นักเคลื่อนไหวทางการเมือง

บาดแผลและความหวังหลังควันจาง


        งานสัมภาษณ์และศึกษาภาคสนามของ คิด for คิดส์ พบว่า เยาวชนผู้เคยมีบทบาทนำในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เผชิญชีวิตที่แตกต่างกันภายหลังกระแสการชุมนุมเบาบางลง โดยอาจจำแนกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ตามแนวทางที่พวกเขาเคยเคลื่อนไหว 

กลุ่มแรกคือกลุ่มผู้นำปราศรัยและประสานจัดการชุมนุม เช่น แกนนำนักเรียนนักศึกษาในแต่ละสถาบัน และขบวนการโบว์ขาว เยาวชนกลุ่มนี้ส่วนมากลดบทบาทการเคลื่อนไหว แล้วแยกย้ายกลับไปเรียนและทำงาน ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังพยายามมีส่วนร่วมทางการเมืองรูปแบบอื่น เช่น เป็นอาสาสมัครสังเกตการณ์การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในปี 2023 ที่ผ่านมา 

อีกกลุ่มคือกลุ่ม “ทะลุ” เป็นเยาวชนที่เคยรวมกลุ่มหลวมๆ เคลื่อนไหวแบบอิสระ และแสดงออกเชิงสัญลักษณ์โดยไม่มีมวลชน เช่น กลุ่มทะลุแก๊สและกลุ่มทะลุวัง ภายหลังกระแสสนับสนุนต่ำลง เยาวชนกลุ่มนี้ถูกบีบบังคับให้ยกระดับการเคลื่อนไหวต่อ ส่วนหนึ่งเพราะถูกรัฐบาลละเมิดสิทธิ คุกคาม และดำเนินคดีร้ายแรงเป็นพิเศษ แต่การยกระดับก็ส่งผลให้รัฐยิ่งพยายามกดปราบอย่างเด็ดขาดยิ่งขึ้น 

เสียงเครื่องยนต์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในเวลาเช้ามืดของทุกวัน กลายเป็นเสียงที่ปลุกให้เบส (นามสมมติ) เยาวชนที่เคยร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มทะลุแก๊ส สะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความหวาดผวา เพราะทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ที่ตำรวจบุกเข้ามาจับกุมเขาในบ้านของตัวเองตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

ในช่วงชุมนุมใหญ่ เบสเป็นเพียงผู้เข้าร่วมชุมนุมคนหนึ่ง เขาไม่เคยออกไปอยู่ในแนวหน้าหรือยืน
กลางสปอตไลต์บนเวทีปราศรัยใดๆ ชื่อและใบหน้าของเขาจึงไม่เป็นที่รู้จักของสื่อหรือมวลชน ทว่ากลับเป็นที่จดจำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจติดตามการโพสต์และแชร์ในเฟสบุ๊กของเบสอยู่ 2-3 เดือนก่อนตัดสินใจส่งเจ้าหน้าที่ขับรถมาควบคุมตัวเขาไปยังโรงพัก และข่มขู่ให้เขาลงชื่อในข้อตกลงว่าจะไม่โพสต์หรือแชร์เนื้อหาทางการเมืองที่อ่อนไหวอีก เมื่อกลับถึงบ้าน เขายังถูกต่อว่าจากครอบครัว และถูกริบเงินค่าเทอมระยะหนึ่ง

ปัจจุบัน เบสถอยห่างออกจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากแล้ว เขากำลังศึกษาต่อในสาขานิติศาสตร์พร้อมกับทำงานหาเลี้ยงตัวเองไปด้วย แม้ชีวิตจะก้าวเดินต่อไป แต่ในทุกๆ วัน เบสยังคงต้องเผชิญกับความหวาดระแวงตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงตกค่ำ สำหรับเขา การกลับบ้านอาจหมายถึงการถูกจับกุมอีกครั้ง เพราะ ‘บ้าน’ ได้ถูกทำให้กลายเป็นสถานที่ที่เขาไม่อาจสัมผัสถึงความรู้สึกปลอดภัยไปแล้วอย่างถาวร

เรื่องเล่าจาก เบส อายุ 23 ปี
เยาวชนกลุ่มทะลุแก๊ส

เยาวชนที่เคยมีบทบาทนำในการเคลื่อนไหวจำนวนมากยังคงถูกรัฐบาลดำเนินคดีและคุกคามอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องมาตราบจนปัจจุบัน จากข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2020 ถึงเดือนเมษายน 2024 มีเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกทางการเมืองแล้วอย่างน้อย 186 คน คิดเป็นร้อยละ 14.6 ของผู้ถูกดำเนินคดีการเมืองทั้งหมด 

หลายคดีเพิ่งทยอยเข้าสู่ขั้นการอ่านคำพิพากษา อุทธรณ์หรือฎีกา และเริ่มลงโทษในช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ตั้งแต่การเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2023ถึงเดือนเมษายน 2024 มีเยาวชนนักเคลื่อนไหวอายุ 15-25 ปีถูกคุมขังเพิ่มขึ้น 22 คน คิดเป็นร้อยละ 61.1 ของผู้ถูกคุมขังใหม่จากคดีการเมืองทั้งหมด ในจำนวนนี้ 17 คนถูกคุมขังโดยคดียังไม่สิ้นสุด แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างต่อสู้คดี และ 1 คนเสียชีวิตระหว่างถูกคุมขัง 

ทั้งนี้ เยาวชนกลุ่มทะลุมีแนวโน้มที่จะถูกตัดสินโทษจำคุกสูงและไม่ได้รับอนุญาตประกันตัวเป็นพิเศษ เพราะมักถูกฟ้องในฐานความผิดร้ายแรง เช่น ครอบครองอาวุธและใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เยาวชนอายุ 22 ปีรายหนึ่งในกลุ่มนี้ถูกตัดสินลงโทษจำคุกถึง 34 ปี

ในช่วงเวลาเดียวกัน มีเยาวชนอีกอย่างน้อย 19 คนถูกศาลตัดสินจำคุกโดยให้รอลงอาญา หรืออนุญาตประกันตัว แม้พวกเขาจะไม่ถูกคุมขังดังเช่นกลุ่มที่กล่าวมาข้างต้น แต่ก็ถูกจำกัดอิสรภาพ ต้องคอยเดินทางมารายงานตัวตามเวลาที่กำหนด และไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศ

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลยังติดตาม ข่มขู่ และคุกคามเยาวชนนักเคลื่อนไหวจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ โดยเจ้าหน้าที่มักเดินทางไป “แสดงความกังวล” และ “ขอร้อง” ให้เยาวชนงดเข้าร่วมหรืองดจัดกิจกรรมทางการเมือง บางกรณีเป็นการกดดันผ่านผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ในครอบครัว การคุกคามลักษณะนี้เกิดขึ้นอย่างน้อย 118 กรณี นับตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2023เป็นต้นมา ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่อมีพิธีการหรือบุคคลสำคัญเดินทางไปในพื้นที่ 

การคุกคามของรัฐบาลส่งผลให้
ความสัมพันธ์ในครอบครัวนักเคลื่อนไหวแตกหัก

การติดตามคุกคามของรัฐบาลแปรเปลี่ยนความเห็นต่างในครอบครัวเยาวชนนักเคลื่อนไหวหลายครอบครัว ให้กลายเป็นความขัดแย้งขั้นความสัมพันธ์แตกหัก โดยธรรมชาติ ความเห็นต่างทางการเมืองเกิดขึ้นได้ในทุกสถาบันทางสังคม ไม่เว้นกระทั่งสถาบันครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเห็นต่างไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การแตกหัก แม้ไทยจะเผชิญปัญหาความขัดแย้งการเมืองมาเกือบสองทศวรรษ และสมาชิกครอบครัวหนึ่งๆ มีโอกาสสูงที่จะเห็นต่างกัน แต่เยาวชนอายุ 15-25 ปีก็ยังคงเชื่อถือไว้ใจสถาบันครอบครัวมากที่สุดเหนือสถาบันทางสังคมอื่น ตามผลสำรวจเยาวชนของ คิด for คิดส์ ในปี 20221 

แต่ช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ฉวยใช้ความเชื่อถือไว้ใจและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นในครอบครัวมากดปราบเยาวชน นอกจากติดตามไปกดดันสมาชิกครอบครัวของพวกเขาถึงบ้านโดยตรงดังที่ได้กล่าวมาแล้ว รัฐบาลยังให้สถานศึกษาเรียกผู้ปกครองและผู้ใหญ่ในครอบครัวไปพูดคุยตักเตือน ตลอดจนกดดันผ่านญาติที่มีนามสกุลเดียวกับเยาวชนและทำงานในภาครัฐ หลายกรณี อำนาจรัฐก็ทำงานอัตโนมัติ คือบรรดาญาติเหล่านั้นพยายามช่วยห้ามปรามเยาวชนเองโดยรัฐบาลมิได้สั่งการ เยาวชนจึงอาจต้องตัดสินใจไม่เคลื่อนไหว เพราะกังวลถึงสวัสดิภาพและความปลอดภัยของสมาชิกครอบครัว 

การกดดันลักษณะนี้เพิ่มความตึงเครียดขัดแย้งในความสัมพันธ์ และเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ครอบครัวแตกหัก โดยปรากฏในหลายรูปแบบ ตั้งแต่ริบเงินค่าใช้จ่ายของเยาวชน ทำร้ายร่างกายเยาวชน กดดันเยาวชนจนมีปัญหาสุขภาพจิตและต้องออกจากบ้าน ไปจนถึงตัดขาดและไล่เยาวชนออกจากบ้าน2 ครอบครัวของเยาวชนที่ถูกดำเนินคดียังมักถูกโดดเดี่ยวจากเครือญาติและตัดขาดความช่วยเหลือ 

“ญาติที่เป็นข้าราชการกลัวว่าเราจะสร้างปัญหาให้เขา เพราะนามสกุลเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกันอีก เขาเลยบอกให้เราย้ายชื่อออกจากทะเบียนบ้านเลย แม่เองไม่ได้แสดงออกว่าสนับสนุนการเคลื่อนไหวของผมนะ แต่แม่โกรธมากที่เขาทำแบบนั้นเรียกว่าตัดญาติขาดมิตรกันตั้งแต่ตอนนั้น”

เรื่องเล่าจาก เยาวชนกลุ่มทะลุฟ้า 

หลายคนเริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์กับครอบครัว
แต่หลายคนยังเผชิญบาดแผลทางใจ

ภายหลังการชุมนุมใหญ่ผ่านมาราวสามปี ครอบครัวเยาวชนนักเคลื่อนไหวหลายครอบครัวสามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์กันได้ระดับหนึ่ง แต่เยาวชนจำนวนไม่น้อยยังเผชิญความยากลำบากในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ 

งานสัมภาษณ์และศึกษาภาคสนามของ คิด for คิดส์ พบว่าเมื่อไร้การชุมนุมการเผชิญหน้าในครอบครัวก็มีแนวโน้มลดลง เพราะการเผชิญหน้าที่เคยเกิดขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้ปกครองวิตกกังวลต่อความปลอดภัยของเยาวชน ครอบครัวที่เคยแตกหักเริ่มอยู่ร่วมกันได้ แม้อาจไม่สนิทสนมดังเดิม พวกเขาสามารถกลับมาพูดคุยเรื่องทั่วไป โดยหลีกเลี่ยงประเด็นที่เห็นแย้งและอาจเป็นเหตุให้ทะเลาะกัน เนื่องจากต่างฝ่ายต่างตระหนักแล้วว่าไม่สามารถเปลี่ยนความคิดกันและกันได้ 

ยิ่งไปกว่านั้น เยาวชนนักเคลื่อนไหวกับผู้ใหญ่อนุรักษนิยมที่เคยต่อต้านการเคลื่อนไหวบางส่วนยังร่วมเป็น “พันธมิตรจำเป็น” สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายก้าวหน้าในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2023 ผู้ใหญ่เหล่านี้อาจมิได้เห็นด้วยกับอุดมการณ์และข้อเสนอนโยบายของพรรคทั้งหมด แต่ตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจากเห็นว่าพรรคดังกล่าวมีศักยภาพที่จะคานอำนาจกับพรรคการเมืองที่ตนไม่ชอบยิ่งกว่า3

แม้ความสัมพันธ์กับครอบครัวจะดีขึ้น แต่เยาวชนนักเคลื่อนไหวก็ยังเผชิญบาดแผลทางใจหลายรูปแบบ โดยเฉพาะกลุ่มทะลุซึ่งมักมีประสบการณ์ถูกรัฐบาลกดปราบรุนแรงมากกว่า ตัวอย่างเช่น ผู้ให้ข้อมูลรายหนึ่งมีอาการหวาดผวาทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ในเวลาเช้ามืด จากประสบการณ์ที่เคยถูกตำรวจบุกจับกุมในบ้านของตนเองและควบคุมตัวไปยังสถานีตำรวจโดยไม่แจ้งข้อกล่าวหา อีกรายหนึ่งประสบปัญหาการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ เพราะมีเพื่อนถูกคุกคามจนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ จึงรู้สึกว่าตนเองมีส่วนรับผิดชอบ การดำเนินคดี ติดตาม และคุกคามที่รัฐบาลยังดำเนินการอยู่จนปัจจุบัน ยิ่งตอกย้ำบาดแผลทางใจ ส่งผลให้ยิ่งสมานแผลและคลี่คลายความ
ขัดแย้งในสังคมยากขึ้น 

“ช่วงที่เขาลี้ภัยไปแรกๆ เราคิดอยู่ตลอดเวลาว่าถ้าวันนั้น [วันที่มีการชุมนุม] เราไปห้ามเขาทัน ว่าอย่าขึ้นไปพูดแบบนั้นนะ มันอาจจะไม่ลงเอยแบบนี้มั้ย อีกส่วนมันก็กดดันให้เรารู้สึกว่าเราต้องประสบความสำเร็จ [ในการเรียนนิติศาสตร์] นะ สักวันหนึ่งเราต้องพาเขากลับมาให้ได้ ก็เลยเป็นภาระทางใจเหมือนกันที่เรารู้สึกว่าลึกๆ เราต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น”

เรื่องเล่าจาก เยาวชนกลุ่มนักเรียนเลว 

รัฐบาลต้องไปไกลกว่านิรโทษกรรม-
สร้างความยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่าน 

หลังกระแสการชุมนุมใหญ่เบาบางลงมาราวสามปี เยาวชนที่เคยมีบทบาทนำในการเคลื่อนไหวบางส่วนลดบทบาทกลับไปเรียนและทำงานเฉกเช่นเยาวชนทั่วไป บางส่วนถูกบีบบังคับให้ต้องยกระดับการต่อสู้ ส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลยังคงดำเนินคดี ติดตาม และคุกคามนักเคลื่อนไหวกระทั่งช่วงหลังการเลือกตั้งปี 2023 การคุกคามเช่นนี้เป็นปัจจัยสำคัญอันส่งผลให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวนักเคลื่อนไหวแตกหัก และทิ้งบาดแผลที่ยากจะเยียวยาแก่พวกเขา แม้เงื่อนไขการเมืองที่ผ่อนคลายความตึงเครียดจะเอื้อให้หลายครอบครัวเริ่มสามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์ แต่การคุกคามต่อเนื่องของรัฐก็สร้างบาดแผลใหม่ไม่สิ้นสุด ทำให้การสมานแผล ตลอดจนการคลี่คลายความขัดแย้งในสังคม ยากจะประสบความสำเร็จ 

การบรรลุเป้าหมายข้างต้นจำเป็นต้องอาศัยการสร้างความยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่าน เสริมสร้างความปรองดองบนพื้นฐานของการแสวงหาข้อเท็จจริงร่วมกัน และการรับผิดของผู้กระทำผิดอย่างเป็นธรรม ซึ่งหมายรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐบาลผู้กระทำความรุนแรงและละเมิดสิทธิของนักเคลื่อนไหวและประชาชน

ฉะนั้น นอกจากนิรโทษกรรมแล้ว รัฐบาลควรไต่สวนหาความจริงและแสดงความรับผิดชอบ โดยออกมายอมรับผิดอย่างเป็นทางการ นำผู้กระทำผิดมาลงโทษ พร้อมทั้งชดเชยเยียวยาโอกาสและคืนศักดิ์ศรีซึ่งเยาวชนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองต้องสูญเสียไปจากการดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรม ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลต้องปฏิรูปสถาบันทางการเมืองและกฎหมาย เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่รัฐกดปราบและละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างยั่งยืน4


รายการอ้างอิง

[1] ฉัตร คำแสง, วรดร เลิศรัตน์, เจณิตตา จันทวงษา, และ สรวิศ มา, ผลสำรวจเยาวชนของ คิด for คิดส์ 2022, 22 สิงหาคม 2022, https://101pub.org/youth-survey-2022/ (เข้าถึงเมื่อ 31 พฤษภาคม 2024).  

[2] Amnesty International Thailand, “‘แอมเนสตี้-ศูนย์ทนาย’ เผยดำเนินคดีของเด็กและเยาวชน 3 ปี สร้าง 7 ผลกระทบ แนะ 6 ข้อ ก.ยุติธรรม,” Amnesty International, 2023, http://www.amnesty.or.th/latest/news/1190/. (เข้าถึงเมื่อ 31 พฤษภาคม 2024). 

[3] กนกรัตน์ เลิศชูสกุล, ทิพย์นภา หวนสุริยา, ภาคิน นิมมานนรวงศ์, อุรพี เขื่อนคำ, และ ธนกฤต สำราญกมล, คิดใหม่การเมืองเรื่อง ‘รุ่น’: กรณีศึกษาความขัดแย้งในครอบครัวไทย (กรุงเทพฯ: ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว (คิด for คิดส์), TBP). 

[4] เจณิตตา จันทวงษา, “ไปให้ไกลกว่า ‘นิรโทษกรรม’ พาสังคมไทยเปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรม,” 101 Public Policy Think Tank, 5 พฤษภาคม 2023, https://101pub.org/transitional-justice-thai-politics/ (เข้าถึงเมื่อ 29 พฤษภาคม 2024). 


101 Public Policy Think Tank
ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง

ศูนย์วิจัยนโยบายสาธารณะไทยในบริบทโลกใหม่ สร้างสรรค์ความรู้ด้านนโยบายสาธารณะที่มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มพลังให้ประชาชนสามารถตัดสินใจอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในเรื่องสำคัญที่มีความหมายต่อชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และสังคม

Copyright © 2025 101pub.org | All rights reserved.