สามเณร

ร่มกาสาวพัสตร์ไม่ใช่ทางเลือกเสรี แต่คือ ‘ทางรอดที่มืดมน’


         ประเทศไทยมีสามเณรระยะยาว 33,924 รูป คิดเป็นร้อยละ 0.7 ของประชากรเด็กอายุ 7-19 ปีทั้งหมด1 ตามข้อมูลล่าสุดในปี 2023 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ จำนวนสามเณรลดลงต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี ทว่ากลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงราวสามพันคนในห้วงการแพร่ระบาดของโควิด-192

         สามเณรกว่าสองในสามกระจุกตัวอยู่ในภาคเหนือ (12,182 รูป) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (11,833 รูป) หากเปรียบเทียบกับประชากรเด็กอายุ 7-19 ปีในแต่ละภูมิภาค ภาคเหนือยังเป็นพื้นที่ที่มีสามเณรหนาแน่นที่สุด (ร้อยละ 1.5) รองลงมาคือกรุงเทพมหานคร (ร้อยละ 0.9) ซึ่งเด็กต่างจังหวัดจำนวนมากย้ายถิ่นเข้ามาบรรพชา3

งานสัมภาษณ์และศึกษาภาคสนามของ คิด for คิดส์ และ The101.world ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น และเชียงใหม่ ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2024 พบว่า สามเณรวัยเด็กและเยาวชนเกือบทั้งหมดต้องบรรพชาเพราะความจำเป็นจากปัญหาความยากจนและครอบครัวไม่สมบูรณ์ มิได้เลือกบรรพชาด้วยเจตจำนงเสรีหรือความฝันทางศาสนา พวกเขามักมีความฝันไม่ต่างจากเด็กทั่วไป เช่น อยากมีความเป็นอยู่ที่ดี เรียน ประกอบอาชีพ ทำงานอดิเรก และบรรลุเป้าหมายต่างๆ ในชีวิตทางโลก

ความจำเป็นมิติแรกมักเกิดจากผู้ปกครองมีรายได้ไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูและการศึกษาของเด็ก พวกเขาจึงต้องบรรพชาเพื่อให้สามารถเข้าถึงอาหาร ที่อยู่อาศัย และปัจจัยการดำรงชีพจากวัด พร้อมกับการศึกษาจากโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ปัจจุบัน ครัวเรือนเด็กและเยาวชนจำนวนมากประสบปัญหารายได้ไม่เพียงพอรุนแรง จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2023 เด็กอายุ 7-19 ปีถึงร้อยละ 53.5 อาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่ารายจ่ายเฉลี่ยในการเลี้ยงเด็กที่ 6,375 บาทต่อคนต่อเดือน4 สะท้อนเงื่อนไขที่อาจบีบบังคับให้เด็กหลายคนต้องบรรพชา 

“ถ้าไม่บวช อาตมาคงลำบากกว่านี้ เพราะการใช้ชีวิตข้างนอก เราต้องมีเงิน มีที่อยู่อาศัย”

และเวลานี้ พระทองไม่มีทั้งสองอย่าง

“อาตมาก็เคยเสียดายเหมือนกันนะ” เขาพูดขึ้นมาหลังความเงียบทิ้งตัวเนิ่นนาน “เพื่อนๆ สมัยเรียนโรงเรียนโยมบางคนได้ดีก็เยอะ มีเงินเดือน อยู่ในสภาพแวดล้อมครอบครัวที่ดี บางคนก็ไปเรียน กศน. หรือเรียนด้านวิชาชีพแล้วทำงานของเขาไป” 

“ก่อนบวช อาตมาเคยอยากเป็นจิตรกร วาดมาตั้งแต่ประถม 4 แล้ววาดเก่งด้วยนะ” เขาหัวเราะ “ให้วาดตอนนี้ก็คงวาดได้ แต่ต้องใช้เวลาหน่อย”

คำถามสุดท้ายของเราที่มีต่อพระทองในวันนั้น เลี่ยงไม่ได้ที่จะถามถึงอนาคตของเจ้าตัวหลังเรียนปริญญาตรีจบ คำตอบของพระหนุ่มเป็นความเงียบเสียมาก
“ถ้าให้อาตมาสึกหรือลาออกไป ก็คงใช้ชีวิตยากแล้วเพราะบวชนาน อาจจะปรับตัวยาก เราไม่รู้แล้วว่าโลกภายนอกเขาเป็นอย่างไร” 

“ถ้าในอนาคต พระมีครอบครัวและมีลูก พระอยากให้ลูกบวชเรียนเหมือนกันไหม” 

นิ่งเงียบเป็นคำตอบระลอกแรกอีกเช่นเคย ก่อนเขาจะเฉลย “ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ลูกเรียนโรงเรียนโยมมากกว่า”

เรื่องเล่าจาก พระทอง
พระสงฆ์และนิสิตปริญญาตรี กรุงเทพมหานคร

ความจำเป็นอีกมิติเป็นผลมาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์และไม่พร้อมดูแลเด็ก เช่น พ่อแม่หรือผู้ปกครองเสียชีวิต หย่าร้าง แต่งงานใหม่ ย้ายถิ่นไปทำงาน ถูกจำคุก ติดสารเสพติด และใช้ความรุนแรง ขณะเดียวกัน เด็กก็ไม่มีญาติคนอื่นซึ่งมีทรัพยากรเพียงพอและเต็มใจอุปการะ ครอบครัวจึงตัดสินใจส่งพวกเขามาอยู่ภายใต้ความดูแลของพระที่วัดแทน ปัจจุบัน เด็กอายุไม่เกิน 14 ปีราวร้อยละ 25.2 ไม่ได้อาศัยอยู่กับทั้งพ่อและแม่5 สถิติเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่าเด็กที่พ่อแม่ไม่พร้อมดูแลและเสี่ยงขาดผู้ดูแลเป็นพิเศษนับเป็นเด็กกลุ่มใหญ่มากในสังคม 

จากสาเหตุข้างต้น จำนวนสามเณรที่เพิ่มขึ้นจึงมิได้สะท้อนถึงความสนใจหรือความศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่มากขึ้น แต่เป็นสัญญาณของปัญหาความยากจนและครอบครัวไม่สมบูรณ์ที่รุนแรงขึ้นในหมู่ครัวเรือนที่มีเด็กและเยาวชนตั้งแต่ระหว่างจนถึงหลังวิกฤตโควิด ส่วนหนึ่งยังเป็นผลมาจากความพยายามเข้าถึงเด็กเหล่านั้นของวัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ หลายแห่งในเชิงรุก เช่น ประชาสัมพันธ์เชิญชวน และจัดรถไปรับเด็กในพื้นที่ยากจน

วัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ อาจเป็นทางรอดสำหรับเด็กที่ยากจนและมีครอบครัวไม่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่ใช่หนทางที่สามารถนำพาพวกเขาทุกคน – สามเณรทุกรูป – ไปสู่ปลายฝันได้ดังหวัง 

สามเณรที่บรรพชาตั้งแต่อายุน้อยต้องเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงการศึกษาระดับประถมศึกษา เพราะโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ เปิดสอนเฉพาะระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและปลาย ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็ไม่อนุญาตให้สถานศึกษาในสังกัดรับสามเณรเข้าเรียน6 อีกทั้งกรมส่งเสริมการเรียนรู้ยังกำหนดอายุมาตรฐานของนักเรียนการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ไว้สูงถึง 16 ปีขึ้นไป7 เมื่อไม่ได้เรียนประถมศึกษาหรือเรียนล่าช้า สามเณรกลุ่มนี้อาจขาดความรู้และทักษะพื้นฐานที่สุดในการดำเนินชีวิต เสียโอกาสเรียนต่อ และถูกตัดหนทางเติมเต็มความฝันในชีวิต 

สามเณรที่สามารถเข้าเรียนมัธยมศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ได้ ก็มีอัตราการออกจากโรงเรียนกลางคันสูง จากข้อมูลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สามเณรรุ่นที่เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษา 2020 มีจำนวนทั้งสิ้น 8,001 รูป แต่เรียนจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในปีการศึกษา 2022 เพียง 5,658 รูป ออกกลางคันราวร้อยละ 29.3 หลังจากนั้น สามเณรรุ่นนี้เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในปีการศึกษา 2023 แค่ 4,682 รูป เท่ากับว่าหลุดจากโรงเรียนรวมร้อยละ 41.58

งานสัมภาษณ์และศึกษาภาคสนามของ คิด for คิดส์ และ The101.world พบว่า สาเหตุการออกจากโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ มีหลากหลาย บางส่วนเพราะสถานการณ์ครอบครัวของสามเณรในมิติรายได้ ความสัมพันธ์ และความพร้อมในการดูแล เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น บางส่วนเติบโตจนพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น พร้อมทั้งมีโอกาสการศึกษาและการทำงานอื่น โดยเฉพาะในกลุ่มที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งสามารถเข้าเรียน กศน. และอาชีวศึกษา ตลอดจนรับจ้างงานทักษะต่ำถึงปานกลางได้แล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงหมดความจำเป็นที่บีบบังคับให้ต้องครองสมณเพศต่อไป 

อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญคือ สามเณรไม่สามารถเติบโต เรียนรู้ และเติมฝันในพื้นที่วัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ได้อย่างเหมาะสมและเป็นสุข พวกเขาติด ‘แอกทางศีลธรรม’ ถูกห้ามทำกิจกรรมที่สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยของวัยรุ่น สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology) ระบุว่าวัยรุ่นต้องผ่านพัฒนาการสำคัญ 10 ประการเพื่อเปลี่ยนสู่วัยผู้ใหญ่ ได้แก่9

  1. ปรับตัวกับพัฒนาการทางร่างกายและความรู้สึกทางเพศ
  2. พัฒนาทักษะการคิดเชิงนามธรรม เชิงวิพากษ์ เชิงปรัชญา และเชิงสร้างสรรค์
  3. สร้างอัตลักษณ์
  4. สำรวจ ตั้งคำถาม และนิยามชุดคุณค่า ความเชื่อ และจริยธรรมของตนเอง
  5. วางแผนอนาคต และพัฒนาทักษะการตัดสินใจ แก้ปัญหา จัดการความขัดแย้งและทดลองเสี่ยง
  6. เข้าใจประสบการณ์และแสดงออกอารมณ์ที่ซับซ้อน
  7. พัฒนามุมมองต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์
  8. ปรับความสัมพันธ์กับผู้ใหญ่และผู้ปกครอง
  9. สร้างมิตรภาพ
  10. เติมเต็มบทบาทและความรับผิดชอบที่มากขึ้นในฐานะสมาชิกครอบครัวแรงงาน และพลเมือง

ถึงกระนั้น สามเณรกลับถูกห้ามเล่นกีฬาและออกกำลังกาย ซึ่งจำเป็นต่อพัฒนาการทางร่างกาย อีกทั้งยังถูกห้ามเล่นดนตรีและร้องรำ ห้ามเดินทางท่องเที่ยว เล่นเกม และเล่นการละเล่น รวมถึงห้ามแต่งกายอิสระ ซึ่งจะช่วยขยายจินตนาการและฝึกฝนความคิดสร้างสรรค์ การห้ามกิจกรรมเหล่านี้ยังสร้างข้อจำกัดในการพัฒนาทักษะอื่น การค้นหาตนเองเพื่อสร้างอัตลักษณ์ และการวางแผนอนาคตในชีวิต 

ด้วยสามเณรเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา พวกเขาจึงไม่สามารถสำรวจและนิยามชุดคุณค่า ความเชื่อ และจริยธรรม ตลอดจนฝึกตัดสินใจและควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้อย่างอิสระ การศึกษาวิชาธรรมและบาลีที่เน้นท่องจำ และการปกครองภิกษุสามเณรที่มีลักษณะอำนาจนิยมสูง ยิ่งตอกย้ำปัญหาข้างต้น อีกทั้งปิดกั้นมิให้พวกเขาได้พัฒนาการคิดเชิงวิพากษ์และโต้แย้งถกเถียงเท่าที่ควร นอกจากนี้ การครองตนในฐานะสามเณรยังส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นได้ตามปกติเหมือนเด็กและเยาวชนทั่วไป ถูกตัดโอกาสในการเสริมสร้างประสบการณ์และทักษะความสัมพันธ์ 

‘แอกทางศีลธรรม’ ยังหมายความว่า สามเณรในฐานะผู้ทรงศีลไม่สามารถผิดพลาด แล้วเรียนรู้และเติบโตจากความผิดพลาดของตนเอง ดังที่วัยรุ่นควรมีโอกาส เพราะถ้าสามเณรประพฤติ ‘ผิด’ ก็มักถูกมองว่า ทำให้สถาบันพระพุทธศาสนามัวหมอง เป็นเหตุให้ศาสนิกชนติฉินนินทา วัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ จึงมักให้สามเณรรูปนั้นลาสิกขา เพื่อรักษาความชอบธรรมและอำนาจนำทางศีลธรรม

ด้วยเหตุทั้งหมดนี้ สามเณรจำนวนมากยังประสบภาวะเครียดและโดดเดี่ยวซ้ำเติมให้พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิต เติบโต และเรียนรู้อย่างเป็นสุข จนหลายคนต้องเลือกลาสิกขา แม้สถานการณ์ความยากจนและไม่พร้อมดูแลของครอบครัวจะยังไม่ดีขึ้นเพียงพอ กล่าวได้ว่า ปัญหาที่วัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ไม่เหมาะสำหรับพัฒนาการเด็ก ผลักพวกเขากลับสู่ความลำบาก และไกลปลายฝันยิ่งขึ้น 

เราถามถึงช่วงเวลาว่างตั้งแต่เรียนภาคบ่ายเสร็จจนถึงทำวัตรเย็นกินเวลานานหลายชั่วโมงของสองเณรน้อย ทั้งคู่นิ่งเงียบไปพักใหญ่คล้ายควานหาคำตอบของสิ่งที่ตัวเองทำ

“ก็ไม่ได้ทำอะไรครับ นอนเล่น” เณรแบงก์บอก

เณรเฟสยิ้ม แล้วเฉยๆ “อาตมาดู TikTok ชอบดูคลิปเขาแต่งรถมอเตอร์ไซค์กัน”

ความสำรวม ความสุภาพ ขีดเส้นให้นักบวชไม่ว่าจะวัยใดอยู่พ้นจากกิจกรรมสันทนาการต่างๆ สามเณรเหล่านี้จึงมีเวลาว่างเหลือเฟือ ที่หากพวกเขาไม่ทำความสะอาดห้องหับที่อยู่อาศัย ก็หมายถึงการลงมากวาดใบไม้ และพ้นไปจากนั้นคือการนอนหรือทำสมาธินิ่งๆ 

โลกของการ ‘หาที่ทางความชอบ’ ได้ลองผิดและลองถูกของเด็กผ่านการกระโจนเข้าหากิจกรรมต่างๆ จึงไม่ปรากฏในสมการชีวิตของสามเณร 

ในอนาคตอันใกล้ สามเณรเฟสเห็นภาพตัวเองลาสิกขาไปทำงานรับจ้าง “อยากไปเทปูนเพราะชอบงานก่อสร้าง เมื่อก่อนพ่อสอนให้ ตอนนั้นได้ค่าแรงวันละ 200-300 บาทเลยนะ” 

ส่วนเณรแบงก์ เขาคำนวณอนาคตตัวเองว่าคงดำรงตนเป็นเณรถึงวัย 18 ปี แล้วจึงสึกออกไปทำงานเพื่อดูแลพ่อแม่ “คงไปเปิดร้านอาหาร” เขาเล่าความฝันให้ฟัง 

เรื่องเล่าจาก เณรแบงก์ และ เณรเฟส อายุ 14 ปี
สามเณรโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ กรุงเทพมหานคร

โรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ
ไม่ช่วยขยายและเติมเต็มความฝันนอกรั้ววัด

สามเณรวัยเด็กและเยาวชนที่สามารถปรับตัวกับวัดและโรงเรียนปริยัติธรรมฯ ได้ ส่วนใหญ่ฝันจะลาสิกขาหลังสำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้นหรือตอนปลาย เพราะเดิมทีก็บรรพชาเพื่อเข้าถึงปัจจัยการดำรงชีพ การศึกษา และการดูแลเป็นหลัก 

ภายใต้บริบทข้างต้น โรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ กลับแทบไม่ช่วยขยายความฝันนอกรั้ววัดของพวกเขาให้กว้างไกลและทะเยอทะยานกว่าก่อนบรรพชา ถึงจะเรียนเป็นเวลาหลายปี แต่ส่วนใหญ่ยังคงประเมินศักยภาพ เห็นความเป็นไปได้ และกล้าคิดถึงอนาคตของตนจำกัดมาก ในมิติอาชีพ พวกเขาก็ฝันอยากทำงาน ซึ่งตนคุ้นเคยจากภูมิหลังครอบครัวและชุมชนที่ยากจนอยู่เช่นเดิม แม้เป็นงานที่ใช้ทักษะต่ำกว่าระดับการศึกษาของตน เช่น เกษตรกร กรรมกรก่อสร้าง คนขับรถ ไรเดอร์ พนักงานร้านสะดวกซื้อและร้านชำ บริกรร้านอาหาร คนขายอาหารหาบเร่แผงลอย และพนักงานสถานีบริการน้ำมัน เป็นต้น 

ยิ่งไปกว่านั้น โรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ยังไม่สามารถเติมเต็มความฝันของสามเณรได้เท่าที่ควร การเน้นจัดการเรียนการสอนวิชาสามัญ ธรรม และบาลี ไม่ตอบโจทย์เป้าหมายอาชีพของพวกเขา ขณะที่วิชาอาชีวศึกษาซึ่งพวกเขาน่าจะต่อยอดได้มากกว่า ยังถูกนำมาสอนน้อยมาก เมื่อประกอบกับการห้ามกิจกรรมอันสอดคล้องกับพัฒนาการวัยรุ่น อาจกล่าวได้ว่า โรงเรียนมิได้เตรียมให้เด็กเหล่านี้พร้อมสำหรับการหารายได้และดำเนินชีวิตนอกรั้ววัดตามแนวทางที่พวกเขาใฝ่ฝัน 

ปัญหาดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขาดทรัพยากรในการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ โรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ มีครูแทบไม่เพียงพอกับจำนวนห้องเรียน และไม่ครบทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตร โดยอัตราส่วนครูต่อห้องเรียนอยู่ที่ 1 ต่อ 1.1 เท่านั้น ตามข้อมูลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในปี 202310

งบประมาณอุดหนุนค่าจัดการเรียนการสอนก็ได้รับจัดสรรเพียง 1,100 และ 1,130 บาทต่อรูปต่อเดือน สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายตามลำดับ11 ถือเป็นอัตราต่ำมาก หากพิจารณาว่านักเรียนส่วนใหญ่เป็นนักเรียนประจำ และงบประมาณดังกล่าวต้องครอบคลุมค่ากินอยู่ทั้งหมด โดยคิดเป็นราวหนึ่งในสามหรือร้อยละ 36.7-37.7 ของเส้นความยากจนเท่านั้น

ดังนั้น วัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ จึงต้องพึ่งพาทรัพยากรบริจาคจากศาสนิกชนมาจัดการศึกษาและการดูแล ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างวัดขนาดใหญ่ ในพื้นที่ชุมชนหนาแน่น หรือมีชื่อเสียง กับวัดขนาดเล็กและไม่มีชื่อเสียง วัดประเภทหลังมีแนวโน้มระดมเงินบริจาคได้น้อยกว่า ได้รับบิณฑบาตและถวายภัตตาหารไม่เพียงพอ อีกทั้งมีพระสงฆ์สามเณรน้อย ครูพระและนักเรียนจึงอาจต้องรับกิจนิมนต์ในเวลาเรียน ไม่สามารถแบ่งงานกันทำชัดเจนโดยไม่รบกวนการจัดการเรียนการสอนได้เหมือนในวัดใหญ่


“เคยอยากเป็นทหารครับ เพราะผมเป็นไทใหญ่ เขาปลูกฝังมาแบบนั้น แต่ตอนนี้ไม่อยากเป็นแล้ว”

เณรจอมเครือพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ตอนนี้เขาวาดฝันอนาคตไว้ว่าจะเรียนให้จบชั้น ม.6 และลาสิกขาออกไปทำงานก่อสร้างเหมือนพ่อ เณรจอมเครือมีพี่ชายที่บวชเรียนเหมือนกัน แต่ตอนนี้สึกออกไปทำงานที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในแม่โจ้ เณรจอมเครือไม่ได้ฝันไกลไปกว่าการมีชีวิตแบบพ่อแม่ และหากกลับไปที่รัฐฉานก็คงไม่มีงานให้เลือกเท่าใดนัก เพราะชุมชนที่เขาอาศัยอยู่ก็ทำไร่ทำสวนเป็นอาชีพหลัก

เรื่องเล่าจาก เณรจอมเครือ อายุ 15 ปี
สามเณรข้ามชาติ จังหวัดเชียงใหม่

การบรรพชาถูกใช้อุดช่องว่างสวัสดิการ-บริการรัฐ 

สาเหตุพื้นฐานของปัญหาหลายประการที่กล่าวมาคือ วัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ มีบทบาททับซ้อน-ขัดแย้งในตัวเอง ระหว่างบทบาทในฐานะสถาบันศาสนา กับฐานะสถาบันรองรับและจัดการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ สถาบันศาสนาต้องก้าวเข้ามาแสดงบทบาทอย่างหลัง ก็เพื่ออุดช่องว่างของสวัสดิการและบริการของรัฐที่ไม่ทั่วถึง ไม่เพียงพอ และไม่ได้คุณภาพ 

ประเทศไทยขาดสวัสดิการเงินโอนสำหรับเด็กและเยาวชนวัยเรียนที่ทั่วถึงและเพียงพอ จึงไม่สามารถประกันได้ว่า ทุกคนจะสามารถเติบโต เข้าถึงการศึกษา และเติมเต็มฝันของตนได้ โดยไม่ถูกจำกัดโอกาสด้วยสถานะเศรษฐกิจของครอบครัวที่เกิดมา ขณะเดียวกัน สวัสดิการเงินโอนสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ดำเนินการผ่านกลไกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นหลัก ก็มีปัญหาตกหล่นถึงร้อยละ 57 และจ่ายเงินมูลค่าไม่เพียงพอ12 โดยเฉพาะสำหรับครัวเรือนยากจนที่มีเด็กและเปราะบาง

ในมิติสวัสดิการและบริการการศึกษา การเข้าถึงการศึกษาภาคบังคับและขั้นพื้นฐานในสถานศึกษาของรัฐหลายแห่งยังคงมีค่าเล่าเรียนในลักษณะค่าธรรมเนียมพิเศษต่างๆการจ่ายเงินอุดหนุนภายใต้นโยบาย ‘เรียนฟรี’ ไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายจำเป็นทั้งหมด และต้องให้ผู้ปกครองสำรองจ่ายไปก่อน งานสัมภาษณ์และศึกษาภาคสนามของ คิด for คิดส์และ The101.world ยังพบว่า ทุนการศึกษาที่มุ่งเป้านักเรียนยากจน เช่น เงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานสำหรับนักเรียนยากจน และทุนเสมอภาค มีปัญหาเข้าไม่ถึงนักเรียนในครัวเรือนที่ยากจนและเปราะบางที่สุด คัดกรองตกหล่น และมีมูลค่าน้อยเกินไป

ท้ายที่สุด บริการสถานรองรับเด็กที่ครอบครัวไม่พร้อมดูแลยังไม่เพียงพอ จากข้อมูลเด็กที่ไม่ได้อยู่กับครอบครัวประมาณสองแสนคนทั่วประเทศ13 มีเพียงร้อยละ 33.4 เท่านั้นที่อยู่ในสถานรองรับของรัฐ โดยอยู่ในบ้านพักและสถานรองรับสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร้อยละ 12.9, โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ ร้อยละ 14.7, และโรงเรียนเฉพาะความพิการ ร้อยละ 5.8 อีกสองในสามหรือร้อยละ 66.6 ต้องไปอาศัยอยู่ในสถานรองรับเอกชน โดยกลุ่มใหญ่ที่สุดหรือร้อยละ 37.2 บรรพชาเป็นสามเณรในวัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ14

รัฐบาลต้องสนับสนุนให้เด็กสามารถอยู่กับครอบครัว
และจัดบริการรองรับ-ดูแลอย่างเพียงพอ

สามเณรวัยเด็กและเยาวชนเกือบทั้งหมดมีความฝันนอกรั้ววัดไม่ต่างจากเด็กและเยาวชนทั่วไป แต่ด้วยความจำเป็นจากปัญหาครอบครัวยากจน ไม่สมบูรณ์ และไม่พร้อมดูแล พวกเขาจึงต้องบรรพชามาอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อเข้าถึงปัจจัยการดำรงชีพพื้นฐาน การศึกษา และการดูแลอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ดี สามเณรจำนวนมากกลับไม่สามารถทนอยู่ในวัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ได้ เพราะไม่ใช่พื้นที่เหมาะสำหรับพัฒนาการและการเรียนรู้ตามช่วงวัย ส่วนกลุ่มที่ปรับตัวได้ก็พบว่า โรงเรียนแทบไม่ช่วยขยายและเติมเต็มความฝันของพวกเขา ดังที่สถานศึกษาพึงกระทำ 

ถึงที่สุดแล้ว วัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ก็เป็นสถาบันศาสนา เพียงแต่ต้องเข้ามามีบทบาทรองรับและจัดการศึกษาให้เด็กและเยาวชน เพื่ออุดช่องว่างของสวัสดิการและบริการรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ทั่วถึง ไม่เพียงพอ และไร้คุณภาพ การคาดหวังให้วัดและโรงเรียนเหล่านี้ต้องสนับสนุนความเป็นอยู่และความฝันของเด็กและเยาวชนได้อย่างดีที่สุด นับว่าผิดวัตถุประสงค์หลักของสถาบัน ภายใต้บริบทสังคม เศรษฐกิจ การเมืองสมัยใหม่ 

รัฐบาลจึงควรแก้ปัญหาด้วยการพัฒนาสวัสดิการและบริการรัฐที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน ไม่ให้พวกเขาจำเป็นต้องหันไปพึ่งพาวัด – ให้การตัดสินใจบรรพชาเกิดจากเจตจำนงเสรีและความฝันแท้จริง – ทั้งนี้ รัฐบาลควรขยายสวัสดิการเงินโอนสำหรับเด็กเยาวชนวัยเรียนและผู้มีรายได้น้อยให้ทั่วถึงและเพียงพอ ควบคู่ไปกับลดต้นทุนการเข้าถึงบริการการศึกษา เพื่อลดความจำเป็นอันเกิดจากปัญหาความยากจน ควรเสริมว่า เด็กในสถานรองรับประมาณร้อยละ 90 ยังคงมีพ่อหรือแม่ที่มีชีวิตอยู่15 หากเติมทรัพยากรเพียงพอ ก็จะเอื้อให้เด็กสามารถอยู่พร้อมหน้ากับพ่อแม่ของตนเองได้มากขึ้นด้วย 

สำหรับเด็กและเยาวชนที่ครอบครัวไม่พร้อมดูแลจริง รัฐบาลควรอำนวยความสะดวกและสนับสนุนการรับอุปถัมภ์เด็ก พร้อมทั้งจัดสถานรองรับให้เพียงพอและมีคุณภาพดีขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรส่งเสริมให้สามเณรเรียนวิชาสามัญร่วมในสถานศึกษาปกติ เพื่อเป็นมาตรการระยะเปลี่ยนผ่าน  และเสริมสร้างทักษะจำเป็นในกรณีที่พวกเขาเปลี่ยนฝันและอยากลาสิกขาในอนาคต


รายการอ้างอิง

[1] พระธรรมวินัยไม่ได้กำหนดอายุขั้นต่ำในการบรรพชาสามเณรไว้ชัดเจน กำหนดเพียงต้องอยู่ในวัย “ไล่กา” ได้ ซึ่งหลายครั้งถูกตีความเท่ากับประมาณอายุ 7 ปี และไม่มีอายุสูงสุดในการบรรพชา 

[2] คิด for คิดส์ คำนวณจากสถิติบุคลากรและศาสนสถานทางศาสนาในประเทศไทย สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2023).

[3] เพิ่งอ้าง. 

[4] คิด for คิดส์ คำนวณจากผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2023). 

[5] เพิ่งอ้าง. 

[6] หนังสือสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ ศธ 04006/ว1248 เรื่อง การรับสามเณรเข้าเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 23 กรกฎาคม 2015. 

[7] บุคคลที่อายุต่ำกว่า 16 ปีสามารถสมัครเรียนการศึกษานอกโรงเรียนได้ก็ต่อเมื่อมีหนังสือส่งตัวจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 

[8] คิด for คิดส์ คำนวณจากข้อมูลสำนักงานการศึกษาพระปริยัติธรรม (2020) และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (2023).  

[9] Raising Teens Project, “Ten Tasks of Adolescent Development,” Massachusetts Institute of Technology, 2018, (accessed June 3, 2024). 

[10] คิด for คิดส์ คำนวณจากข้อมูลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (2023).

[11] “งบอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา (มิถุนายน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 [2022],” สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี, kri.onab.go.th/th/content/category/detail/id/6/iid/13198 (เข้าถึงเมื่อ 31 พฤษภาคม 2024).

[12] ฉัตร คำแสง, “‘บัตรคนจน’ ที่คนจนจริงครึ่งหนึ่งเข้าไม่ถึง: 5 ปี นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ,” 101 Public Policy Think Tank, 2 มีนาคม 2023, https://101pub.org/mistarget-welfare-card/ (เข้าถึงเมื่อ 4 มิถุนายน 2024). 

[13] อ้างอิงแนวทางการนับจาก: Kanthamanee Ladaphongphattha, Andy Lillicrap, and Wiwat Thanapanyaworakun, No Child Left Behind: No Less than 120,000 Children in Institutional Care in Thailand (Mahidol University and Alternative Care Thailand, 2023). 

[14] คิด for คิดส์ รวบรวมและคำนวณจากข้อมูลกรมกิจการเด็กและเยาวชน (2023); สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2023); สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2023); และ Ladaphongphatthana et al. (2023). 

[15] Alternative Care Thailand, “Exploring the ‘Orphan Myth’ in Thailand,” Alternative Care Thailand (ed.), Alternative Care Thailand (2014).


101 Public Policy Think Tank
ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง

ศูนย์วิจัยนโยบายสาธารณะไทยในบริบทโลกใหม่ สร้างสรรค์ความรู้ด้านนโยบายสาธารณะที่มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มพลังให้ประชาชนสามารถตัดสินใจอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในเรื่องสำคัญที่มีความหมายต่อชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และสังคม

Copyright © 2025 101pub.org | All rights reserved.