วันนี้เด็กไทยมีความสุขดีไหม? ฟังความคิด ตรวจสุขภาพใจเยาวชนเจเนอเรชันใหม่

จะว่าโลกทุกวันนี้กำลังกลายร่างเป็นโลกที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อนก็ย่อมได้ -มองเฉพาะแค่ในประเทศไทย จากรายงานความเสี่ยงโลกฉบับปี 2025 ระบุว่าสิ่งที่เราอาจต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้ คือความถดถอยชะงักงันทางเศรษฐกิจ ภาระหนี้ครัวเรือนและบริษัท ความเหลื่อมล้ำเชิงรายได้และความยากจนกระจายโดยทั่วไป ตลอดจนปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ น้ำ และดิน ที่นับวันก็ยิ่งน่ากังวลขึ้นเรื่อยๆ  

นอกเหนือจากข้อมูลในรายงาน สังคมไทยอาจต้องฝ่าฟันมรสุมการเปลี่ยนแปลงอีกหลายด้าน ทั้งความก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีที่สั่นสะเทือนวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ไม่ว่าเรื่องการเรียน การทำงาน หรือความสัมพันธ์และอำนาจ ทั้งการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยที่ค่อยๆ เปลี่ยนโฉมหน้าของครอบครัว ตลาดแรงงาน และระบบการเมืองทีละเล็ก ละน้อย

ในโลกที่คืบเคลื่อนไปข้างหน้า เด็กและเยาวชนกำลังจะกลายเป็นกลุ่มคนเสียงส่วนน้อย ติดกับปัญหาการปราศจากตัวแทนการเมืองในระบบ ปราศจากช่องทางการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองและการออกแบบนโยบายสาธารณะ กระทั่งผู้มีอำนาจกำหนดทิศทางนโยบายเด็กและเยาวชนก็อาจมองเห็น ‘เด็ก’ ในแบบที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง

ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว หรือ คิด for คิดส์ จึงจัดทำผลสำรวจเยาวชนในทุกปี เพื่อฟังความคิดอ่าน เข้าใจมุมมองเยาวชนชนิด ‘อัปเดต’ ให้เป็นปัจจุบัน เพราะการออกแบบนโยบายเพื่อเด็กและเยาวชนที่ดี ควรต้องตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขา สนับสนุนการเติบโตของพวกเขาแบบเท่าทันยุคสมัย

และนั่นเริ่มต้นจากการเห็นภาพว่าเด็กสมัยนี้ให้ความสำคัญกับอะไร? เจเนอเรชันใหม่กำลังมองหาสิ่งไหน?

หรือทุกวันนี้ พวกเขามีความสุขดีแล้วหรือยัง?

หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาส่วนหนึ่งจากงานเสวนาสาธารณะ ‘Research Roundup 2025: เติบโตในโลกใหม่? จากเอไอ ถึงอนาคตของงาน สู่ความคิด-ความฝันของเด็กและเยาวชนไทย’ จัดโดยคิด for คิดส์, สสส. และ 101 PUB เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568


เข้าใจหัวอกเด็กวันนี้ จากผลสำรวจ คิด for คิดส์ 2025


จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 15-25 ปี จำนวนกว่า 12,139 คนทั่วประเทศ ผศ.ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา จากคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัวแทนคณะผู้จัดทำ[1]ผลสำรวจ คิด for คิดส์ 2025 จัดทำโดย ผศ.ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา, ศุภณัฐ ศรีอุทัยสุข, ธนกฤต สำราญกมล และพิมพ์มาดา เจริญศิลป์ สำรวจเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เริ่มนำเสนอผลสำรวจจากคำถามง่ายๆ อันเป็นจุดตั้งต้นของการศึกษา – “ตอนนี้เป้าหมายสำคัญที่สุดในชีวิตเยาวชนคืออะไร”

เมื่อคำตอบ 5 อันดับแรกของเด็ก ได้แก่ การมีครอบครัวที่อบอุ่นมีความสุข (27%) ร่ำรวย/มีอิสรภาพทางการเงิน (20%) ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน (20%) มีบ้าน (11%) และสุขภาพแข็งแรง (10%) ดังนั้น โจทย์สำหรับคนเป็นผู้ใหญ่ คือจะทำอย่างไรให้เด็กและเยาวชน ‘มีความสุข’ ‘ประสบความสำเร็จในชีวิต’ และเพิ่มพูน ‘ความเป็นพลเมือง’ (citizenship) ให้พวกเขาไปพร้อมกัน

“เราต้องการให้เด็กๆ เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีความสุขและประสบความสำเร็จ แต่ขณะเดียวกัน เด็กคือสภาพแวดล้อมของคนอื่นด้วย เราอยากให้เด็กเป็นสภาพแวดล้อมที่ดี เป็นพลเมืองที่ช่วยให้สังคมน่าอยู่ สนับสนุนเพื่อนๆ เขา และโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่สร้างสังคมที่ดีด้วย” ทิพย์นภากล่าว และชวนมองผลสำรวจสามมิติที่เชื่อมโยงกับสามโจทย์ข้างต้น

ในมิติแรก คำถามสำคัญคือทุกวันนี้ เด็กไทยมีความสุขหรือไม่? และปัจจัยอะไรที่เกี่ยวข้องกับความสุขของพวกเขาบ้าง? ข้อค้นพบจากการสำรวจคือเด็กส่วนมากรายงานว่าตนเองพึงพอใจในชีวิตสูง แต่จำนวนมากก็ยังเครียด รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเช่นกัน

“เด็ก 7% ที่ตอบว่าไม่พึงพอใจในชีวิตอาจดูเหมือนน้อย แต่ถ้าเรามองว่าเยาวชนอายุ 15-25 ปี มีประมาณ 9 ล้านคน 7% เท่ากับมีเด็กหกแสนกว่าคนที่ไม่พึงพอใจในชีวิต ซึ่งถือว่าเยอะเหมือนกัน” ทิพย์นภาว่า



เมื่อเทียบความสัมพันธ์ระหว่างเพศวิถีกับความสุข โดยเปิดให้ผู้ตอบแบบสำรวจระบุทั้งเพศกำเนิด (ชาย/หญิง) อัตลักษณ์และ/หรือรสนิยมทางเพศ (Straight/LGBTQ+) นอกจากจะพบว่ามีเด็กกว่า 37.7% ระบุว่าตนเป็น LGBTQ+ ในกลุ่มนี้ยังมีความเครียด เหงาและโดดเดี่ยวสูงกว่ากลุ่ม Straight และในภาพรวม ก็มีความพึงพอใจในชีวิตต่ำกว่า สาเหตุเพราะเด็กเหล่านี้ยังตกเป็นเป้าหมายของการด่าทอระราน รุกล้ำความเป็นส่วนตัว กระทั่งทำร้ายร่างกายมากกว่า



ขณะที่ความสัมพันธ์ของสถานะทางเศรษฐกิจกับความสุข พบว่าคำตอบภาพรวมของเด็กในครัวเรือนทุกกลุ่มมีความพึงพอใจในชีวิต ความเครียดและความเหงาโดดเดี่ยวไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าเจาะลึกลงอีกด้วยคำถามเรื่องการรับรู้สถานะเศรษฐกิจของเด็กว่า ‘คุณคิดว่าครอบครัวคุณมีรายได้เพียงพอหรือไม่?’ จะเห็นได้ว่ามีความเครียดและความเหงาโดดเดี่ยวสูงในกลุ่มเด็กที่รายงานว่ารายได้ครอบครัวไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายพื้นฐาน



ด้านความสัมพันธ์กับสุขภาวะทางกาย ชัดเจนว่าเยาวชนที่มองว่าตนเองสุขภาพแข็งแรงย่อมมีความพึงพอใจในชีวิตสูงกว่า เครียดและเหงาโดดเดี่ยวต่ำกว่า ส่วนปัจจัยสุขภาวะทางจิต ทางคณะผู้จัดทำเลือกใช้โมเดล PERMA เป็นตัววัด ประกอบไปด้วย P – Positive Emotion อารมณ์ความรู้สึกทางบวก E – Engagement การได้ทำสิ่งที่ชอบ จดจ่อและทำอย่างสนุกสนาน R – Relationship ความสัมพันธ์ที่มีความหมาย M – Meaning ทำสิ่งที่มีประโยชน์ มีความหมาย และ A – Achievement ความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จ

ทิพย์นภาอธิบายว่า “แต่ละช่วงวัย ก็จะให้ความสำคัญกับแต่ละด้านต่างกัน เช่น วัยทำงาน อาจให้ M – Meaning กับ A – Achievement สูง แต่เราพบว่าเยาวชนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ (R – Relationship)” ดังปรากฏว่ากลุ่มที่มีคะแนนความสัมพันธ์ต่ำ ตอบว่าพึงพอใจในชีวิตตนเองน้อยสุด มีความเครียดสูง เหงาและโดดเดี่ยวสูง เชื่อมโยงมาสู่อีกหนึ่งข้อค้นพบว่าเยาวชนที่ไม่สนิทกับครอบครัวมีความพึงพอใจในชีวิตต่ำกว่า เครียดและเหงาโดดเดี่ยวมากกว่ากลุ่มเยาวชนที่สนิทกับครอบครัวอย่างเห็นได้ชัด โดยทิพย์นภาเพิ่มเติมว่าเด็กส่วนใหญ่ให้เหตุผลถึงปัญหาความสัมพันธ์ว่าเกิดจากความไม่เข้าใจกัน เห็นต่างทางความคิดระหว่างตนเองและผู้ปกครอง



นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาด้านความรู้สึกปลอดภัยในบ้านและโรงเรียน พบว่าเด็กที่รู้สึกไม่ปลอดภัยจะพึงพอใจในชีวิตต่ำ เครียดและโดดเดี่ยวสูง โดยทิพย์นภาเสริมว่าในแบบสำรวจฉบับเต็มมีคำถามว่าด้วยการถูกกระทำความรุนแรง ซึ่งเด็กที่ตอบว่าตนเองถูกทำร้ายร่างกาย โดยเฉพาะผู้หญิง เกินครึ่งระบุว่าเหตุการณ์เกิดในบ้าน นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของความรู้สึกไม่ปลอดภัยดังกล่าว

ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านต่างๆ และความสุขของเยาวชน นำมาสู่ข้อสรุปเบื้องต้นของทิพย์นภาว่าควรเสริมสร้างความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ สร้างโปรแกรมส่งเสริมให้เกิดความเข้าอกเข้าใจคนอื่นมากขึ้นทั้งในโรงเรียนและบ้าน เสริมสร้างการทักษะการฟังและแสดงความเห็นต่างอย่างสร้างสรรค์ เพื่อลดอุปสรรคความสัมพันธ์ในครอบครัว ทั้งฝั่งเยาวชนและพ่อแม่ ร่วมกันเฝ้าระวังความรุนแรงในบ้านและสถานศึกษา และผลักดันให้เกิดพื้นที่สาธารณะที่ส่งเสริมทั้งสุขภาพกาย และสุขภาวะทางจิตของเยาวชนให้มากขึ้น

ต่อมา ในมิติด้านความสำเร็จ ทิพย์นภาและคณะได้สำรวจตั้งแต่การตั้งเป้าหมายทางการศึกษาของเยาวชน พบว่าส่วนใหญ่ต้องการเรียนสูงถึงระดับปริญญาตรี 40% ปริญญาโท 27% ปริญญาเอก 22% และมีเพียง 11% ที่ตอบว่าต่ำกว่าระดับปริญญาตรี เมื่อดูข้อมูลรายได้และเขตพื้นที่ ก็น่าสนใจว่าเด็กจากครอบครัวรายได้สูง 60,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และอาศัยในกรุงเทพฯ กว่า 78% ต้องการเรียนสูงกว่าระดับปริญญาตรี ขณะที่คำตอบจากกลุ่มเด็กในครอบครัวรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท และอยู่ต่างจังหวัด มีสัดส่วนน้อยกว่ามาก

ทั้งนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือเยาวชนมีกรอบคิดเติบโต (growth mindset) ที่ช่วยให้เห็นความเป็นไปได้ในชีวิต เห็นศักยภาพการพัฒนาของตนเองมากน้อยแค่ไหน ผลจากการวัดด้วยคำถามว่า ‘คุณเห็นด้วยกับประโยคเหล่านี้หรือไม่ – สติปัญญาและความสามารถเป็นลักษณะที่ติดตัวบุคคลมา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และบุคลิกภาพและนิสัยคนเรามักไม่เปลี่ยน เป็นคนอย่างไรก็อย่างนั้น’ สะท้อนว่าเยาวชนส่วนมากมี growth mindset (ตอบว่าไม่เห็นด้วย) ซึ่งเด็กที่มี growth mindset ก็มีแนวโน้มตอบว่าอยากเรียนสูงกว่าระดับปริญญาตรีมากกว่ากลุ่ม fixed mindset ด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามอุปสรรคที่ขัดขวางความสำเร็จด้านการศึกษา เยาวชนกว่า 40% ตอบว่ามีเงินไม่เพียงพอ รองลงมามองว่าไม่มีอุปสรรค 27% ตามด้วยการมองว่าตนเองไม่มีความสามารถเพียงพอ 10% มีหรือกลัวว่าจะมีปัญหาสุขภาพจิต 7% มีภาระและขาดการสนับสนุนจากครอบครัว 7% บ้านไกลจากสถานศึกษา 5%

นอกจากนี้ ทิพย์นภายังกล่าวว่า เมื่อเทียบกันระหว่างอุปสรรคภายนอกและภายในตัวเด็ก ดูเหมือนอุปสรรคภายในอย่างความรู้สึกไม่เก่งพอ กลัวมีปัญหาสุขภาพจิต จะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการประสบความสำเร็จด้านการศึกษาของพวกเขามากกว่าเรื่องเงินไม่พอหรือบ้านไกลเสียอีก



แบบสำรวจข้อถัดมาจึงเป็นเรื่องของทุนทางจิตวิทยา (Psychological Capital : PSYCAP) ด้าน Efficacy หรือความเชื่อมั่นในศักยภาพตนเอง ว่าส่งผลต่อการมองอุปสรรคด้านการศึกษาอย่างไร? ทิพย์นภาพบว่าคนที่เชื่อมั่นในตนเองสูง จะมองว่าตนไม่มีอุปสรรคด้านการศึกษา และมั่นใจว่าจะสำเร็จการศึกษาในระดับที่ตนต้องการมากกว่ากลุ่มคนที่เชื่อมั่นในตนเองต่ำ ซึ่งมีแนวโน้มมองว่าตนเองไม่เก่งพอ กลัวเรื่องปัญหาสุขภาพจิต



มิติสุดท้าย – การสำรวจด้านความเป็นพลเมือง (citizenship) ทิพย์นภาและคณะใช้วิธีสำรวจผ่านคำถาม ‘การละเลยจริยธรรม’ (moral disagreement) เช่น การปล่อยข่าวลือเพื่อปกป้องคนที่ห่วงใยเป็นสิ่งที่ทำได้ / คนเราไม่ควรถูกตำหนิเมื่อทำสิ่งที่ผิด ถ้าทุกคนทำแบบเดียวกัน / การแอบอ้างความคิดผู้อื่นว่าเป็นของตัวเองไม่ใช่เรื่องใหญ่ ฯลฯ หรือก็คือเป็นความผิดเล็กน้อยที่ดูไม่สลักสำคัญ แต่การละเลย หาเหตุผลเพื่ออนุญาตให้ตนเองทำผิดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้อาจสั่งสมไปสู่ความผิดที่ใหญ่ขึ้นและมากขึ้นกว่าเดิม

โชคดีที่ผลสำรวจชี้ว่าเยาวชนกว่า 80% ยังยึดมั่นในจริยธรรม ละเลยเพียง 12% (“แต่นั่นก็มากเพียงพอแล้วที่จะเกิดปัญหา” ทิพย์นภาเตือน) โดยคนที่ยึดมั่นในจริยธรรมเหล่านี้ มีแนวโน้มเห็นด้วยกับความเสมอภาคด้านเพศ ยอมรับความแตกต่าง เสรีภาพทางความคิด และมีส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่า ขณะเดียวกัน กลุ่มที่ละเลยจริยธรรม มีแนวโน้มภาคภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย เชื่อว่าชาติไทยดีกว่าชาติอื่นมากกว่า และน่าประหลาดใจที่พวกเขายังตอบว่าใช้คำสอนศาสนาในการดำเนินชีวิตเป็นสัดส่วนที่มากกว่ากลุ่มยึดมั่นในจริยธรรม

“ในทางจิตวิทยา มีปรากฏการณ์เรียกว่า moral licensing คือถ้าเราคิดว่าตัวเองเป็นคนดีแล้ว ทำดีมาแล้ว จะรู้สึกว่าทำผิดเล็กๆ น้อยๆ บ้างก็ไม่เป็นไร นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของข้อค้นพบนี้” ทิพย์นภาอธิบาย



นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่าง growth mindset และทัศนคติทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมด้วย ทิพย์นภากล่าวว่าเด็กที่มี growth mindset จะมองว่าคนเราเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้ พวกเขาจะเห็นแง่ดีของคนอื่นๆ และมีแนวโน้มสนใจประเด็นทางสังคม ความเป็นไปของสังคม แต่ถึงที่สุดแล้ว การที่เยาวชนคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาลงมือทำอะไรสักอย่าง ย่อมอาศัยแรงผลักดันหรืออิทธิพลจากคนรอบข้าง ทำให้ในแบบสำรวจสนใจเรื่องการสื่อสารพูดคุยเรื่องการเมืองของเด็กๆ ด้วย ซึ่งปรากฏว่าตอนนี้เยาวชนกว่า 81% สื่อสารเรื่องนี้ไม่บ่อยนัก แต่ในกลุ่มที่สื่อสารบ่อยราว 19% ก็มีแนวโน้มจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มที่มีอุดมการณ์ตรงกับตนเองเมื่อเกิดขึ้นในครั้งถัดไป เป็นสมาชิก/ทำกิจกรรมร่วมกับพรรคการเมือง กระทั่งสมัครรับเลือกตั้งเพื่อทำงานเป็นผู้แทนประชาชนเมื่ออายุถึงเกณฑ์ และจัดตั้ง/ เข้าร่วมกลุ่มหรือองค์เพื่อลงมือแก้ปัญหาในชุมชนสังคมอย่างแข็งขันกว่ากลุ่มไม่สื่อสาร



สังคมสูงวัย โลกไม่แน่นอน : อนาคตที่เด็กต้องฝ่าฟัน


จากภาพรวมของผลสำรวจความคิดอ่านของเยาวชน ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center แนะนำว่า “เราควรคิดต่อแบบมีพลวัต (dynamic)” หรือจำลองสภาพการณ์ในอนาคตภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ประกอบกันทั้งปัจจัยภายนอกและตัวเยาวชน เพื่อนำมาพูดคุยร่วมกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และนำไปสู่การออกแบบนโยบายที่เห็นเป้าหมายร่วมกัน

ยกตัวอย่างแบบจำลองโดยคร่าว เดชรัตนำเงื่อนไขชีวิตติดตัวเยาวชนอย่าง growth mindset และสถานะเศรษฐกิจ มาวางบนแกนตัดกันสองแกน ระหว่างข้อจำกัดด้านวัฒนธรรม เช่น เพศวิถี ความเข้าใจอันดีของเยาวชนกับครอบครัว คนรอบข้าง กับข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจในสังคม เช่น ความยากจน เหลื่อมล้ำ สร้างเป็น 4 ฉากทัศน์ ได้แก่

1.ฉากทัศน์ที่ไม่เกิดการปรับตัวทั้งวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ: เดชรัตเรียกง่ายๆ ว่าเป็น “Double Stress หรือเครียดซ้ำซ้อน” กล่าวคือเป็นสภาวะที่เด็กเติบโตได้ยาก ขาดโอกาส จินตนาการ เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย

2.ฉากทัศน์ที่เกิดการปรับตัวด้านวัฒนธรรม แต่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ: เดชรัตตั้งชื่อว่า ‘Frustrated Growth Mindset’ หรือก็คือ growth mindset ของเด็กๆ จะได้รับการดูแลที่ดีขึ้น แต่สุดท้าย พวกเขาก็อาจคับข้องใจที่ไม่สามารถทำตามฝันได้ เพราะติดข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจอยู่วันยังค่ำ

3.ฉากทัศน์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ แต่ไม่เกิดการปรับตัวด้านวัฒนธรรม: เป็นฉากทัศน์ที่เดชรัตมองว่าน่าสนใจ ในเมื่อเด็กทุกคนมีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างเท่าเทียม แต่กลายเป็นว่าครอบครัวอาจไม่เข้าใจความคิด ความฝันของเด็ก “ผมคิดว่าเด็กคงมีความรู้สึกว่าตัวเองทำได้ แต่ยังไม่พอ ไม่รู้ว่าอะไรที่จะทำให้คนรอบข้างที่เขาใส่ใจรู้สึกพอใจ”

และ 4.ฉากทัศน์ที่เกิดการปรับตัวทั้งด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นภาพที่ทุกคนอยากเห็นร่วมกันมากที่สุด เหมาะแก่การเติบโตของเยาวชนที่สุด

ด้าน รศ.ดร.มนสิการ กาญจนะจิตรา ในฐานะผู้ที่ติดตามสถานการณ์ประชากรจากการทำงานในสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ชี้ว่าปัจจุบันเราล้วนทราบดีว่าเด็กเกิดน้อยลง ผู้สูงอายุเพิ่มจำนวนมากขึ้น ดังนั้น ผู้ใหญ่จึงควรช่วยกันสนับสนุน ดึงศักยภาพของเด็กออกมาให้ได้มากที่สุด

“เราพบว่าเด็กที่เกิดในประเทศไทยตอนนี้ สามารถมีผลิตภาพได้แค่ 60% ของศักยภาพตัวเอง” มนสิการกล่าว “จากศักยภาพ 60% ถ้าสามารถเพิ่มได้ เป็น 70-80% มันทดแทนเรื่องจำนวนประชากรที่น้อยลงได้ ถ้าเราจับจุดถูกว่าจะพัฒนาศักยภาพเด็กอย่างไร อยากให้ปลดล็อกได้เต็มที่”

ทั้งนี้ เธอมองว่าเรื่องหนึ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับสังคมผู้สูงวัย คือจำนวนผู้สูงอายุอาจกดทับเสียงของเด็กหรือคนรุ่นใหม่ที่กลายเป็นประชากรส่วนน้อย ทั้งด้านการเมือง การทำงาน กระทั่งในบริบทโรงเรียน ทำให้เด็กอาจรู้สึกว่าแม้อยากพัฒนา อยากเปลี่ยนแปลงสังคม มีความฝันของตัวเองก็ทำอะไรมากไม่ได้ ขณะที่เดชรัตเพิ่มเติมว่านอกจากภาวะสังคมสูงวัยแล้ว “ผมว่าปัญหาใหญ่อยู่ที่สังคมไม่แน่นอน”

“เราไม่รู้จะรับมือยังไง ไม่ต้องพูดถึงน้องๆ เยาวชน แค่ผมจะพูดกับลูกสองคนที่กำลังจะเรียนจบ ก็พูดอะไรไม่ได้นอกจากสู้ๆ นะ มีอะไรก็บอกนะ” เดชรัตหัวเราะ พร้อมเสนอว่าในสังคมที่มีศักยภาพแฝงเยอะ แต่สถานภาพไม่ค่อยแน่นอนเช่นนี้ น่าสนใจศึกษาว่าเด็กและเยาวชนปัจจุบันมีความสามารถในการปรับตัว (coping capacity/ coping strategy) มากน้อยแค่ไหน และส่วนที่ว่าเกี่ยวข้องกับความเครียด ความพึงพอใจในชีวิตเด็กด้วยหรือไม่ อย่างไร


ในวันที่เด็กยังเครียดและเหงา เราต้องช่วยกันดูแล


ความเครียด และความรู้สึกเหงา โดดเดี่ยวของเด็กที่สะท้อนผ่านผลสำรวจนั้นนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ หากพิจารณาว่าในตอนนี้ เราอาจดูแลสุขภาวะทางใจของเด็กได้ไม่ทั่วถึงเพียงพอ โดยเดชรัตย้ำว่าปัญหาดังกล่าว “น่าเป็นห่วงมาก” และ “เราจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้”

ข้อเสนอของเดชรัตจึงประกอบไปด้วย หนึ่ง สร้างมาตรการช่วยลดความเครียดให้เด็กอย่างเร่งด่วน (emergency relief) –แม้ว่าขีดความสามารถการบริการดูแลสุขภาพจิตในปัจจุบันยังถือว่าน้อยมาก และไม่ครอบคลุม แต่ก็เป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ- เช่น ตั้งคลินิกปรึกษาสุขภาพใจสำหรับเยาวชน หรืออาจพิจารณาให้มีคลินิกนิรนามเพื่อให้คำปรึกษาโดยไม่แจ้งต่อผู้ปกครองและโรงเรียน เพื่อทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัย เป็นต้น

สอง รัฐต้องสร้าง ‘ตาข่ายพยุงฝัน’ หรือ social safety net เพื่อให้เยาวชนรู้สึกว่าสามารถประสบความสำเร็จตามความฝันได้ ซึ่งจะทำให้ความทุกข์ใจบางส่วนลดลงโดยปริยาย

สาม – “เป็นการเรียกร้องต่อพวกเรา” คือต้องร่วมกันปรับวัฒนธรรม (cultural adaptation) ปรับความคิดอ่านระหว่างเยาวชนและผู้ใหญ่เข้าหากัน โดยเดชรัตกล่าวว่าเราอาจต้องสร้างแคมเปญรณรงค์ประเด็นนี้อย่างจริงจังมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมามีแต่การพูดลอยๆ ว่าเราควรเข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายเท่านั้น

สี่ – เป็นมิติการเสริมพลังแก่ growth mindset คือสร้างพื้นที่ให้เด็กมีโอกาสแสดงฝีมือ ทักษะของตนเอง

และสุดท้าย “เราต้องตั้งปลายทางว่าเราจะไปถึงสังคมที่เกื้อกูลและเท่าเทียม” โดยชี้วัดจากสามมิติสำคัญ ได้แก่ เป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมของการดูแลซึ่งกันและกัน (care culture) เป็นสังคมที่เรื่องของการดูแลสุขภาวะทางจิตได้รับความสำคัญ เป็นกระแสหลัก (main stream) เทียบเท่ากับการดูแลสุขภาพกาย และเป็นสังคมที่ความฝันของคนรุ่นต่อไปต้องไม่ถูกกำหนดจากสถานะทางเศรษฐกิจ-สังคมของคนรุ่นพ่อแม่

ในส่วนความเห็นของมนสิการ ชี้ว่าในอนาคต เราควรสร้างเสริม growth mindset แก่เด็ก หรือกระทั่งทุกฝ่ายในสังคมอย่างเป็นระบบมากขึ้น เพราะปัจจุบันดูเหมือนนโยบายต่างๆ จะมุ่งตรงไปยังระดับครอบครัว ว่าพ่อแม่จะสอนลูกให้พัฒนาตนเอง มีกรอบคิดที่ดีได้อย่างไร แต่ในภาพใหญ่ระดับโครงสร้างเช่นการศึกษา อาจยังขาดแง่มุมการเติม growth mindset ให้เด็ก มิหนำซ้ำยังเป็นการซ้ำเติมว่าคนที่ออกนอกเส้นทางการศึกษาแบบที่ควรจะเป็นคือคนที่ล้มเหลว และคนที่เดินตามเส้นทางก็อาจมี Fixed Mindset จากความเข้าใจว่าเราเป็นผู้อยู่รอด มีความสามารถเพียงพอแล้ว

การสร้าง growth mindset แก่เด็กสักคน จึงไม่ใช่แค่เรื่องปัจเจกบุคคลหรือเรื่องในครอบครัว แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ทั้งในสถานศึกษา สถานประกอบการ และทำร่วมกันทุกฝ่ายไม่ว่าคนรุ่นเก่าหรือคนรุ่นใหม่ในสังคม

References
1 ผลสำรวจ คิด for คิดส์ 2025 จัดทำโดย ผศ.ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา, ศุภณัฐ ศรีอุทัยสุข, ธนกฤต สำราญกมล และพิมพ์มาดา เจริญศิลป์ สำรวจเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025

เรียบเรียง/นำเสนอ

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

สร้างสรรค์ภาพ

พิรุฬพร นามมูลน้อย

บทความที่เกี่ยวข้อง

101 Public Policy Think Tank
ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง

ศูนย์วิจัยนโยบายสาธารณะไทยในบริบทโลกใหม่ สร้างสรรค์ความรู้ด้านนโยบายสาธารณะที่มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มพลังให้ประชาชนสามารถตัดสินใจอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในเรื่องสำคัญที่มีความหมายต่อชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และสังคม

Copyright © 2025 101pub.org | All rights reserved.