เมื่อลมหนาวพัดเข้าสู่ประเทศไทย เหมือนเป็นธรรมเนียมที่ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) จะกลับมาปกคลุมท้องฟ้าทั่วทุกภูมิภาคจนกระทบกับสุขภาพและการใช้ชีวิตของผู้คน เกิดเป็นเสียงเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจลงมือแก้ปัญหาอย่างจริงจังทุกปี
แต่เมื่อสถานการณ์ดูจะคลี่คลายลง โดยเฉพาะเมื่อปริมาณฝุ่นในกรุงเทพฯ เบาบางลงไป ความสนใจของสังคมต่อประเด็นการแก้ปัญหาฝุ่นก็เหมือนจะค่อยๆ ซาลงเช่นกัน ก่อนจะวนมาพูดถึงอีกครั้งเมื่อละอองฝุ่นกลับมาในปีถัดไป
ในความเป็นจริง ฝุ่นพิษขนาดจิ๋วนี้อยู่กับเราเกือบตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือที่สถานการณ์สาหัสกว่าพื้นที่อื่นอย่างชัดเจน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2023 จังหวัดเชียงใหม่ไต่ขึ้นไปอยู่ในอันดับ 5 ของเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก พร้อมกับค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ของจังหวัดลำปางและพะเยาที่พุ่งสูงถึง 200 อยู่ในระดับอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก เช่นเดียวกับหลายจังหวัดในภาคอีสาน อย่างอุบลราชธานี มุกดาหาร และนครพนมที่ค่า AQI อยู่ในช่วง 100-150 ซึ่งกระทบต่อสุขภาพของเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
ข้อมูลข้างต้นสะท้อนว่า แม้วันนี้คนกรุงเทพฯ จะหายใจได้สะดวกขึ้น แต่ประชาชนในอีกหลายจังหวัดของประเทศยังคงเผชิญอันตรายจากมลพิษทางอากาศที่อยู่ในขั้นสาหัสและได้รับการเหลียวแลจากรัฐและสังคมน้อยกว่า
101 PUB – 101 Public Policy Think Tank ลองคลี่ข้อมูลคุณภาพอากาศรายวันตลอด 1 ปีในกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ในภูมิภาคอย่างเชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา และสระบุรี จากฐานข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษและรวบรวมโดย World Air Quality Project พบว่า แม้ช่วงพีคของปริมาณฝุ่น PM2.5 ในเกือบทุกจังหวัดจะกินเวลาประมาณ 2 เดือนในช่วงธันวาคม-กุมภาพันธ์ แต่คุณภาพอากาศในช่วงเวลาที่เหลือก็ยังไม่ถือว่าเป็น ‘อากาศสะอาด’ ทั้งตามมาตรฐานของประเทศไทยและองค์การอนามัยโลก (WHO)[1]ปัจจุบันประเทศไทยกำหนดค่ามาตรฐานในบรรยากาศทั่วไปของ PM2.5 ให้ค่าเฉลี่ยรายปีต้องไม่เกิน 25 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร และเฉลี่ย 24 ชั่วโมงไม่เกิน 50 … Continue reading
ใน 1 ปีคนไทยได้สูดอากาศสะอาดไม่ถึง 100 วัน สระบุรีมีวันอากาศดีแค่ 5 วัน
หากใช้เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพอากาศจากข้อเสนอของกรีนพีซ ประเทศไทย ซึ่งกำหนดให้วันที่มีคุณภาพอากาศดี หมายถึง วันที่มีค่า AQI ไม่เกิน 50 หรือปริมาณ PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ไม่เกิน 37 ไมโครกรัม/ลูกบาศ์กเมตร ในปี 2022 ทั้ง 5 จังหวัดข้างต้นจะมีสัดส่วนวันอากาศดีตลอด 1 ปี ไม่ถึง 30% หรือเฉลี่ยไม่เกิน 100 วัน ส่วนจังหวัดสระบุรีสถานการณ์ย่ำแย่ที่สุด คือมีวันที่คุณภาพอากาศดีเพียง 5 วัน (1.4%) เท่านั้นจาก 365 วัน
ในขณะที่คุณภาพอากาศส่วนใหญ่ใน 1 ปี ของ 5 จังหวัดนี้อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง (ค่า AQI 51-100 ปริมาณ PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ที่ 38-50 ไมโครกรัม/ลูกบาศ์กเมตร) ซึ่งเป็นระดับที่กรมอนามัยแนะนำให้ผู้เป็นโรคภูมิแพ้หรือโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง
หากดูแนวโน้มคุณภาพอากาศย้อนหลัง 5 ปี พบว่าจังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา มีสัดส่วนวันอากาศดีเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สัดส่วนดังกล่าวยังนับว่าค่อนข้างน้อยมาก โดยเฉพาะขอนแก่นที่เพิ่มขึ้นเป็น 11.2% ในปี 2022 ส่วนกรุงเทพฯ และสระบุรีมีสัดส่วนวันอากาศดีน้อยลงในปีที่ผ่านมา
ต่างจังหวัดมีเครื่องตรวจวัด PM2.5 น้อย หลายจังหวัดข้อมูลตกหล่น
นอกจากค่าดัชนีคุณภาพอากาศและความเข้มข้นของปริมาณ PM2.5 ข้อมูลอีกด้านที่สำคัญคือ จำนวนเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ แม้รัฐบาลจะมีนโยบายเพิ่มจำนวนสถานีตรวจวัดทุกปี แต่ก็ยังนับว่าค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับความเร่งด่วนของปัญหาและส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ
ข้อมูลจากรายงาน Different Air Under One Sky: The Inequity Of Air Pollution โดยกรีนพีซ ประเทศอินเดีย ระบุว่า จากเครื่องตรวจวัดของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมด 138 เครื่องทั่วประเทศไทย มากกว่า 50 เครื่องอยู่ในกรุงเทพฯ จำนวนเครื่องตรวจวัดที่กระจายตัวมากพอทำให้คนกรุงเทพฯ กว่า 95% สามารถเข้าถึงข้อมูลคุณภาพอากาศได้ในรัศมี 5 กิโลเมตร ยิ่งระยะห่างของเครื่องตรวจวัดกับประชาชนใกล้กันเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับข้อมูลคุณภาพอากาศที่แม่นยำมากขึ้น และสามารถเตรียมตัวป้องกันผลกระทบทางสุขภาพได้ทันท่วงที
ในขณะที่หลายจังหวัดยังไม่มีเครื่องตรวจวัดหรือเครื่องตั้งอยู่ไกลจากที่อยู่อาศัยของประชาชน เช่น จังหวัดสระบุรี ลำปาง และสตูล เครื่องตรวจวัดส่วนใหญ่อยู่ในรัศมี 10-15 กิโลเมตรจากบ้าน จังหวัดขอนแก่นส่วนใหญ่อยู่ในรัศมีมากกว่า 25 กิโลเมตร ในจังหวัดเหล่านี้มีประชาชนไม่ถึง 18% เท่านั้นที่บ้านอยู่ใกล้กับเครื่องตรวจวัดในรัศมี 5 กิโลเมตร
เครื่องตรวจวัดที่ตั้งอยู่ไกลจากที่อยู่อาศัย ทำให้ประสิทธิภาพของการใช้ข้อมูลคุณภาพอากาศลดลงไปด้วย ประชาชนไม่ได้รับข้อมูลการเตือนภัยสุขภาพที่ถูกต้อง ส่วนหน่วยงานภาครัฐก็วิเคราะห์สาเหตุของฝุ่นในพื้นที่ต่างๆ ได้ยากขึ้น และอาจทำให้การกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นไม่ตรงจุดมากพอ
ยิ่งกว่านั้น ในจังหวัดที่มีการกระจายตัวของเครื่องตรวจวัดน้อยยังพบปัญหาข้อมูลคุณภาพอากาศรายวันตกหล่นเป็นจำนวนมาก เช่น ข้อมูลจังหวัดเชียงรายในปี 2019 หายไป 242 วัน และข้อมูลจังหวัดอุดรธานีในปี 2018 หายไป 245 วัน
อากาศสะอาดคือสิทธิพื้นฐานที่รัฐต้องประกันให้ประชาชนทุกคน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาฝุ่นเป็นประเด็นที่สลับซับซ้อนและเชื่อมโยงกับหลายเรื่อง การแก้ปัญหาจึงไม่จบที่นโยบายเดียว แต่ต้องอาศัยการขับเคลื่อนนโยบายหลายส่วนไปพร้อมกัน ทั้งการควบคุมการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิดฝุ่นที่สำคัญอย่างโรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงงานอุตสาหกรรม ยานพาหนะ และการก่อสร้าง ปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน เพิ่มพื้นที่สีเขียว ตลอดจนการเจรจาเพื่อสร้างความร่วมมือในระดับระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการจัดการปัญหาฝุ่นโดยรัฐบาลไทยเป็นเพียงการแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก เพื่อเอาตัวรอดให้พอผ่านวิกฤตเฉพาะหน้าไปได้เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการฉีดน้ำขึ้นไปในอากาศ ทำฝนเทียมลดฝุ่น บังคับไม่ให้จุดไฟเผาไร่ข้าวโพดและไร่อ้อยในพื้นที่ต่างๆ รณรงค์ให้ประชาชนงดจุดธูป หรือตรวจจับควันดำรถยนต์ ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่การแก้ที่ต้นเหตุและแทบไม่ช่วยให้ฝุ่นลดลงแม้แต่น้อย
อีกทั้งเมื่อภาคประชาชนเสนอร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ เพื่อสร้างกลไกการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศให้ชัดเจนในทางกฎหมายและเป็นการรับรองสิทธิที่จะหายใจอากาศสะอาดของประชาชน นายกรัฐมนตรีก็กลับปัดตกร่างกฎหมายด้วยเหตุผลว่าเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน[2]พิชชากร เรืองเดชาวิวัฒน์, “วิบากกรรมของร่างกฎหมายโดยประชาชน ในสภายุคประยุทธ์ 2,” https://101pub.org/hardship-people-proposed-law/ ทำให้การแก้ปัญหาฝุ่นของประเทศไทยยังคงไร้ทิศทางและไม่ทันการต่อความรุนแรงของปัญหาที่ประชาชนกำลังเผชิญ
การได้ใช้ชีวิตท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงได้รับ รัฐมีหน้าที่ต้องรับรอง และทำให้เกิดขึ้นจริง ไม่ควรเป็นเพียงอภิสิทธิ์ของคนบางกลุ่มในสังคมที่โชคดีเกิดในพื้นที่ที่อากาศดีกว่า หรือมีเงินมากพอที่จะซื้อเครื่องกรองอากาศ ด้วยเหตุนี้ การผ่านร่างกฎหมายเพื่อแก้ปัญหามลพิษทางอากาศจึงเป็นปราการด่านแรกที่รัฐบาลต้องผลักดัน พร้อมกับดำเนินนโยบายรูปธรรมเพื่อทำให้อากาศสะอาดเป็นของประชาชนทุกคน
↑1 | ปัจจุบันประเทศไทยกำหนดค่ามาตรฐานในบรรยากาศทั่วไปของ PM2.5 ให้ค่าเฉลี่ยรายปีต้องไม่เกิน 25 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร และเฉลี่ย 24 ชั่วโมงไม่เกิน 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ส่วนข้อแนะนำของ WHO ล่าสุดในปี 2021 ระบุว่าค่าเฉลี่ยรายปีไม่ควรเกิน 5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร และเฉลี่ย 24 ชั่วโมงไม่ควรเกิน 15 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร |
---|---|
↑2 | พิชชากร เรืองเดชาวิวัฒน์, “วิบากกรรมของร่างกฎหมายโดยประชาชน ในสภายุคประยุทธ์ 2,” https://101pub.org/hardship-people-proposed-law/ |