ผ่านผลสำรวจเยาวชนอายุ 15-25 ปีทั่วประเทศ 13,201 คน เมื่อเดือนมีนาคม 2025 ของ คิด for คิดส์[1]วรดร เลิศรัตน์, ทิพย์นภา หวนสุริยา, ศุภณัฐ ศรีอุทัยสุข, และ ธนกฤต สำราญกมล, ผลสำรวจเยาวชนของ คิด for คิดส์: รอบการสำรวจ มีนาคม 2025 (กรุงเทพฯ: … Continue reading
เยาวชน 32.9% นิยามตนเองเป็น LGBTQ+

จากผลสำรวจ เยาวชนไทย 32.9% รายงานอัตลักษณ์และรสนิยมทางเพศของตนเองในลักษณะที่จัดได้ว่าเป็น ‘LGBTQ+’ ถือเป็นกลุ่มใหญ่เทียบเท่ากลุ่มหญิง straight ที่ 30.4% และกลุ่มชาย straight ที่ 36.7% มิใช่ ‘ชนกลุ่มน้อย’ ของสังคมดังที่หลายคนอาจเข้าใจ
ในมิติอัตลักษณ์ทางเพศ เยาวชน 48.3% นิยามตนเองเป็นหญิงตามเพศกำเนิด (cis woman), 45.9% เป็นชายตามเพศกำเนิด (cis man), 1.2% เป็นหญิงข้ามเพศ (trans woman), 1.1% เป็นชายข้ามเพศ (trans man), และ 3.5% นิยามในรูปแบบอื่น
กลุ่มหญิงตามเพศกำเนิด 62.9% มีรสนิยมทางเพศชอบเพศตรงข้าม (หญิง straight), 4.8% ชอบเพศเดียวกัน (เช่น lesbian), 30.5% ชอบทั้งเพศชาย หญิง และอื่นๆ (เช่น bisexual, polysexual, omnisexual, และ pansexual), 1.5% ไม่รักชอบเพศใด (เช่น asexual), และอีก 0.3% มีรสนิยมแบบอื่นๆ ส่วนกลุ่มชายตามเพศกำเนิดมีสัดส่วนรสนิยมที่ 80.0% (ชาย straight), 9.5% (เช่น gay), 8.7%, 1.3%, และ 0.5% ตามลำดับ กลุ่มหญิง-ชายตามเพศกำเนิดที่มิได้ชอบเฉพาะเพศตรงข้ามอาจนับรวมเป็น LGBTQ+ ได้ทั้งหมด
LGBTQ+ ยังครอบคลุมถึงกลุ่มหญิงข้ามเพศ ซึ่งมีสัดส่วนรสนิยมที่ 18.2%, 68.0%, 11.2%, 2.5%, และ 0.1% ตามลำดับ กลุ่มชายข้ามเพศ ซึ่งมีสัดส่วนรสนิยมที่ 17.6%, 69.7%, 12.4%, 0.3%, และ 0.0% ตามลำดับ ตลอดจนกลุ่มอัตลักษณ์อื่น ซึ่งมีสัดส่วนรสนิยมที่ 3.1%, 51.2%, 39.8%, 2.6%, และ 3.3% ตามลำดับ จะเห็นได้ว่า LGBTQ+ มีความแตกต่างหลากหลายในการนิยามเพศภายในกลุ่มสูงมาก
เยาวชน LGBTQ+ ถูกคุกคามมากกว่า แม้แต่ ‘บ้าน’ ก็ไม่ใช่เซฟโซน

แม้ LGBTQ+ จะเป็นกลุ่มอัตลักษณ์และรสนิยมทางเพศกลุ่มใหญ่ในหมู่เยาวชน แต่พวกเขายังคงถูกเลือกปฏิบัติและคุกคามจากสังคมมากกว่ากลุ่ม straight อย่างมีนัยสำคัญ ไม่เว้นกระทั่งในพื้นที่บ้านและครอบครัว
เยาวชน LGBTQ+ ถึง 50.0% รายงานว่า มีประสบการณ์ถูกด่าทอ ระราน หรือบูลลี (bully) เป็นสัดส่วนสูงกว่า straight ที่ 30.3% สัดส่วนเยาวชนที่เคยถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวหรือรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวในกลุ่ม LGBTQ+ ก็มากกว่ากลุ่ม straight ที่ 33.7% และ 18.9% ตามลำดับ เช่นเดียวกับการถูกทำร้ายร่างกายหรือลงโทษให้ร่างกายเจ็บปวดที่ 31.4% และ 18.3% ตามลำดับ และการถูกข่มขืนหรือคุกคามทางเพศที่ 12.3% และ 4.8% ตามลำดับ
เหตุคุกคามเหล่านี้หลายประเภทถูกรายงานว่าเกิดในพื้นที่ ‘บ้าน’ มากที่สุด โดยเยาวชน LGBTQ+ ที่ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว 74.0% และที่ถูกทำร้ายร่างกาย 68.0% รายงานว่าเคยเผชิญเหตุในบ้านของตนเอง บางประเภทพบมากสุดในพื้นที่อื่น แต่ก็มักเกิดในบ้านด้วย ตัวอย่างได้แก่การบูลลี ผู้ประสบเหตุ 82.0% เคยประสบเหตุในสถานศึกษา แต่ 38.8% ก็ประสบเหตุในบ้าน ส่วนการคุกคามทางเพศ 48.6% เผชิญเหตุในพื้นที่ชุมชน แต่ 31.8% ก็ถูกทำร้ายในบ้าน
ทั้งนี้ บ้านบางประเภทดูจะไม่ใช่ ‘เซฟโซน’ สำหรับเยาวชน LGBTQ+ รุนแรงเป็นพิเศษ การรายงานเหตุคุกคามในบ้านมีแนวโน้มสูงกว่าในครัวเรือน ‘รายได้ต่ำ’ ยกเว้นการละเมิดความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกัน การบูลลีและการคุกคามทางเพศในบ้านก็มีแนวโน้มสูงกว่าในเขตชนบท ตรงข้ามกับการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการทำร้ายร่างกาย ซึ่งสูงกว่าในเขตเมือง
อย่างไรก็ดี ควรย้ำว่าข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลการรายงานโดยเยาวชน ผ่านการตีความของเยาวชน จึงอาจมิได้สะท้อนความถี่การเกิดเหตุอย่างตรงไปตรงมา เช่น เยาวชน LGBTQ+ ในเมืองอาจตีความการทำร้ายร่างกาย ‘กว้าง’ กว่ากลุ่มชนบท จึงรายงานว่าเคยประสบเหตุมากกว่า แม้ว่าในความจริงอาจประสบเหตุน้อยกว่า เป็นต้น
‘ความคิดขัดแย้ง’ เป็นอุปสรรคใหญ่ในความสัมพันธ์เยาวชน LGBTQ+ – ครอบครัว
นอกจากถูกคุกคามมากกว่าแล้ว เยาวชน LGBTQ+ ยังเผชิญอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวมิติอื่นมากกว่ากลุ่ม straight โดยสัดส่วนเยาวชนซึ่งรายงานว่ามีอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวอยู่ที่ 79.3% ในกลุ่ม LGBTQ+ สูงกว่ากลุ่ม straight ที่ 66.1%
อุปสรรคสำคัญที่สุดคือ ‘ความคิดขัดแย้งกัน’ เยาวชน LGBTQ+ 29.3% รายงานว่า ปัญหานี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุด เป็นสัดส่วนมากกว่ากลุ่ม straight ที่ 18.7% ประเด็นที่เยาวชน LGBTQ+ ขัดแย้งกับครอบครัวรุนแรงกว่ากลุ่ม straight มากที่สุดสามอันดับแรกได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง, การใช้ชีวิตประจำวัน, และการศึกษาและการทำงาน
ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกที่เยาวชน LGBTQ+ จะใกล้ชิดกับครอบครัวน้อยกว่ากลุ่ม straight โดยสัดส่วนเยาวชนที่รายงานว่าสนิทกับครอบครัวมากถึงมากที่สุดอยู่ที่ 53.8% และ 65.4% ตามลำดับ สัดส่วนที่เลือกปรึกษาพ่อแม่หรือผู้ปกครองเป็นคนแรกเมื่อเผชิญปัญหาในชีวิตก็อยู่ที่ 28.7% และ 40.3% ตามลำดับ เยาวชน LGBTQ+ มีแนวโน้มต้องหันหน้าไปปรึกษากับเพื่อน พี่น้อง และอินเทอร์เน็ตแทนที่
เยาวชน LGBTQ+ มีสุขภาพกาย-ใจย่ำแย่กว่า เป็นอุปสรรคจำกัดฝัน

ภายใต้บริบทดังกล่าว เยาวชน LGBTQ+ มีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพและความเป็นอยู่ย่ำแย่กว่ากลุ่ม straight โดยเยาวชน LGBTQ+ 16.6% รายงานว่าสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด เป็นสัดส่วนสูงกว่ากลุ่ม straight ที่ 10.6%
ในมิติสุขภาพจิต เยาวชน LGBTQ+ 50.7% รายงานว่าเครียดบ่อยมากถึงมากที่สุด สูงกว่ากลุ่ม straight ที่ 34.6% อย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวมากถึงมากที่สุด เป็นสัดส่วนสูงกว่าที่ 31.0% และ 22.6% ตามลำดับ อีกทั้งรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและเชื่อมั่นในตนเองน้อยถึงน้อยที่สุด เป็นสัดส่วนสูงกว่าเล็กน้อยที่ 6.8% และ 4.6% ตามลำดับ
ในมุมมองของเยาวชน ปัญหาสุขภาพจิตนี้ถือเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับ LGBTQ+ มากกว่า straight ในการเอื้อมคว้าความฝัน โดยเยาวชน LGBTQ+ 13.2% รายงานว่าปัญหาสุขภาพจิตหรือความกังวลที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการประสบความสำเร็จด้านการศึกษา เป็นสัดส่วนมากกว่ากลุ่ม straight ที่ 6.0% กว่าหนึ่งเท่าตัว LGBTQ+ ยังรายงานว่าปัญหาข้างต้นเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการประสบความสำเร็จด้านการทำงานมากกว่าที่ 7.4% และ 4.1% ตามลำดับ
เยาวชนสนับสนุนความเสมอภาคระหว่างเพศสภาพลดลง

ปัจจัยส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้เยาวชน LGBTQ+ ถูกคุกคาม ขัดแย้งกับครอบครัว และมีความเป็นอยู่ย่ำแย่กว่า อาจเพราะยังไม่ได้รับการยอมรับและปฏิบัติอย่างเท่าเทียมจากสังคม รวมถึงไม่ได้รับการคุ้มครองและสนับสนุนสิทธิอย่างเสมอภาค การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องอาศัยพลังขับเคลื่อนจากสังคมอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง แต่ผลสำรวจของ คิด for คิดส์ พบว่าในปี 2025 เยาวชนกำลังมีแนวโน้มให้คุณค่ากับความหลากหลายและความเสมอภาคระหว่างเพศสภาพลดลงจากสามปีก่อนหน้า[2]ฉัตร คำแสง, วรดร เลิศรัตน์, เจณิตตา จันทวงษา, และ สรวิศ มา, ผลสำรวจเยาวชนของ คิด for คิดส์: รอบการสำรวจ พฤษภาคม 2022 (กรุงเทพฯ: … Continue reading
เยาวชนเห็นว่าความเสมอภาคระหว่างทุกเพศสภาพสำคัญสำหรับตนเองมากถึงมากที่สุดเป็นสัดส่วน 66.5% ในปี 2025 ลดลงจาก 73.3% ในปี 2022 แนวโน้มลดลงนี้พบทั้งในกลุ่ม LGBTQ+, หญิง straight, และชาย straight โดยสัดส่วนในปี 2025 อยู่ที่ 77.5%, 65.9%, และ 56.8% ตามลำดับ
เยาวชนยังสนับสนุนข้อเสนอสิทธิและนโยบายส่งเสริมความเสมอภาคน้อยลง โดยสัดส่วนผู้สนับสนุนสิทธิการเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อและเพศในเอกสารทางการมากถึงมากที่สุดอยู่ที่ 37.4% ในปี 2025 หดตัวจาก 51.5% ในปี 2022 ขณะที่สัดส่วนผู้สนับสนุนสิทธิเลือกเข้าห้องน้ำตามเพศสภาพก็ลดลงเล็กน้อยเหลือ 23.2% ในปี 2025 จาก 26.0% ในปี 2022 อย่างไรก็ดี สัดส่วนผู้สนับสนุนสิทธิสมรสเท่าเทียมค่อนข้างคงที่ที่ 61.6% และ 62.5% ตามลำดับ
แนวโน้มข้างต้นสอดคล้องกับแนวโน้มที่เยาวชนให้คุณค่ากับความหลากหลายมิติอื่นลดลง ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศาสนา และแนวคิดทางการเมือง ภายใต้บริบทที่คุณค่าทางสังคมและการเมืองของพวกเขา ‘หันขวา’ มากขึ้นในหลายมิติ[3]วรดร เลิศรัตน์, สรัช สินธุประมา, กอปร์ธรรม นีละไพจิตร, กัลป์ กรุยรุ่งโรจน์, ณรจญา ตัญจพัฒน์กุล, และ กษิดิ์เดช คำพุช, … Continue reading
ฟ้าสดใสคงไม่ไกลเกินไปนัก
ปัญหาเยาวชน LGBTQ+ ถูกคุกคาม ขัดแย้งกับครอบครัว และมีสุขภาพ-ความเป็นอยู่ย่ำแย่กว่ากลุ่ม straight เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความท้าทายที่ LGBTQ+ ต้องเผชิญด้วยเหตุที่สังคมไทยไม่เปิดกว้างยอมรับ เลือกปฏิบัติ และไม่เคารพสิทธิของพวกเขาอย่างเสมอภาคกับคนเพศอื่น ปัญหาเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนว่าหนทางการสร้างสังคมไทยเสมอภาคยังคงยาวไกล ทั้งยังอาจมีอุปสรรคขวากหนามมากกว่าทางที่ผ่านมา จากแรงสนับสนุนของเยาวชนต่อความหลากหลายที่ลดลง ในบริบทที่พวกเขา ‘หันขวา’ มากขึ้น
ทุกองคาพยพของสังคมยังคงต้องช่วยกันทำงานเสริมสร้างความเข้าใจ ความเปิดกว้างยอมรับ และความเคารพต่อความหลากหลาย ทั้งในหมู่เด็ก เยาวชน และประชากรกลุ่มอื่นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยกระดับมาตรการคุ้มครองเด็กและเยาวชนที่ถูกกีดกันและคุกคาม พัฒนาบริการให้คำปรึกษาสำหรับเด็ก เยาวชน ครอบครัว และครู ขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็น ตลอดจนเสริมสร้างระบบนิเวศสนับสนุนสุขภาวะทางใจอย่างรอบด้านและบูรณาการ โดยคำนึงถึงความเปราะบางและความต้องการเฉพาะของ LGBTQ+
มาตรการเหล่านี้จำเป็นต้องผลักดันไปควบคู่กับการสร้างสังคมที่เคารพต่อสิทธิมนุษยชน การเมืองที่ทุกคนมีความหมาย และเศรษฐกิจที่ทุกคนมีความเป็นอยู่พื้นฐานที่ดี-มีโอกาสเติมเต็มความฝันอย่างเสมอภาค ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะเอื้อให้เมล็ดพันธุ์แห่งความเห็นอกเห็นใจและความยุติธรรมสามารถเติบใหญ่ในสังคมได้
แน่นอนว่านี่เป็นภารกิจที่ยากและยาวไกล แต่หากได้เสียงเรียกร้องและพลังขับเคลื่อนของทุกคนที่อยากเห็นสังคมเสมอภาครวมกัน ฟ้าสดใสก็คงไม่ไกลเกินไปนัก
↑1 | วรดร เลิศรัตน์, ทิพย์นภา หวนสุริยา, ศุภณัฐ ศรีอุทัยสุข, และ ธนกฤต สำราญกมล, ผลสำรวจเยาวชนของ คิด for คิดส์: รอบการสำรวจ มีนาคม 2025 (กรุงเทพฯ: ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว, 2025). |
---|---|
↑2 | ฉัตร คำแสง, วรดร เลิศรัตน์, เจณิตตา จันทวงษา, และ สรวิศ มา, ผลสำรวจเยาวชนของ คิด for คิดส์: รอบการสำรวจ พฤษภาคม 2022 (กรุงเทพฯ: ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว, 2022). |
↑3 | วรดร เลิศรัตน์, สรัช สินธุประมา, กอปร์ธรรม นีละไพจิตร, กัลป์ กรุยรุ่งโรจน์, ณรจญา ตัญจพัฒน์กุล, และ กษิดิ์เดช คำพุช, ถูกสาปให้พ่ายแพ้ในกระแสความเปลี่ยนแปลง: รายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัว ประจำปี 2025 (กรุงเทพฯ: ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว, 2025). |