นากรีน

นากรีนไม่ไปไหน เพราะนโยบายพัฒนาทักษะไม่ตอบโจทย์?

ประเด็นสำคัญ

  • แม้ข้าวจะเป็นพืชหลักของประเทศ แต่การทำนาแบบดั้งเดิมกลับสร้างกำไรต่ำ ต้นทุนสูง และทำให้ชาวนาเปราะบางมากขึ้น พร้อมทั้งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษสำคัญของภาคเกษตร ส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในระยะยาว
  • การทำนาคาร์บอนต่ำหรือนากรีนสามารถลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จริง ทว่าชาวนาจำนวนมากยังไม่กล้าเปลี่ยน เนื่องจากขาดองค์ความรู้ ความเชื่อมั่น และการสนับสนุนที่เข้าใจง่าย
  • นโยบายพัฒนาทักษะที่ถูกถ่ายทอดจากโครงสร้างที่มีความรวมศูนย์ หน่วยงานแยกกันทำ และไม่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ จึงไม่สามารถผลักดันการเปลี่ยนผ่านได้อย่างแท้จริง
  • รัฐจึงต้องบูรณาการนโยบายใหม่ ให้ชาวนาเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ สร้างแรงจูงใจ และการประเมินที่วัดผลได้จริง เปิดทางให้การทำนากรีนกลายเป็นทางเลือกหลัก ไม่ใช่เพียงโครงการนำร่อง การพัฒนาทักษะเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องปรับโครงสร้างนโยบายโดยรอบไปพร้อมกัน ทั้งระบบอุดหนุน การชลประทาน งานวิจัย และความมั่นคงในที่ดินทำกิน

‘เมืองไทย อู่ข้าว อู่น้ำ’ เรามักนึกภาพนาข้าวเขียวอุดมสมบูรณ์สุดลูกหูลูกตา บรรยากาศอันสดชื่นไร้มลพิษ แต่แท้จริงแล้วพื้นที่สีเขียวที่เต็มไปด้วยข้าวนี้เอง ที่เป็นต้นเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษมากมายที่กำลังทำลายทั้งสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และโลกของเราอย่างช้าๆ

เกษตรกรไทยส่วนมากนิยมทำนาแต่กลับได้กำไรน้อย ท่ามกลางราคาปัจจัยการผลิตที่สูงขึ้น การทำนาแบบดั้งเดิมที่ใช้ทรัพยากรมาก กลับทำให้ชาวนารายได้น้อยลงและเปราะบางมากขึ้น รวมถึงมาตรการกดดันด้านสิ่งแวดล้อมในสังคมโลก ดังนั้นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถเข้ามาแก้ปัญหาอย่างตรงจุดคือ การทำนาคาร์บอนต่ำหรือนากรีน ที่นอกจากใช้ปัจจัยการผลิตน้อยลง เพิ่มผลิตภาพและกำไรแล้ว ยังสามารถรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

แม้ที่ผ่านมาทั้งรัฐบาลและองค์กรต่างๆ จะมีการผลักดันนโยบายให้การเปลี่ยนให้ชาวนามากรีน แต่ชาวนาจำนวนมากยังที่ไม่เข้าใจและขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับการทำนากรีนเป็นสาเหตุให้ไม่กล้าเปลี่ยนจากการทำนาดั้งเดิม

ดังนั้นภายใต้กระแสการเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในสังคมโลกและการปรับมาตราการของรัฐต่างๆ ทำให้ภาคส่วนต่างๆ เร่งปรับตัวสู่สังคมสีเขียวมากขึ้น 101 PUB จึงอยากชวนพิจารณาช่องโหว่ของนโยบายพัฒนาทักษะที่ยังไม่สามารถผลักดันให้ชาวนาไทยเปลี่ยนไปสู่การทำนากรีนได้ นโยบายการพัฒนาทักษะเกษตรกรในปัจจุบันเป็นปัญหาใหญ่ที่คนมองข้าม เนื่องจากมักเป็นการมอบองค์ความรู้ภายใต้โครงการใดโครงการหนึ่ง แต่ละโครงการมักแยกส่วนจากกัน นโยบายจากส่วนกลางไม่ตอบโจทย์และไม่จูงใจจึงทำให้ไม่สามารถสะท้อนผลประโยชน์จากตัวเกษตรกรอย่างแท้จริง พร้อมเสนอแนวทางการเปลี่ยนรูปแบบโครงการที่มีอยู่ให้เข้าถึงชาวนาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและสะท้อนประโยชน์ต่อตัวชาวนาอย่างแท้จริง

ทำนาวิถีเดิมได้กำไรต่ำ ซ้ำเติมวิกฤตสิ่งแวดล้อม

แม้ ‘ข้าว’ เป็นพืชที่เกษตรกรไทยปลูกเยอะที่สุดแต่กลับสร้างรายได้ต่ำไม่พอเลี้ยงปากท้อง มีครัวเรือนเกษตรกรที่ประกอบอาชีพเป็นชาวนาถึงร้อยละ 60.6[1]สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, การศึกษาแนวทางการสร้างเสถียรภาพการค้าสินค้าข้าว (กรุงเทพฯ: กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2567) แต่จากการประเมินรายได้สุทธิต่อครัวเรือนเฉลี่ยต่อปีจากการปลูกข้าว ในช่วงปี 2017-2022 พบว่า ชาวนามีกำไรจากการปลูกข้าวเพียง 18,546 บาทต่อปี[2]ttb analytics, “ttb analytics แนะภาคเกษตรไทยทำอย่างไร… ให้ไปได้ไกลกว่าเดิม…,” ttb, 27 เมษายน 2023, https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttb-analytics-agricultural (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025). เฉลี่ยเพียง 50 บาทต่อวัน น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำที่สุดในปัจจุบันที่ 337 บาทต่อวัน[3]“อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ,” กระทรวงแรงงาน, 17 มิถุนายน 2025, https://www.mol.go.th/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม … Continue reading ถึง 6 เท่า

กำไรที่ลดลงจากต้นทุนการผลิตที่สูงและราคาผลผลิตที่ไม่แน่นอน ทำให้ในภาพรวมรายได้จากข้าวมีแนวโน้มปรับตัวลงตั้งแต่ปี 2024[4]ttb analytics, “ttb analytics คาดรายได้ภาคเกษตร 5 พืชหลัก ปี 2567 พลิกฟื้นแตะ 9 แสนล้านบาท ด้วยอานิสงส์ด้านราคา แม้ปริมาณผลผลิตจะลดลงจากภัยแล้ง … Continue reading จนถึงต้นปี 2025 โดยผลผลิตมีความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ราคาข้าวไทยยังลดลงในรอบ 4 ปี[5]“ราคาข้าวไทยคาดปรับลดลงถึงไตรมาสแรกปี 2569 และทั้งปี 2569 อาจฟื้นโตได้ราว 0.8%YoY,” ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, 31 ตุลาคม 2025, https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/TH-Rice-Price-CIS3617-FB-2025-10-31.aspx … Continue reading จากปัญหาอุปทานส่วนเกิน รวมถึงมูลค่าการส่งออกหดตัวลงกว่าปีก่อนถึงร้อยละ 40[6]ttb analytics, “รายได้เกษตรกร ก.ย. 2568 ทรงตัวท่ามกลางความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร,” ttb, 29 กันยายน 2025, https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttba-agricultural-income-sep-2025 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025). จากต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าประเทศอื่นและมีผลิตภาพต่ำกว่า

ในขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ชาวนายังคงเร่งปลูกโดยเน้นปริมาณที่ใช้ทรัพยากรจำนวนมาก การทำนาน้ำท่วมโดยทั่วไป มักขังน้ำในนาข้าวตลอดช่วงการเจริญเติบโตของต้นข้าว ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงส่งผลให้การระบาดของโรคพืช แมลงศัตรูพืชและวัชพืชเพิ่มขึ้น นำไปสู่การใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีในปริมาณมาก ขณะเดียวกัน การจัดการตอซังข้าวที่ไม่เหมาะสม ทั้งการเผาและการฝังกลบแบบเปียก ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชลประทานที่มีการทำนานอกฤดูกาล ใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง และเร่งปลูกข้าวในรอบถัดไปด้วยการเผาตอซัง[7]นิพนธ์ พัวพงศกร และคณะ, อนาคตชาวนา ชาวสวนรายเล็ก, (กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2022).

ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ดูไกลตัวกลับส่งผลกระทบโดยตรงมากขึ้นเรื่อยๆ หากชาวนายังคงทำนาแบบเดิม การทำนาน้ำขังเป็นต้นเหตุของการปล่อยก๊าซมีเทนในนาข้าว ในปี 2020-2023 มีการใช้น้ำเพื่อเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการทำนาในฤดูนาปรังใช้น้ำเฉลี่ยถึง 1,200 – 1,500 ลบ.ม./ไร่/ฤดู[8]“ชวนเกษตรกร วางแผนปลูกพืชหลากหลายใช้น้ำน้อยแทนข้าวในฤดูนาปรังปีนี้ ประหยัดน้ำ สร้างรายได้,” กรมประชาสัมพันธ์, 25 มกราคม 2025, … Continue reading แม้ในพื้นที่ชลประทานจะมีน้ำเพื่อใช้ในฤดูแล้งแต่ไม่พอในการกระจายสู่ทุกภาคส่วน นอกจากนี้ยังมีการนำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 55.4[9]สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร, “สรุปข้อมูลการนำเข้า-ส่งออกวัตถุอันตรายทางการเกษตร 2022-2024,” กรมวิชาการเกษตร, 15 กันยายน 2025, https://www.doa.go.th/ard/?page_id=386 … Continue reading (ปี 2022-2024) โดยในจังหวัดที่มีการปลูกมากอย่างสุพรรณบุรี กาญจนบุรี ชัยนาทและพระนครศรีอยุธยาเคยพบสารเคมีตกค้างจากข้าวถึงร้อยละ 51.1 ของปริมาณตัวอย่างข้าวที่สุ่มตรวจจำนวน 90 รายในฤดูนาปี/นาปรัง ปี 2021/2022[10]ผกามาศ วงค์เตย์ และคณะ, “การตกค้างของสารเคมีป้องกันกําจัดแมลงศัตรูและโรคข้าวในผลผลิตข้าวจากพื้นที่ปลูกข้าวภาคกลางประเทศไทย,” … Continue reading รวมทั้งข้าวยังเป็นหนึ่งในพืชที่มีการเผาวัสดุเหลือใช้มากที่สุด โดยมีการเผาซ้ำซากกว่า 2.1 ล้านไร่ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา (ปี 2010-2019)

วิธีปลูกแบบดั้งเดิมกำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตชาวนา มีการพบผู้ป่วยจากพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และการสูดอากาศที่มีมลพิษจากการเผา เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM2.5 ก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้และสารก่อมะเร็งอื่นๆ ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชากรกว่า 2 ล้านคนต่อปีเข้าโรงพยาบาล[11]Ratti (Bo) Veerawong, “Experts gather in Bangkok to unveil sustainable solutions to combat agricultural burning in Thailand,” DLG Magazine, Last modified 2024, https://www.dlg.org/en/magazine/experts-gather-in-bangkok-to-unveil-sustainable-solutions-to-combat-agricultural-burning-in-thailand

ในระยะยาว ไม่เพียงกระทบชีวิตแต่กระทบสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดสารเคมีปนเปื้อนในระบบนิเวศและหน้าดินที่เสื่อมโทรม ขาดแร่ธาตุ ดินทรุด ส่งผลต่อผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำลง การทำนาแบบน้ำท่วมนี้ยังเป็นบ่อเกิดของก๊าซมีเทน ทำให้การทำนาปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในภาคเกษตรกรรมถึงร้อยละ 51.3[12]“เมื่อโลกร้อนและรวน: ภาคส่วนใดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด?,” UNDP, 28 เมษายน 2024, … Continue reading ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนทำให้ปริมาณน้ำฝนลดลง เสี่ยงต่อภัยแล้งที่จะทำให้ชาวนาปลูกข้าวได้ยากขึ้น ชาวนาในปัจจุบันจึงจำเป็นต้องเริ่มปรับตัวและเปลี่ยนวิธีการปลูกข้าวเพื่อเพิ่มรายได้และสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

ทำนากรีนลดผลกระทบต่อโลก-มีศักยภาพเพิ่มรายได้

การทำนากรีน คือ การเน้นวิธีการตั้งแต่เริ่มต้นการเตรียมและปลูกข้าวไปจนถึงการเก็บเกี่ยวที่มีกระบวนการในการรักษาสิ่งแวดล้อมและลดปริมาณคาร์บอน วิธีหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับคือการทำนาเปียกสลับแห้ง หรือการทำนาโดยอาศัยการปรับพื้นดินที่ราบและการควบคุมน้ำในนาข้าวให้เกิดช่วงขังน้ำและช่วงแห้งในเวลาที่เหมาะสม[13]กองวิจัยและพัฒนาข้าว, “รายงานสถานการณ์ข้าวโลกและข้าวไทย,” กรมการข้าว, (ม.ป.ป.), https://files.ricethailand.go.th/files/15/documents/page_doc/files-rice-1749007607422.pdf (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025). ทำให้ต้นข้าวมีรากและต้นที่แข็งแรงขึ้น ไม่อวบน้ำ ความชื้นในแปลงต่ำ ทนทานต่อแมลง โรคระบาดต่างๆ เมื่อต้องกำจัดศัตรูพืชน้อยลง ชาวนาจึงสามารถลดการใช้สารเคมีด้วยระบบการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน; IPM เพื่อใช้สารเคมีเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ร่วมกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยสั่งตัด และเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวแล้วจึงทำลายตอซังด้วยการฝังกลบหรือการแปรสภาพเพื่อนำไปขายต่อ

การทำนากรีนนั้นจะช่วยลดการปนเปื้อนของสารเคมีและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ ส่งผลให้ข้าวมีความทนทานแข็งแรงมากขึ้นและนำมาสู่เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ด้วยการใช้วิธีทำนาแบบเปียกสลับแห้งยังทำให้ชาวนาสามารถลดการใช้น้ำได้ถึงร้อยละ 28 และลดการปล่อยมีเทนถึงร้อยละ 48[14]Nipon Poapongsakorn, “Making Exports for a Low-Carbon Era,” Thailand Development Research Institute (TDRI), Last modified April 1, 2024,  https://tdri.or.th/en/2024/04/making-exports-for-a-low-carbon-era/

ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2020)

การทำนากรีนเพิ่มกำไร ลดคาร์บอนได้จริง จากการสำรวจชาวนาที่ทำนาปรังในปี 2018 ในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคกลางจำนวน 106 ราย พบว่าเมื่อเปรียบเทียบการทำนาแบบทั่วไปในปี 2017 และการทำนาเปียกสลับแห้งในปี 2018 มีผลตอบแทนสุทธิมากขึ้นถึงร้อยละ 22.2 จาก 1,643.2 บาทต่อไร เป็น 2,008.7 บาทต่อไร โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20.5 จาก 208.4 KgCO2e[15]กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ต่อไร่ ลดลงเหลือ 165.7 KgCO2e ต่อไร่ นอกจากนี้มูลค่าจากการประหยัดน้ำและการขายคาร์บอนเครดิตถึง 11,128.0 บาทต่อไร่[16]วิษณุ อรรถวานิช, “ตลาดคาร์บอนกับบทบาทภาคเกษตรไทย (จัดเวทีและเผยแพร่โดย สถาบันคลังสมองของชาติ ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), … Continue reading

ในระยะยาวหากสามารถผลิตข้าวกรีนอย่างเต็มรูปแบบก็สามารถเปิดโอกาสในการพัฒนามาเป็นสินค้าในตลาดพรีเมียมเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยปัจจุบันเวียดนามสามารถเพิ่มการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำและสร้างรายได้จากการสร้างแบรนด์พรีเมียมเพิ่มเท่าตัว จากประมาณ 395–514 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันเป็น 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ส่งออกทั้งในยุโรป ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น[17]“ไม่ธรรมดา ข้าวคาร์บอนต่ำเวียดนาม สร้างมูลค่าใหม่ให้ตลาดข้าวโลก,” Post Today, 23 สิงหาคม 2025, https://www.posttoday.com/smart-life/729234 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).

นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสในการส่งออกตลาดข้าวกรีน เนื่องจากเทรนโลกมุ่งเน้นในเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รัฐบาลในหลายประเทศจึงให้ความสำคัญกับนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ โดยในปี 2024 ตลาดเกษตรกรรมคาร์บอนต่ำมีมูลค่า 571.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯและคาดว่าจะพุ่งสูงขึ้นถึง 1,719.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2032

โดยมาตรการที่เริ่มต้นขึ้นแล้วและส่งผลกระทบมาสู่ประเทศไทย คือ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism; CBAM) แม้ข้าวไม่ได้ถูกรวมในหมวดหมู่สินค้าสินค้าระยะแรก (1 ต.ค. 2023 – 31 ธ.ค. 2025) แต่ในระยะยาวคาดการณ์ว่าในปี 2030 จะครอบคลุมผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น นำมาสู่แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายจากรัฐบาลประเทศอื่นๆ[18]“EU Carbon Border Adjustment Mechanism: What is it, how does it work, and what are the effects?,” OECD, Last modified March 21, 2025, https://www.oecd.org/en/blogs/2025/03/eu-carbon-border-adjustment-mechanism-what-is-it-how-does-it-work-and-what-are-the-effects.html และผลกระทบจากแรงกดดันของบริษัทข้ามชาติในห่วงโซ่อุปทานที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น บริษัท Tesco ที่มีเป้าหมายในกำหนดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในห่วงโซ่การผลิตทั้งหมดภายในปี 2050 โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นฐานสำคัญของการผลิตอาหารและสินค้าเพื่อการบริโภค[19]“Climate Change,” Tesco, Last modified 2025, https://www.tescoplc.com/sustainability/planet/protecting-nature/climate-change

ชาวนาขาดทักษะหนึ่งในปัจจัยใหญ่ขวางไม่ให้เปลี่ยนไปทำนากรีน

ที่ผ่านมา รัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ผลักดันการเสริมศักยภาพเกษตรกรในการทำเกษตรสมัยใหม่ที่คำนึงถึงการเพิ่มรายได้และลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในทุกยุค เช่น นโยบาย Thailand 4.0 ในภาคเกษตร[20]“Thailand 4.0 กับการเกษตรสมัยใหม่: ปฏิวัติภาคเกษตรด้วยนวัตกรรม,” BCG, 8 พฤษภาคม 2025, https://www.bcg.in.th/data-center/articles/thailand-4-modern-agriculture-innovation/ (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025). โครงการภายใต้หลักการตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ แผนปฏิบัติการด้านการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2566 – 2570[21]“แผนปฏิบัติการด้านพืชเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2568 – 2570 กรมส่งเสริมการเกษตร,” กรมส่งเสริมการเกษตร, 2 ตุลาคม 2025, … Continue reading และการประกาศสนับสนุน 8 นโยบายอุดหนุนข้าวคาร์บอนต่ำกว่า 1 ล้านไร่[22]“รมช.นเรศ เดินหน้าข้าวคาร์บอนต่ำ 1 ล้านไร่ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต พร้อมผลักดันนโยบาย 8 ด้าน มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว … Continue reading

กรมชลประทานได้มีการผลักดันการปลูกนาเปียกสลับแห้งมาตั้งแต่ปี 2015 รวมถึงโครงการ Thai Rice NAMA ในปี 2018 – 2023 ภายใต้การร่วมมือของกระทรวงเกษตรฯร่วมกับองค์กรความร่วมมือต่างประเทศของเยอรมัน (Deutsche Gesellschaft für Internationale Zusammenarbeit; GIZ) เพื่อเป็นการนำร่องการปลูกข้าวกรีนใน 6 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และสุพรรณบุรี และพัฒนาต่อยอดออกมาสู่โครงการ Thai Rice GCF (ปี 2023 – 2028) ขยายพื้นที่เป็น 21 จังหวัดในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และที่ราบลุ่มภาคกลาง[23]“โครงการเพิ่มศักยภาพการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ: Thai Rice GCF (Strengthening Climate-Smart Rice Farming Project),” กรมการข้าว, (ม.ป.ป.), https://newwebs2.ricethailand.go.th/upload/doc/7293/1672892387.pdf (เข้าถึงเมื่อ 24 … Continue reading

จากการสำรวจชาวนา 211 รายในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างที่สามารถทำนาแบบเปียกสลับแห้งแต่ไม่ได้ทำ พบว่าร้อยละ 51.5 เกิดจากการขาดองค์ความรู้ในภาพรวมทำให้เกิดความกังวลว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย เช่น ทั้งไม่มีความรู้เรื่องการทำนาเปียกสลับแห้ง กลัวแปลงนาอาจมีหญ้ามาก ไม่แน่ใจว่าคุ้มค่าหรือไม่ และกลัวว่าผลผลิตต่อไร่จะลดลง[24]นิพนธ์ พัวพงศกร และคณะ, “นาเปียกสลับแห้ง หนทางแห่งอนาคต ลดผลกระทบโลกร้อน,” สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI), 28 สิงหาคม 2023, … Continue reading

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่น ความเชื่อมั่นต่อชลประทานในการปล่อยน้ำหรือกลัวว่าจะได้น้ำไม่เพียงพอ (20%) มีพื้นที่ไม่เหมาะในการทำ (18%) รวมทั้งปัญหาการไม่มีเงินทุนหรือกลัวถูกบอกเลิกเช่าที่ดิน ร้อยละ 6 และ 3 ตามลำดับ

จากประโยชน์มากมาย ทั้งเพิ่มกำไร และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ทำไมชาวนาไม่ทำ? ปัญหาการสร้างความเชื่อมั่น มอบองค์ความรู้และพัฒนาทักษะอย่างครบวงจรจึงเป็นอีกหนึ่งในกำแพงสำคัญที่ทำให้ตัวนโยบายไม่สามารถไปถึงชาวนาได้ ที่ผ่านมามีนโยบายเกษตรมากมายที่พยายามให้ชาวนานำนวัตกรรมมาใช้เพื่อสร้างรายได้ แต่ส่วนมากยังมองว่าโครงการเหล่านี้เข้าใจยากและเข้าไม่ถึงทำให้เกษตรกรไม่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่แรกหรือออกจากโครงการระหว่างทาง

ตัวอย่างเช่น โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning by Agri-Map) ในปัจจุบันมีเกษตรกรจำนวนมากที่ผลิตพืชไม่เหมาะสมกับพื้นที่และเกินความต้องการของตลาด รัฐจึงพยายามจูงใจให้เกษตรกรเปลี่ยนการผลิตให้เหมาะสมโดยใช้แผนที่ Agri-Map เพื่อเลือกการเพาะปลูก โดยเจ้าหน้าที่รัฐจะมอบความรู้และปัจจัยการผลิตบางส่วน แต่ด้วยการสื่อสารที่ยากต่อการทำความเข้าใจผลลัพธ์รูปธรรมที่ชาวนาจะได้รับ รวมทั้งไม่มีความรู้ในการปลูกพืชที่เหมาะสมตั้งแต่แหล่งขายพันธุ์ไปจนถึงตลาดในการจำหน่ายผลผลิต ทำให้การนำนโยบายไปปฏิบัติเป็นไปได้ยากในความเป็นจริง

เช่นเดียวกับนโนบายมาตรฐานสินค้าเกษตร; GAP หรือเกษตรอินทรีย์ ที่มุ่งยกระดับสินค้าที่มีมาตรฐานปลอดภัยต่อสุขภาพและตรวจสอบได้ แต่มักพบอุปสรรคในการรับรองที่เกษตรกรมองว่ายุ่งยากและราคาที่ขายภายในประเทศยังคงไม่ต่างกันมากนัก จึงไม่มีความจูงใจในการเปลี่ยนมาทำ

ในนโยบายเกษตรทฤษฎีใหม่ หรือการให้เกษตรกรบริหารจัดการและและดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เจ้าหน้าที่รัฐจะเข้ามาสนับสนุนโดยการพัฒนาศักยภาพและปัจจัยการผลิตของเกษตรกร แต่เนื่องจากเกษตรกรไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเนื่องจากขาดความรู้ด้านเทคโนโลยี หรือไม่มีความรู้ในการจัดแผนการผลิตทำให้มีอุปสรรคในการขับเคลื่อนโครงการ เมื่อไม่เห็นผลทำให้ให้เกษตรไม่อยากดำเนินการต่อ

เกษตรกรรายเล็กที่ปลูกพืชเศรษฐกิจมูลค่าต่ำ ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย และยางพารา ยังมีความต้องการเทคโนโลยีดิจิทัล (Agri tech digital services) ต่ำมากหรือน้อยกว่าร้อยละ 20 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการขาดองค์ความรู้ ทำให้ไม่มั่นใจผลลัพธ์ ความคุ้มค่าและประโยชน์ที่จะได้รับจึงไม่กล้าเสี่ยง[25]นิพนธ์ พัวพงศกร และคณะ, รายงานฉบับสมบูรณ์ … Continue reading  

ครัวเรือนเกษตรครัวเรือนเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการเกษตรยังมีเพียงแค่ร้อยละ 23.0[26]กองสถิติเศรษฐกิจ, “ครัวเรือนเกษตรกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการเกษตรในรอบปีที่ผ่านมา (พ.ค. 60 – เม.ย. 61),” … Continue reading แม้ในปัจจุบันจะมีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้นแต่เกษตรกรอาจมากถึงร้อยละ 61.6 มีปัญหาในการใช้เครื่องมือเหล่านี้[27]ธีรดนย์  ขันตา, “เกษตรกรเข้าถึงการใช้เทคโนลีและนวัตกรรม ร้อยละ 64.99 ติดปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ร้อยละ 43.43,” แม่โจ้โพล, 2 พฤษภาคม 2022, … Continue reading   

เนื่องจากเกษตรกรส่วนมากขาดความเชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่แรก หรือเข็ดจากการที่นโยบายต่างๆ ไม่ได้ผล สุดท้ายเกษตรกรจึงขาดแรงจูงใจในการนำนโยบายมาปฏิบัติ โดยเฉพาะเกษตรกรสูงอายุ ในปี 2022 ที่อายุเฉลี่ยของหัวหน้าครัวเรือนเกษตรทั้งประเทศ ร้อยละ 30 มีอายุเฉลี่ยระหว่าง 56 – 65 ปี และร้อยละ 26 มากกว่า 65 ปี[28]สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.), “การศึกษาแนวทางการสร้างเสถียรภาพการค้าสินค้าข้าว,”. ทำให้การอบรมในลักษณะการนั่งเรียนทฤษฎีไม่ได้ผล หรือการนำความรู้มามอบให้โดยที่ไม่ชี้เป้าหมาย ผลประโยชน์ด้านกำไร/ขาดทุนในระยะยาวอาจทำให้เกษตรกรที่เป็นผู้สูงอายุกลัวค่าเสียโอกาสที่ต้องลงทุนกับเวลาที่เสียในการเข้าร่วมโครงการ

ดังนั้นบ่อยครั้งที่การสื่อสารความรู้ยังไปไม่ถึงเกษตรกร ทำให้นโยบายเกษตรไม่สามารถเข้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรหรือเปลี่ยนวิถีแบบดั้งเดิมได้

นโยบายพัฒนาทักษะชาวนาในอดีตล้มเหลวเรื้อรัง

เพราะขับเคลื่อนรวมศูนย์-แยกส่วน จนไม่ตอบโจทย์

การพัฒนาทักษะเกษตรกรที่ผ่านมามักเป็นรูปแบบการมอบองค์ความรู้หรือนวัตกรรมเฉพาะด้านที่สอดคล้องนโยบายที่ออกมา แต่ยังไม่สามารถพัฒนาคุณภาพและลดภาระหนี้สินให้แก่เกษตรกร

การศึกษานโยบายภาคเกษตรพบว่ามีเพียงนโยบายเดียวที่คุ้มค่า จากการประเมินผลประโยชน์ของครัวเรือนและความคุ้มค่าของงบประมาณที่จ่ายไป นโยบายการบริหารจัดการน้ำเป็นนโยบายเดียวที่สร้างผลประโยชน์เชิงบวก[29]วิษณุ อรรถวานิช, “รายงานการวิจัย การประเมินผลกระทบของนโยบายสาธารณะที่หลากหลายต่อความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจของเกษตรกรไทย,” (กรุงเทพฯ: … Continue reading โดยเน้นการจัดการกับทรัพยากรน้ำเพื่อส่งเสริมการทำเกษตร ซึ่งแตกต่างจากนโยบายอื่นที่เน้นพัฒนาศักยภาพเกษตรกร

แม้ภาครัฐจะใช้งบประมาณจำนวนมากในการพัฒนาเกษตรกร แต่ผลลัพธ์ที่ได้ยังไม่คุ้มค่ากับการลงทุน โดยเฉพาะด้านการพัฒนาทักษะ ซึ่งยังประสบปัญหาเชิงโครงสร้างในลักษณะซ้ำเดิม ส่งผลให้การยกระดับศักยภาพชาวนาไม่ประสบความสำเร็จ

นโยบายในปัจจุบันเป็นรูปแบบรวมศูนย์ถูกส่งลงมาสู่ศูนย์กลางทำให้ในการนำมาปฏิบัติจริงเกิดช่องว่าง และปัญหาเชิงพื้นที่ถูกละเลย ด้วยโครงสร้างดังนี้ บ่อยครั้งที่เกษตรกรต้องพบกับปัญหาข้าราชการประจำย้ายศูนย์ ทำให้การรวมตัวอ่อนแอ เหมือนต้องเริ่มใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ทำให้เกษตรกรหมดความเชื่อมั่นและไม่อยากเข้าร่วมต่อ

การนำเสนอนโยบายมักอยู่ในรูปแบบโครงการแยกส่วน กล่าวคือ ภายใต้โครงการเดียวกัน แต่ละหน่วยงานมักแยกกันทำตามภารกิจของหน่วยงาน หรือในแต่ละโครงการที่มีความเชื่อมโยงกัน แต่กลับไม่ถูกบูรณาการให้ง่ายต่อการเข้าร่วมและเรียนรู้ของเกษตรกร

หลายครั้งที่โครงการมีการประเมินที่ไม่สะท้อนผลลัพธ์ มักประเมินความสำเร็จของโครงการผ่านจำนวนผู้เข้าร่วม ไม่ใช่คุณภาพของการเรียนรู้ หรือประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับหลังจากนำนโยบายไปปฏิบัติจริง รวมถึงการเลือกเกษตรกรให้มาเข้าร่วมโครงการอย่างพุ่งเป้า มุ่งสู่พื้นที่ที่มีความสำเร็จหรือเกษตรกรมีความเข้มแข็งอยู่แล้ว และการถอดบทเรียนหลังโครงการไม่ได้สะท้อนข้อผิดผลาดที่เกิดขึ้น

จากการดำเนินนโยบายโดยไม่มีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในเชิงลึกจึงทำให้ไม่ได้สะท้อนประโยชน์คนในพื้นที่อย่างแท้จริง ทำให้ก่อให้เกิดอุปสรรคเมื่อนำนโยบายมาประยุกต์ใช้จริง และทำให้เกษตรกรบางส่วนที่ยังขาดทักษะตกออกจากระบบ 

ในการพัฒนาทักษะเกษตรกร ปัจจุบันมีโครงการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร; ศพก. ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้และศูนย์บริการชุมชน ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีตลอดห่วงโซ่การผลิตถึงการตลาด[30]ศูนย์ประเมินผล สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร, “คู่มือนโยบายยกกระดาษ A4,” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กุมภาพันธ์ 2017, https://www.moac.go.th/a4policy-files-391191791792 (เข้าถึงเมื่อ 24 … Continue reading อย่างไรก็ตาม ศพก. ยังคงมีช่องว่างในหลายประการที่ยังคงเป็นอุปสรรคในการพัฒนาศักยภาพเกษตรกร

การดำเนินงานของศูนย์ยังคงเป็นรูปแบบการถ่ายทอดอำนาจจากศูนย์กลาง หลักสูตรถูกออกแบบมาจากส่วนกลางไม่ตอบโจทย์ปัญหาเชิงพื้นที่ งบประมาณส่วนมากไปลงอยู่กับศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง/เกษตรทฤษฎีใหม่/เกษตรผสมผสานมากกว่าโครงการที่มีความเฉพาะในกับแต่ละพื้นที่[31]“บัญชีศูนย์เครือข่ายที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568,” กรมส่งเสริมการเกษตร, 6 พฤศจิกายน 2025, https://alc.doae.go.th/?p=8933 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม … Continue reading มีการร่วมมือกับภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยแค่เพียงบางส่วนและยังคงน้อยในภาพรวม งบประมาณจากภาครัฐและนวัตกรรมจากภาครัฐอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ศูนย์การเรียนรู้ยังขาดงบประมาณ ความเข้มแข็งของศูนย์จึงตกอยู่กับเกษตรกรเจ้าของศูนย์ แต่หากไม่มีเกษตรกรที่เข้มแข็ง ความมั่นคงของศูนย์ถูกผูกเข้ากับเกษตรตำบล เกษตรอำเภอทำให้เกิดปัญหาเมื่อมีการย้ายข้าราชการทำให้การรวมตัวต่ำ หรือข้าราชการบรรจุใหม่ขาดความรู้ โดยเกษตรกรยังคงขาดส่วนร่วมในการออกแบบการดำเนินงานของศูนย์

การเรียนการสอนไม่จูงใจเกษตรกร เน้นการอบรมในห้องเรียน ไม่มีความทันสมัย ส่วนในภาคปฏิบัติวัน Field day เน้นพิธีการทำให้เสียเวลาในการถ่ายทอดความรู้ในเชิงการปฏิบัติ ใช้งบประมาณไปกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการจัดประชุม โดยบางศูนย์ขาดแคลนทรัพยากรไม่สามารถทำแปลงสาธิตได้ เนื่องจากอยู่ในที่ห่างไกล ขาดไฟฟ้าและอินเตอร์เน็ต เมื่อถ่ายทอดความรู้เกษตรกรต้นแบบมักพบปัญหาระยะเวลาการถ่ายทอดความรู้ไม่พอ ภาระตกอยู่กับเกษตรกรต้นแบบ เนื่องจากเกษตรกรต้นแบบไม่ได้รับค่าตอบแทนและงบประมาณที่ภาครัฐให้ไม่พอ บางครั้งจำเป็นต้องออกเงินเอง ทำให้ไม่มีแรงจูงใจในการมาเป็นเกษตรกรต้นแบบ

โครงการ ศพก. ยังมีการดำเนินงานที่ขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐด้วยกันเอง โดยศูนย์เครือข่ายมีการกระจายสูง จำนวนศูนย์ไม่ตอบสนองต่อจำนวนเกษตรกร มีบางศูนย์เครือข่ายที่ไม่เชื่อมโยงกับศูนย์หลัก หากบางพื้นที่มีจำนวนสูงมากก็ทำให้เจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอและเกษตรตำบลต้องทำหลายภารกิจ ส่วนในด้านเกษตรกรบางส่วนไม่เข้าใจวิธีการทำงานของ ศพก. และไม่เห็นภาพเป้าหมายที่ชัดเจนในบทบาทหน้าที่ของตนเอง ทำให้มีเกษตรกรมาร่วมน้อย เมื่อเข้าช่วงเวลาเพาะปลูกหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรฯจะเข้ามาอบรมทำให้มีผู้อบรมน้อยหรือไม่ตรงตามกลุ่มเป้าหมายหรือเกิดการอบรมถี่เกินไปในหนึ่งปีโดยไม่มีคุณภาพ[32]“ผลการดำเนินงานโครงการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566,” กรมส่งเสริมการเกษตร, 2024, … Continue reading

การประเมินหลังการอบรมไม่สามารถสะท้อนคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกรหลังจากเรียนรู้นวัตกรรม  เนื่องจากเน้นที่การถ่ายทอดความรู้ผ่านตัวชี้วัด ทำให้หลังได้รับความรู้มาแล้วมีอุปสรรคในการนำไปใช้จริง บางครั้งเกษตรกรประสบความสำเร็จจากการทำโครงการแปลงใหญ่อยู่แล้ว และถูกเลือกมาเข้าร่วม ศพก. จึงไม่สามารถวัดความมีประสิทธิภาพของศูนย์ได้ และหลังโครงการ 5 ปี ไม่มีแนวทางการดำเนินการต่อหรือไม่มีอุปกรณ์ ทำให้เกษตรกรต้องเลิกทำในที่สุด

ดังนั้นการก่อนจะพัฒนาทักษะชาวนาไปสู่ข้าวกรีนได้ เราจึงจำเป็น ‘ผ่าตัด’ แก้ไขนโยบายเกษตรเดิมๆ ที่มีปัญหาเหล่านี้และสร้างนโยบายที่เข้าถึงได้ เตรียมพร้อมชาวนาสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

ผ่าตัดวิธีพัฒนาทักษะชาวนา หนุนเสริมการทำนากรีน

แม้ปัจจุบันจะมีการพัฒนาโครงการนำร่องโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวกรีน แต่คำถามสำคัญคือ จะเข้าถึงชาวนาหรือไม่?

ความพยายามผลักดันชาวนาในการเปลี่ยนวิถีการปลูกข้าวไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เมื่อมองย้อนกลับการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ กลับคล้ายกลับกระแสการปลูกข้าวอินทรีย์ที่เคยเกิดขึ้นและถูกผลักดันด้วยงบประมาณถึง 9,696.5 ล้านบาท[33]กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, “เรื่อง ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2566 … Continue reading ภายในระยะเวลา 5 ปี (2560 – 2564) ร่วมกับงบกลางปีงบประมาณ 2565 รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,747.90 ล้านบาท[34]“ครม.อนุมัติงบกลาง 1,747 ล้านบาท ส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ รับเงินชดเชยรายละ 15 ไร่ สร้างความมั่นคงให้เกษตรกรกว่า 1.3 แสนราย,” กรมประชาสัมพันธ์, 13 … Continue reading และในงบประมาณปี 2566 ถึง 1,034.9 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ปี 2563 และ 2564 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 พบว่าประเทศไทยมีพื้นที่ผลิตข้าวอินทรีย์รวม 1.2 ล้านไร่ เมื่อเทียบกับพื้นที่ปลูกข้าวนาปีในปีเดียวกัน คือ 62.28 ล้านไร่[35]“Press release งานแถลงข่าวผลการทำสำมะโนการเกษตร พ.ศ.2566,” สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2023, https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/upload_file/2024/20240111123314_35658.pdf (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025). เท่ากับมีการผลิตข้าวอินทรีย์เพียงร้อยละ 2 โดยประมาณ สุดท้ายชาวนาส่วนมากก็ยังคงเลือกวิธีการปลูกแบบดั้งเดิม ดังนั้นหากยังใช้นโยบายเดิม ข้าวกรีนอาจยังคงกลายเป็นกระแสที่ผ่านไปที่ไม่มีใครนำไปใช้จริง

แทนการคิดโครงการใหม่ซ้ำซาก การนำโครงการเดิมมาแก้ไขอาจตอบโจทย์มากกว่า จากการสำรวจปี 2022 เมื่อแบ่งพบว่าศพก. ตามประเภทสินค้าหลักพบว่ามีศูนย์ ‘ข้าว’ มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 44.67[36]“ผลการดำเนินงานโครงการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566,” กรมส่งเสริมการเกษตร, 2024, … Continue reading

นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในโครงการที่มีส่วนร่วมในแผนโครงการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สู่เป้าหมายคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) โดยเป็นหมุดหมายในการสร้างชุมชนในการแลกเปลี่ยนความรู้และประเด็นความเสี่ยงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตรกรรม จึงเหมาะเป็นหนึ่งในนโยบายที่ควรได้รับการผลักดันให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวกรีนมากขึ้น

เปลี่ยนโครงสร้างการสอน สร้างการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ

ก่อนชาวนาจะเปลี่ยน รัฐจำเป็นเปลี่ยนวิธีการพัฒนาทักษะชาวนาก่อน จากงานวิจัยเรื่องทักษะสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่การการทำเกษตรยั่งยืนโดยการนำตัวอย่าง 20 ประเทศมาทบทวนเชิงคุณภาพ[37]Laura Brandt Sørensen et al., “What Skills Do Agricultural Professionals Need in the Transition towards a Sustainable Agriculture? A Qualitative Literature Review,” Sustainability 13, no. 24 (2021): 13556, https://doi.org/10.3390/su132413556. พบว่าจำเป็นต้องพัฒนาทักษะ 5 ด้านสำคัญ ได้แก่ การสร้างมุมมองเชิงระบบ การบูรณาการองค์ความรู้ ความรู้และเทคโนโลยีเฉพาะด้าน การเรียนรู้ตลอดชีวิต การสร้างและรักษาเครือข่ายและชุมชนการเรียนรู้

การสร้างทักษะสู่ชาวนาที่มีอายุเฉลี่ย 59 ปี อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องยาก จากงานวิจัยคำถาม 10 ข้อว่าด้วยผู้สูงอายุและสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน พบว่าการที่ผู้สูงอายุในหลายประเทศเข้าใจภาพรวมเชิงลึกของสิ่งแวดล้อม ผลดีและผลเสีย ทำให้เกิดแรงจูงใจมากขึ้นในการปฏิบัติตามนโยบาย แม้การเป็นผู้สูงอายุจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การเรียนรู้ทักษะใหม่เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวชาวนา แต่เป็นวิธีการสื่อสารของภาครัฐ[38]J. van Hoof et al., “Ten Questions Concerning Older People and a Sustainable Built Environment,” Building and Environment 274 (2025): 112742, https://doi.org/10.1016/j.buildenv.2025.112742.

ภาครัฐจึงจำเป็นต้องปฏิรูปโครงการศพก. ในรูปแบบใหม่ ลดความแยกส่วนและซ้ำซ้อน ปรับบริบทให้เข้ากับพื้นที่และร่วมมือกับทุกภาคส่วน เปลี่ยนวิธีการอบรม ส่งเสริมเกษตรกรต้นแบบ สร้างเครือข่ายในชุมชนและติดตามผลในระยะยาว

ภาครัฐต้องกระจายอำนาจให้ศูนย์หลักและศูนย์เครือข่ายในพื้นที่ และร่วมมือกับท้องถิ่น จากการกำหนดหลักสูตรและคู่มือการปฏิบัติจากส่วนกลาง ควรให้ตัวเกษตรกรและเครือข่ายมีส่วนร่วมในการออกแบบ เข้าใจโครงสร้างเชิงระบบ เป้าหมายและผลประโยชน์จากการเข้าร่วมโครงการในระยะยาว และให้คณะกรรมการเครือข่าย ศพก. ระดับจังหวัด ควรมีกลไกที่เพิ่มน้ำหนักและอำนาจ ให้กับมติที่มาจาก ศพก. ระดับอำเภอ/ท้องถิ่นมติจากที่ประชุม ศพก. ระดับอำเภอ/ท้องถิ่นอย่างเป็นทางการและนำไปใช้ในการกำหนดแผนงานจังหวัด เพื่อให้แผนงานของจังหวัดสะท้อนความต้องการจากตัวเกษตรกร

หน่วยงานภายใต้กระทรวงเกษตรฯ ควรสร้างฐานข้อมูลให้ที่อัพเดตและเข้าถึงได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความทับซ้อนของงานและบูรณาการโครงการอื่นให้เป็นเนื้อเดียวกันเพื่อง่ายต่อการเรียนรู้ของเกษตรกรที่สุด เช่น หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกษตรกรไม่ปรับตัวและเปลี่ยนรูปแบบการเพราะปลูกเป็นผลมาจากที่ชาวนาส่วนใหญ่เป็นรายย่อย ทำนาแปลงเล็กทำให้ขาดแรงจูงใจในการปรับตัว ดังนั้นการนำแปลงใหญ่เข้ามาร่วมกันภายในโครงการจะสามารถแก้ปัญหาจุดนี้และช่วยลดภาระชาวนาและเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน

บูรณาการองค์ความรู้ของเกษตรให้ตรงประเด็น โดยภาครัฐควรสื่อสารกับเกษตรกรให้เป็นผู้มีส่วนร่วมในการสร้างองค์ความรู้ตามบริบทปัญหาของพื้นที่ เช่น การทำนาเปียกสลับแห้งไม่ได้เหมาะกับทุกพื้นที่เนื่องจากมีข้อจำกัดในการควบคุมน้ำและไม่ควรทำในพื้นที่ดินเค็มและพื้นที่ไม่เรียบ ดังนั้นการปรับกระบวนการทำนาในภูมิภาคอื่น เช่น ภาคเหนือและอีสาน ที่มีดินเค็มและพื้นที่ราบสูงอาจไม่เหมาะกับการทำนาเปียกสลับแห้ง จึงควรมีการมอบความรู้และทักษะอย่างอื่น เช่น เทคโนโลยีการปลูกข้าวโดยใช้เมล็ดโดยตรงที่เหมาะกับพื้นที่ดังกล่าวที่มักเกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน[39]Mekong Institute and GIZ, Scalable Innovative Low Emission Rice Farming Technologies: Recommendations for Bangladesh, Cambodia, India, Indonesia, Lao PDR, Thailand, and Viet Nam (Mekong Institute, 2025).

ให้ชาวนาเป็นผู้นำ ผสานความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้เสีย

ชาวนาจึงจำเป็นต้องเข้าใจภาพรวมทั้งระบบของการศึกษาที่จะเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่แค่ว่าทำนากรีน เพิ่มรายได้ รักษาสิ่งแวดล้อม แต่จำเป็นต้องเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนได้เสีย มีส่วนร่วมในการออกแบบและลงมือทำ ร่วมไปกับการร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆ ในรูปแบบ Quadruple Helix[40]Irungu, Ruth Wanjiru, Zhimin Liu, Xiaoguang Liu, and Ann Wambui Wanjiru. 2023. “Role of Networks of Rural Innovation in Advancing the Sustainable Development Goals: A Quadruple Helix Case Study” Sustainability 15, no. 17: 13221. https://doi.org/10.3390/su151713221 คือการร่วมมือของสถาบันการศึกษา รัฐบาล อุตสาหกรรม และชุมชน

ในการสร้างองค์ความรู้เฉพาะด้าน ต้องสร้างการมีส่วนร่วมในการออกแบบ โดยมหาวิทยาลัยท้องถิ่นสามารถเข้ามามีบทบาทในการวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ ขณะที่ภาครัฐเป็นผู้สนับสนุนและออกนโยบายร่วมกับเกษตรกรในชุมชน และให้ภาคเอกชนควรเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมการสร้างผลิตภัณฑ์ ผ่านการสนับสนุนเกษตรกรด้านเครื่องมือและเทคโนโลยี โดยที่สามารถได้ประโยชน์ผ่านการเก็บข้อมูลในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และทำการโฆษณาไปพร้อมกัน

สร้างโครงการให้เป็นการเรียนรู้ระยะยาวและสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง ‘ชาวนาเชื่อเพื่อนบ้านมากกว่าเจ้าหน้าที่รัฐ’ จากการสำรวจเกษตรกร 1,600 คน พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่จะยังไม่ลองเทคโนโลยีใหม่ทันที โดยต้องเห็นว่าเพื่อนบ้านใช้แล้วได้ผลดีจริง และมักจะรอดูความสำเร็จต่อเนื่องอย่างน้อยสองปี[41]นิพนธ์ พัวพงศกร และกัมพล ปั้นตะกั่ว, “การตั้งหลักใหม่ภาคเกษตรไทยในอนาคต,” สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI), 5 กุมภาพันธ์ 2023, … Continue reading จึงจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายระหว่างเกษตรกรด้วยกันเอง เพิ่มทักษะเพื่อปรับตัวในวัยสูงอายุและดึงดูดเกษตรกรรุ่นใหม่ในรูปแบบการเรียนรู้รอบด้าน

ปัจจุบันหลักสูตรที่มีอยู่ในศพก. สามารถนำมาประยุกต์กับการทำข้าวกรีนได้ เช่น หลักสูตรการทำนาเปียกสลับแห้ง การใช้ปุ๋ยสั่งตัด หรือหลักการ IPM ดังนั้นควรปรับรูปแบบให้มีความทันสมัยขึ้น ควรทำเป็นแปลงสาธิตและการเรียนรู้ระยะยาวพร้อมแผนในการปฏิบัติต่อหลังจบโครงการที่มีเกษตรกรต้นแบบในชุมชน โดยเพิ่มงบประมาณให้แก่เกษตรกรต้นแบบในการจัดการและผูกพันธ์ด้วยระบบสืบทอดและระบบตอบแทน

กล่าวคือกำหนดระยะเวลาให้เกษตรกรต้นแบบถูกถ่ายทอดต่อรุ่นสู่รุ่นพร้อมค่าตอบแทน เมื่อเกษตรกรได้เรียนรู้ควรมีกองทุนกลางที่ได้รับการแบ่งงบประมาณจากรัฐร่วมกับลงเงินของเกษตรกรในศูนย์ในการสนับสนุนด้านปัจจัยการผลิต เปลี่ยนวิธีการถอดบทเรียนในเอกสารหลังการเรียนรู้เป็นการประเมินความสำเร็จที่วัดได้จริงไม่ใช่เพียงแค่จำนวนผู้เข้าร่วม เช่น การติดตามผลโดยวัดจากระดับรายได้และระดับคาร์บอน

แค่พัฒนาทักษะไม่พอ นโยบายแวดล้อมต้องไปด้วยกัน

ในการปรับการปลูกข้าวให้กลายเป็นนากรีนนั้น การปรับทักษะถือเป็นหมุดหมายเริ่มต้นที่สำคัญ แต่อาจไม่เพียงพอ ด้วยบริบท ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมกันพัฒนา ตั้งแต่ปรับเปลี่ยนโครงการในนโยบายการอุดหนุนเกษตรกร เพิ่มศักยภาพในการวิจัยพันธุ์ข้าว แก้ไขปัญหาระบบชลประทาน และปัญหาการเช่าที่ดินที่ฉุดรั้งชาวนาไม่ให้พัฒนา

การมอบเงินอุดหนุนแก่เกษตรกรเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ยิ่งยึดติดกับการเพาะปลูกในรูปแบบเดิม เพราะหากผลผลิตคุณภาพต่ำที่เคยปลูกมาแต่เดิมได้รับเงินอุดหนุนไม่ต่างจากผลผลิตคุณภาพสูงที่ต้องอาศัยเงินลงทุน ความรู้ และเทคโนโลยีใหม่ เกษตรกรก็จะไม่มีแรงจูงใจในการใช้เทคโนโลยีใหม่ หรือพัฒนาทักษะและความรู้ที่จำเป็นในการยกระดับคุณภาพ[42]ดูเพิ่มเติม: วรดร เลิศรัตน์, “หยุดขุดหลุมฝังประเทศด้วย ‘เงินอุดหนุนเกษตรกร’ แบบเดิมๆ,” 101 Public Policy Think Tank, 11 มกราคม 2023, https://101pub.org/farmer-income-support-reform/ (เข้าถึงเมื่อ 24 … Continue reading

รัฐมักเน้นการสนับสนุนโครงการประกันรายได้และเงินอุดหนุนมากกว่างบประมาณในการพัฒนาการผลิต ในปี 2568 รัฐใช้งบประมาณรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก เป็นวงเงินกว่า 6 หมื่นล้านบาท[43]กองส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ภาครัฐ, “ครม. อนุมัติ 6.1 หมื่นล้าน รักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก และช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง-นาปี,” … Continue reading ในรอบเพาะปลูก 2568/2569 เทียบกับโครงการส่งเสริมด้านการพัฒนาศักยภาพการผลิตในภาคเกษตรปีงบประมาณ 2569 โดยรวมเพียง 5,626 ล้านบาท[44]กรมส่งเสริมการเกษตร, แผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ. 2569 ของกรมส่งเสริมการเกษตร (กรุงเทพฯ: กรมส่งเสริมการเกษตร, 2568), https://www.doae.go.th/wp-content/uploads/2025/09/actionplandoae69.pdf จึงควรต้องเปลี่ยนนโยบายสู่การอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไขและจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการปรับตัวของเกษตรกรรายย่อย เพื่อส่งเสริมให้ชาวนาเปลี่ยนไปทำนาแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) ซึ่งสามารถลดก๊าซมีเทนได้จริง โดยต้องมีการตรวจสอบวัดผล (MRV) ตามมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด และในระยะต่อมารัฐบาลควรเร่งจัดตั้งตลาดคาร์บอนภาคบังคับ เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมต้องซื้อคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากการลดก๊าซในภาคการเกษตร เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับชาวนา และขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศอย่างเป็นระบบ

ภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณการวิจัย ปัจจุบันยังมีงบประมาณในการวิจัยในภาคการเกษตรที่ต่ำ งบวิจัยและพัฒนาเกษตรของภาครัฐมีอัตราที่ต่ำลงเพียงร้อยละ 0.3–0.4 ระหว่างปี 2000–2020 ทั้งที่ผลตอบแทนจากการลงทุนวิจัยอยู่สูงถึงร้อยละ 44[45]นิพนธ์ พัวพงศกร และกัมพล ปั้นตะกั่ว, “การตั้งหลักใหม่ภาคเกษตรไทยในอนาคต,” สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI), 5 กุมภาพันธ์ 2023, … Continue reading โดยเฉพาะงบประมาณการวิจัยพันธุ์ข้าวในไทย โดยพันธุ์ข้าวในไทยยังด้อยกว่าประเทศอื่น ดังนั้นควรนำงบประมาณมาส่งเสริมการวิจัยพันธุ์ข้าวและสนับสนุนการวิจัยด้านการพัฒนาในระยะยาว เพื่อให้ไทยมีพันธุ์ข้าวหลากหลายที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดและนวัตกรรมเทคโนโลยีเพิ่มศักยภาพการผลิต

นอกจากนี้ต้องแก้ปัญหาแวดล้อมที่ส่งเสริมประสิทธิภาพในการผลิต หนึ่งในนั้นคือการแก้ปัญหาชลประทาน นอกจากชลประทานจะไม่ทั่วถึงพื้นที่เกษตรแล้ว ชาวนายังมีความไว้ใจต่ำต่อการปล่อยน้ำ จึงจำเป็นต้องเสริมสร้างการรวมตัวและความเข้มแข็งของกลุ่มผู้ใช้น้ำ เพื่อพัฒนาศักยภาพให้สามารถมีส่วนร่วมในการวางแผน ตรวจสอบ และกำหนดระบบการจัดสรรน้ำร่วมกับกรมชลประทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนากลไกการสื่อสารและการเจรจาต่อรองที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นระบบ เพื่อให้กลุ่มผู้ใช้น้ำที่มีความต้องการแตกต่างกันสามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ นำมาสู่การผลักดันมาตราการตารางการส่งน้ำที่มีความแน่นอน เป็นธรรม และสอดคล้องกับสภาพพื้นที่อย่างแท้จริง ไปจนถึงการพัฒนาแหล่งน้ำนอกพื้นที่ให้มีการกระจายอย่างเท่าเทียมและครอบคลุมในระยะยาว

ต้องสร้างแรงจูงใจให้ชาวนาผู้เช่าที่ดิน โดยมีเกษตรกรเพียงร้อยละ 43.89 ที่มีกรรมสิทธิ์ในที่ทำกินของตน มากกว่าครึ่งทำเกษตรกรรมในที่ดินไม่มีเจ้าของหรือเช่าที่[46]กองบรรณาธิการ, “เกษตรกรกว่าครึ่งไร้ที่ทำกิน เกือบ 1 ใน 3 เช่าที่ดิน,” Policy Watch, 5 เม.ย. 2568, https://policywatch.thaipbs.or.th/article/agriculture-46 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025). เมื่อจะเปลี่ยนไปทำนาเปียกสลับแห้งจึงกังวลว่าจะหมดสัญญาเช่าก่อนจะคุ้มค่าการลงทุนปรับระดับแปลงนาซึ่งต้องใช้ต้นทุนสูงและเห็นผลในระยะยาว ดังนั้นควรทำข้อตกลงสัญญาเช่าไม่น้อยกว่า 3 ปีหลังจากการปรับระดับที่ดิน ช่วยสร้างความมั่นคงในการทำกิน ให้เกษตรกรมั่นใจว่ามีระยะเวลาเพียงพอในการคืนทุนและพัฒนาการผลิตอย่างต่อเนื่อง เอื้อต่อการนำเทคนิคเพาะปลูกที่มีประสิทธิภาพมาใช้และเพิ่มผลผลิตในระยะยาว ในระยะยาวรัฐต้องส่งเสริมกฎหมายการเช่าที่ดินที่มีความเป็นธรรมทั้งแก้ผู้เช่าและเจ้าของที่ดิน รวมทั้งเปิดโอกาสให้เกษตรกรเป็นเจ้าของที่ดินมากขึ้น

รัฐบาลจำเป็นต้องยกระดับนโยบายการพัฒนาทักษะของชาวนาควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการในมิติอื่นๆ อย่างบูรณาการ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและยกระดับประสิทธิภาพการผลิตในภาคเกษตรอย่างยั่งยืน ทั้งนี้เพื่อวางรากฐานให้ชาวนามีความสามารถในการพึ่งพาตนเองในระยะยาว เพิ่มความสามารถในการทำกำไรและยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

บทส่งท้าย

ด้วยความที่ประชากรจำนวนมากของประเทศยังคงประกอบอาชีพทำนา ประเด็นนโยบายด้านการช่วยเหลือชาวนาจึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม การอัดฉีดเงินเพื่อหวังให้ชาวนาเปลี่ยนพฤติกรรมอาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุด หากต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาอย่างแท้จริง สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มจากการพัฒนาทักษะและศักยภาพที่ทำให้พวกเขาสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว ควบคู่กับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการผลิตข้าวอย่างมีประสิทธิภาพ

ในเวลานี้จึงอาจถึงเวลาที่เราทุกคนต้องร่วมกันทบทวนว่า นโยบายการให้เงินแบบเดิมซึ่งแก้ปัญหาเพียงปลายเหตุและไม่เคยลดภาระหนี้สินนั้นเพียงพอแล้วหรือไม่ หรือควรหันมาให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างทักษะและโอกาส เพื่อให้ชาวนาสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองอย่างมั่นคงและยั่งยืนมากกว่าเดิม

References
1 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, การศึกษาแนวทางการสร้างเสถียรภาพการค้าสินค้าข้าว (กรุงเทพฯ: กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2567)
2 ttb analytics, “ttb analytics แนะภาคเกษตรไทยทำอย่างไร… ให้ไปได้ไกลกว่าเดิม…,” ttb, 27 เมษายน 2023, https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttb-analytics-agricultural (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
3 “อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ,” กระทรวงแรงงาน, 17 มิถุนายน 2025, https://www.mol.go.th/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
4 ttb analytics, “ttb analytics คาดรายได้ภาคเกษตร 5 พืชหลัก ปี 2567 พลิกฟื้นแตะ 9 แสนล้านบาท ด้วยอานิสงส์ด้านราคา แม้ปริมาณผลผลิตจะลดลงจากภัยแล้ง แนะใช้เกษตรอัจฉริยะเพิ่มศักยภาพในการเติบโต,” ttb, 25 เมษายน 2024, https://www.ttbbank.com/th/analytics/business-industry/argo-business-food-beverages/20240425-ttb-ttb%20analytics%20%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%205%20%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%20%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202567%20%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%B0%209%20%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
5 “ราคาข้าวไทยคาดปรับลดลงถึงไตรมาสแรกปี 2569 และทั้งปี 2569 อาจฟื้นโตได้ราว 0.8%YoY,” ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, 31 ตุลาคม 2025, https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/TH-Rice-Price-CIS3617-FB-2025-10-31.aspx (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
6 ttb analytics, “รายได้เกษตรกร ก.ย. 2568 ทรงตัวท่ามกลางความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร,” ttb, 29 กันยายน 2025, https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttba-agricultural-income-sep-2025 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
7 นิพนธ์ พัวพงศกร และคณะ, อนาคตชาวนา ชาวสวนรายเล็ก, (กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2022).
8 “ชวนเกษตรกร วางแผนปลูกพืชหลากหลายใช้น้ำน้อยแทนข้าวในฤดูนาปรังปีนี้ ประหยัดน้ำ สร้างรายได้,” กรมประชาสัมพันธ์, 25 มกราคม 2025, https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/33/iid/71804 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
9 สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร, “สรุปข้อมูลการนำเข้า-ส่งออกวัตถุอันตรายทางการเกษตร 2022-2024,” กรมวิชาการเกษตร, 15 กันยายน 2025, https://www.doa.go.th/ard/?page_id=386 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
10 ผกามาศ วงค์เตย์ และคณะ, “การตกค้างของสารเคมีป้องกันกําจัดแมลงศัตรูและโรคข้าวในผลผลิตข้าวจากพื้นที่ปลูกข้าวภาคกลางประเทศไทย,” วารสารแก่นเกษตร 51, ฉบับที่ 6 (2023) : 1098–1111.
11 Ratti (Bo) Veerawong, “Experts gather in Bangkok to unveil sustainable solutions to combat agricultural burning in Thailand,” DLG Magazine, Last modified 2024, https://www.dlg.org/en/magazine/experts-gather-in-bangkok-to-unveil-sustainable-solutions-to-combat-agricultural-burning-in-thailand
12 “เมื่อโลกร้อนและรวน: ภาคส่วนใดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด?,” UNDP, 28 เมษายน 2024, https://www.undp.org/stories/greenhouse-emissions-thailand-th?fbclid=IwY2xjawMt97ZleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFsNVd3VkIzc2kwcmNIdWU4AR7bxDTjRg68iceGSGKC9Tsc4VgQa6LyutCd2MNwfgHkxmRAPOvnI4Jq4KD-g_aem_Zia14Z4uhbRlehO5SK1CWg (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
13 กองวิจัยและพัฒนาข้าว, “รายงานสถานการณ์ข้าวโลกและข้าวไทย,” กรมการข้าว, (ม.ป.ป.), https://files.ricethailand.go.th/files/15/documents/page_doc/files-rice-1749007607422.pdf (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
14 Nipon Poapongsakorn, “Making Exports for a Low-Carbon Era,” Thailand Development Research Institute (TDRI), Last modified April 1, 2024,  https://tdri.or.th/en/2024/04/making-exports-for-a-low-carbon-era/
15 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
16 วิษณุ อรรถวานิช, “ตลาดคาร์บอนกับบทบาทภาคเกษตรไทย (จัดเวทีและเผยแพร่โดย สถาบันคลังสมองของชาติ ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และเคหการเกษตร,” 26 ตุลาคม 2022, https://www.agripolicyresearch.com/wp-content/uploads/2022/09/2_%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%A3%E0%B8%A8.%E0%B8%94%E0%B8%A3.%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B8.pdf (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
17 “ไม่ธรรมดา ข้าวคาร์บอนต่ำเวียดนาม สร้างมูลค่าใหม่ให้ตลาดข้าวโลก,” Post Today, 23 สิงหาคม 2025, https://www.posttoday.com/smart-life/729234 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
18 “EU Carbon Border Adjustment Mechanism: What is it, how does it work, and what are the effects?,” OECD, Last modified March 21, 2025, https://www.oecd.org/en/blogs/2025/03/eu-carbon-border-adjustment-mechanism-what-is-it-how-does-it-work-and-what-are-the-effects.html
19 “Climate Change,” Tesco, Last modified 2025, https://www.tescoplc.com/sustainability/planet/protecting-nature/climate-change
20 “Thailand 4.0 กับการเกษตรสมัยใหม่: ปฏิวัติภาคเกษตรด้วยนวัตกรรม,” BCG, 8 พฤษภาคม 2025, https://www.bcg.in.th/data-center/articles/thailand-4-modern-agriculture-innovation/ (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
21 “แผนปฏิบัติการด้านพืชเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2568 – 2570 กรมส่งเสริมการเกษตร,” กรมส่งเสริมการเกษตร, 2 ตุลาคม 2025, https://www.doae.go.th/%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B9%80%E0%B8%9E/ (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
22 “รมช.นเรศ เดินหน้าข้าวคาร์บอนต่ำ 1 ล้านไร่ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต พร้อมผลักดันนโยบาย 8 ด้าน มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ยกระดับมาตรฐานข้าวไทย,” กรมการข้าว, 7 พฤศจิกายน 2025, https://www.ricethailand.go.th/page/62266 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
23 “โครงการเพิ่มศักยภาพการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ: Thai Rice GCF (Strengthening Climate-Smart Rice Farming Project),” กรมการข้าว, (ม.ป.ป.), https://newwebs2.ricethailand.go.th/upload/doc/7293/1672892387.pdf (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
24 นิพนธ์ พัวพงศกร และคณะ, “นาเปียกสลับแห้ง หนทางแห่งอนาคต ลดผลกระทบโลกร้อน,” สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI), 28 สิงหาคม 2023, https://tdri.or.th/2023/08/alternative-wetting-and-drying-rice/ (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
25 นิพนธ์ พัวพงศกร และคณะ, รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาความต้องการของเกษตรกรและความเป็นไปได้ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกร: ข้อเสนอทางเลือกนโยบายลงทุนในระบบนิเวศและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลการเกษตร (กรุงเทพฯ: มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2565).
26 กองสถิติเศรษฐกิจ, “ครัวเรือนเกษตรกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการเกษตรในรอบปีที่ผ่านมา (พ.ค. 60 – เม.ย. 61),” สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2018, https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/survey_detail/2023/20230430170907_84859.pdf (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
27 ธีรดนย์  ขันตา, “เกษตรกรเข้าถึงการใช้เทคโนลีและนวัตกรรม ร้อยละ 64.99 ติดปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ร้อยละ 43.43,” แม่โจ้โพล, 2 พฤษภาคม 2022, https://maejopoll.mju.ac.th/poll.aspx?id=4198 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
28 สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.), “การศึกษาแนวทางการสร้างเสถียรภาพการค้าสินค้าข้าว,”.
29 วิษณุ อรรถวานิช, “รายงานการวิจัย การประเมินผลกระทบของนโยบายสาธารณะที่หลากหลายต่อความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจของเกษตรกรไทย,” (กรุงเทพฯ: สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ), 2022.
30 ศูนย์ประเมินผล สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร, “คู่มือนโยบายยกกระดาษ A4,” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กุมภาพันธ์ 2017, https://www.moac.go.th/a4policy-files-391191791792 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
31 “บัญชีศูนย์เครือข่ายที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568,” กรมส่งเสริมการเกษตร, 6 พฤศจิกายน 2025, https://alc.doae.go.th/?p=8933 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
32, 36 “ผลการดำเนินงานโครงการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566,” กรมส่งเสริมการเกษตร, 2024, https://alc.doae.go.th/wp-content/uploads/2024/12/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%A8%E0%B8%9E%E0%B8%81.%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2566.pdf (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
33 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, “เรื่อง ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2566 เพื่อใช้ในโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี 2564,” ที่ กษ 2606/20344 (25 กันยายน 2023), 1-5.
34 “ครม.อนุมัติงบกลาง 1,747 ล้านบาท ส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ รับเงินชดเชยรายละ 15 ไร่ สร้างความมั่นคงให้เกษตรกรกว่า 1.3 แสนราย,” กรมประชาสัมพันธ์, 13 กันยายน 2022, https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/39/iid/120448 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
35 “Press release งานแถลงข่าวผลการทำสำมะโนการเกษตร พ.ศ.2566,” สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2023, https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/upload_file/2024/20240111123314_35658.pdf (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
37 Laura Brandt Sørensen et al., “What Skills Do Agricultural Professionals Need in the Transition towards a Sustainable Agriculture? A Qualitative Literature Review,” Sustainability 13, no. 24 (2021): 13556, https://doi.org/10.3390/su132413556.
38 J. van Hoof et al., “Ten Questions Concerning Older People and a Sustainable Built Environment,” Building and Environment 274 (2025): 112742, https://doi.org/10.1016/j.buildenv.2025.112742.
39 Mekong Institute and GIZ, Scalable Innovative Low Emission Rice Farming Technologies: Recommendations for Bangladesh, Cambodia, India, Indonesia, Lao PDR, Thailand, and Viet Nam (Mekong Institute, 2025).
40 Irungu, Ruth Wanjiru, Zhimin Liu, Xiaoguang Liu, and Ann Wambui Wanjiru. 2023. “Role of Networks of Rural Innovation in Advancing the Sustainable Development Goals: A Quadruple Helix Case Study” Sustainability 15, no. 17: 13221. https://doi.org/10.3390/su151713221
41, 45 นิพนธ์ พัวพงศกร และกัมพล ปั้นตะกั่ว, “การตั้งหลักใหม่ภาคเกษตรไทยในอนาคต,” สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI), 5 กุมภาพันธ์ 2023, https://tdri.or.th/2023/02/strategy-for-agricultural-growth/ (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
42 ดูเพิ่มเติม: วรดร เลิศรัตน์, “หยุดขุดหลุมฝังประเทศด้วย ‘เงินอุดหนุนเกษตรกร’ แบบเดิมๆ,” 101 Public Policy Think Tank, 11 มกราคม 2023, https://101pub.org/farmer-income-support-reform/ (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
43 กองส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ภาครัฐ, “ครม. อนุมัติ 6.1 หมื่นล้าน รักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก และช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง-นาปี,” กรมประชาสัมพันธ์ 20 สิงหาคม 2025, https://pscd.prd.go.th/th/content/category/detail/id/6/cid/36/iid/416591 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).
44 กรมส่งเสริมการเกษตร, แผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ. 2569 ของกรมส่งเสริมการเกษตร (กรุงเทพฯ: กรมส่งเสริมการเกษตร, 2568), https://www.doae.go.th/wp-content/uploads/2025/09/actionplandoae69.pdf
46 กองบรรณาธิการ, “เกษตรกรกว่าครึ่งไร้ที่ทำกิน เกือบ 1 ใน 3 เช่าที่ดิน,” Policy Watch, 5 เม.ย. 2568, https://policywatch.thaipbs.or.th/article/agriculture-46 (เข้าถึงเมื่อ 24 ธันวาคม 2025).

อินโฟกราฟฟิก

บทความที่เกี่ยวข้อง

The Resources: เสริมทักษะชาวนาอย่างไร ให้ไปถึงการทำนา “กรีน”

ชวนสำรวจภาพรวมของการทำ ‘นากรีน’ และวิธีการพัฒนาทักษะของเกษตรไทยเพื่อเพิ่มความรู้และผลิตผลอย่างมีประสิทธิภาพ

นโยบาย Upskill เติมทักษะใหม่ อุดหนุนแค่ค่าเรียนได้ผลหรือไม่

101 PUB สำรวจสถานการณ์การอัปสกิลของแรงงานไทยว่าตอบโจทย์ตรงจุดหรือไม่ หรือยังมีองค์ประกอบสำคัญอะไรที่ขาดหายไปในการถกเถียงนโยบายอัปสกิล

Policy What! EP.16: นโยบาย Upskill ไทย สู้เพื่อนบ้านไหวไหม?

นโยบาย OFOS อัปสกิลแรงงาน 20 ล้านครัวเรือน เมื่อเทียบกับนโยบาย ‘เรือธง’ ด้านการพัฒนาทักษะแรงงานของเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและสิงค์โปร์ ไทยจะ upskill – reskill แรงงานสู้เขาได้ไหม?

101 Public Policy Think Tank
ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง

ศูนย์วิจัยนโยบายสาธารณะไทยในบริบทโลกใหม่ สร้างสรรค์ความรู้ด้านนโยบายสาธารณะที่มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มพลังให้ประชาชนสามารถตัดสินใจอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในเรื่องสำคัญที่มีความหมายต่อชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และสังคม

Copyright © 2025 101pub.org | All rights reserved.