รักวัวให้ผูก รักลูกไม่ควรตี: ความเป็นมาของข้อความคิดเกี่ยวกับการลงโทษบุตรผ่าน ‘กฎหมาย(ห้าม)ตีเด็ก’ ที่แก้ไขใหม่

วันที่ 24 มีนาคม 2568 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 (กฎหมายตีเด็ก) อันมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขประมวลกฎหมายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ว่าด้วยสิทธิของการลงโทษบุตรของบิดามารดาผู้ปกครอง

แม้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยและอาจถูกมองว่าแทบจะไม่แตกต่างจากกฎหมายเดิมนัก แต่หากพิจารณาเหตุผลเบื้องหลังของกฎหมาย ประวัติศาสตร์ความเป็นมาเกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครองบุตร และความตั้งใจของผู้เสนอแก้ไขกฎหมายรวมทั้งข้อถกเถียงเกี่ยวกับการเสนอร่างกฎหมายตีเด็กนั้น ย่อมสะท้อนถึงการต่อสู้ทางความคิดระหว่างฝ่ายที่คำนึงถึงจารีตประเพณีนิยมกับฝ่ายที่เห็นควรให้ปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับยุคสมัยและคำนึงถึงคุณค่าที่เป็นสากล เช่น สิทธิมนุษยชน

คิด for คิดส์ โดยความร่วมมือของ สสส. กับ 101 PUB ขอนำเสนอพัฒนาการเกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครองบุตร โดยเฉพาะในส่วนของสิทธิของบิดามารดาในการทำโทษบุตร ผ่านเจตนารมณ์ของผู้ร่างกฎหมาย แนวความเห็นทางตำรา และฝ่ายที่เสนอให้ปรับปรุงแก้ไข ในฐานะกรณีศึกษาหนึ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ทางความคิดระหว่างฝ่าย ‘รักษาของเก่า’ กับ ‘ปรับปรุงให้ดีขึ้น’ ซึ่งมักปรากฏบ่อยครั้งในการจัดทำกฎหมายครอบครัวสมัยใหม่ของไทย

ความเป็นมาว่าด้วยการใช้อำนาจปกครองบุตรในกฎหมายไทย

แนวคิดว่าด้วยอำนาจปกครองของบิดามารดาในสังคมไทยได้รับอิทธิพลจากจีนและอินเดีย ซึ่งถือหลักเรื่องความกตัญญู บิดามารดามีสถานะเหนือกว่าบุตร มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพ และมิอาจล่วงละเมิดได้ ดังคำกล่าวที่ว่าบิดามารดาเป็นพรหมของบุตร มีสถานะเป็นทั้งผู้ให้กำเนิดและเป็นเจ้าชีวิตของบุตร[1]สรรพสิทธิ คุมพ์ประพันธ์,  “แนวทางการป้องกันแก้ไข การละเมิดสิทธิเด็กในประเทศไทย.” ดุลพาห น.18 บุตรเปรียบเสมือนเป็นสมบัติของบิดามารดา[2]สมลักษณ์ ขนอม, “การคุ้มครองสิทธิเด็กในประเทศไทย: ศึกษาเฉพาะกรณีเด็กถูกทารุณกรรมในครอบครัว,” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ … Continue reading

กฎหมายไทยแต่เดิมมิได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับอำนาจปกครองบุตรเป็นการเฉพาะ แต่ปรากฏว่าในกฎหมายตราสามดวงมีการกำหนดถึง ‘อำนาจอิศระ’ (ที่แปลว่าเป็นใหญ่) ของบิดา/สามี เหนือบุตรภรรยา กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตามกฎหมายตราสามดวง บิดามีอำนาจเหนือบุตรอย่างไม่จำกัด[3]มาตาลักษณ์ เสรเมธากุล, หลักการคุ้มครองสิทธิเด็กภายใต้แนวคิดเกี่ยวกับประโยชน์สูงสุดของเด็ก (รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัย … Continue reading อำนาจดังกล่าวมีล้นพ้นขนาดบิดามีสิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกายของบุตร จะขายเป็นทาสก็ยังได้[4]หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช, กฎหมายสมัยอยุธยา (พิมพ์ครั้งที่ 2, วิญญูชน 2559) 91. แม้ว่าจะมีบทปรานีตามกฎหมายลักษณะผัวเมียบทที่ 74 ที่กำหนดให้ต้องเลี้ยงดูญาติพี่น้องโดยธรรม แต่ในทางปฏิบัติ ฝ่ายบ้านเมืองคงไม่เข้ามาข้องเกี่ยวนัก เพราะทัศนคติที่มองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวในครัวเรือน เป็นเรื่องอำนาจบริหารจัดของผู้เป็นเจ้าบ้าน

ต่อมาเมื่อมีการจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเป็นการจัดทำกฎหมายตามฐานคิดของการจัดทำประมวลกฎหมายสมัยใหม่ตามแนวทางโลกตะวันตก แนวคิดเรื่องการใช้อำนาจปกครองบุตรมีการบัญญัติให้ชัดเจนขึ้น มีการจำแนกสิทธิ หน้าที่ และอำนาจของบิดามารดาเหนือบุตร ซึ่งสิทธิหน้าที่และอำนาจดังกล่าว หมายความรวมถึงอำนาจในลงโทษบุตรตามสมควรด้วยนั่นเอง

ความเป็นมาเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการลงโทษบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

เมื่อมีการจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัวในช่วงปลายพุทธทศวรรษ 2470 อำนาจของผู้ใช้อำนาจปกครองในการลงโทษบุตรถูกบัญญัติไว้ใน มาตรา 1539 (2) อันบัญญัติว่า

“บิดาหรือมารดาผู้ใช้อำนาจปกครองย่อมมีสิทธิ…

(2) ทำโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน

…”

อย่างไรก็ดี ในชั้นกรรมาธิการ มีข้อเสนอให้ตัด (2) ของร่างมาตรา 1539 ออก ทำให้ร่างมาตรา 1539 ในชั้นกรรมาธิการคงเหลือเพียงอำนาจในการกำหนดที่อยู่ของบุตร และเรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่นซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบ[5]สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, CIVIL AND COMMERCIAL CODE: BOOK V FAMILY ARCHIVES VOL VI. ซึ่งสาเหตุที่ตัดบทบัญญัตินี้ออกนั้น พระยาอิศรภักดีธรรมวิเทต รักษาการแทนประธานกรรมาธิการอธิบายว่าบทบัญญัติเรื่องการลงโทษบุตรมีลักษณะเป็นกฎหมายธรรมดา (unwritten law) กล่าวคือ เป็นเรื่องกฎหมายที่เป็นสิ่งที่คนรู้กันทั่วแล้ว ไม่จำเป็นต้องบัญญัติเป็นกฎหมาย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นกฎหมายที่มีอยู่แต่ไม่ได้เขียนไว้ โดยเทียบกับกรณีครูตีศิษย์ ที่แม้ไม่กฎหมายให้อำนาจแต่ในความเป็นจริงครูก็มีอำนาจตีศิษย์ได้[6]สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุม ครั้งที่ 41 (สมัยสามัญ) (13 มีนาคม 2477) น.2912-2914.

ต่อมา เมื่อร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2 มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแปรญัตติไม่เห็นพ้องกับกรรมาธิการ โดยอภิปรายว่า หากใช้เหตุผลเดียวกับคณะกรรมาธิการ มาตรา 1539 ก็ไม่จำเป็นต้องบัญญัติไว้ เพราะสิทธิในการกำหนดที่อยู่ของบุตร และเรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่นซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบ ก็เป็นเรื่องที่คนธรรมดาสามัญเข้าใจได้โดยทั่วไป นอกจากนี้ ยังมีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า กรรมาธิการไม่น่าตัดเรื่องอำนาจในการลงโทษบุตรออก เพราะหากบิดาไม่ว่ากล่าวหรือทำโทษบุตรแล้ว บุตรอาจจะเป็นผู้ที่แข็งกระด้าง กลายเป็นคนไม่ดีต่อไป อำนาจเช่นนี้ควรมอบให้บิดามารดาสั่งสอนไปก่อน[7]เพิ่งอ้าง 2912. 

ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรมีมติให้ถือตามร่างรัฐบาล หลักการดังกล่าว จึงปรากฏในมาตรา 1539 (2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ฉบับ 2477 ต่อมาเมื่อการตรวจชำระกฎหมายครอบครัวครั้งใหญ่ใน พ.ศ. 2519 หลักการดังกล่าวได้ย้ายมาอยู่ในมาตรา 1567 (2) ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า การใช้อำนาจปกครองบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ฉบับ 2477 บทบาทหลักจะอยู่ที่บิดา แต่ภายหลังการตรวจชำระกฎหมายใน 2519 บิดามารดาจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองร่วมกัน

แนวคำอธิบายเกี่ยวกับสิทธิในการลงโทษบุตรของผู้ใช้อำนาจปกครอง

เนื่องจากบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิในการลงโทษบุตรตามสมควรมีลักษณะเป็นบทกฎหมายที่ใช้ถ้อยคำไม่เฉพาะเจาะจง จึงจำเป็นต้องอาศัยการตีความ ซึ่งอาจจะมีที่มาทั้งแนวคำอธิบายของนักกฎหมายและคำพิพากษาของศาล ซึ่งได้มีผู้ทรงคุณวุฒิอธิบายไว้หลากหลายแนวทางด้วยกัน ดังนี้

คำอธิบายของทองเปลว ชลภูมิ์ และคณะ (2478) ซึ่งเป็นคำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เล่มแรกๆ อธิบายว่าสิทธิของบิดามารดาในการลงโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน เป็นสิทธิตามธรรมชาติในฐานะผู้ให้กำเนิด การทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนต้องดูว่าสมควรเพียงใด ต้องพิจารณาตามพฤติการณ์ หากรุนแรงเกินไปก็อาจเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา[8]ทองเปลว ชลภูมิ์ และ คณะ, คำอธิบาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 (ครอบครัว) (โรงพิมพ์อักษรนิติ์ 2478) 277. พระบริรักษ์นิติเกษตรได้ให้ตัวอย่างไว้ว่า บุตรทำแก้วแตก ผู้ใช้อำนาจปกครองย่อมมีสิทธิทำโทษ เช่น เฆี่ยนตีตามสมควร เพื่อว่ากล่าวสั่งสอนให้หลาบจำแต่ไม่ใช่เฆี่ยนตีจนถึงกับบาดเจ็บสาหัส[9]พระบริรักษ์นิติเกษตร, คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครัว (พิรุณพาณิช 2478) 173. เช่นเดียวกับเสริม วินิจฉัยกุล (2492) ที่อธิบายว่า การทำโทษบุตรเป็นของธรรมดาสำหรับผู้ใช้อำนาจปกครอง เด็กดื้อดึงไม่เชื่อฟัง ย่อมจะทำโทษได้ตามสมควร ถ้าเป็นพฤติกรรมทุบตีโดยปราศจากเหตุผลอันเป็นการแสดงความทารุณของบิดามารดาหรือผู้ใช้อำนาจปกครองย่อมเป็นความผิดทางอาญา[10]เสริม วินิจฉัยกุล, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว (มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง 2492) 164-165.

ในส่วนของคำอธิบายของสอาด นาวีเจริญ (2493) ได้อธิบายลักษณะของการลงโทษไว้อย่างน่าสนใจ โดยยกตัวอย่างกรณีเฆี่ยนตีกักขังว่า หากไม่เป็นการเกินสมควร ผู้ปกครองทำได้ไม่เป็นความผิดทางอาญา ส่วนอย่างไรเป็นการสมควรต้องพิจารณาพฤติการณ์เป็นเรื่องๆ ไป เช่น ให้บุตรไปอยู่โรงเรียนประจำก็หนีโรงเรียน ทั้งยังประพฤติชั่วในทางลักขโมย เคยเฆี่ยนตีเสียก็ไม่หลาบจำ ครั้งนี้บิดาจึงเฆี่ยนตีจนเนื้อแตก และเอาตัวล่ามไว้ไม่ให้หนี ดังนี้เป็นการทำโทษพอสมควร แต่ถ้าเคยหนีโรงเรียนครั้งเดียว ดังนี้เกินสมควร[11]สอาด นาวีเจริญ, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว (มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง 2493) 262.

ส่วนคำอธิบายของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (2508) อธิบายว่า อำนาจของบิดามารดาในการทำโทษบุตร ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้บิดามารดาถูกฟ้องเป็นคดีอาญา โบราณกล่าวว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” เด็กบางคนไม่ลงไม้เรียวบ้างก็เอาดีมิได้ แต่การทำโทษบุตรมิได้หมายความว่าต้องลงไม้เรียวเสมอไป โดยการทำโทษต้องมีเงื่อนไขว่าต้องทำตามสมควรและมุ่งหมายเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน ถ้าใช้วิธีลงโทษหนักไป อาจเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่ามิได้เป็นไปเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน[12]ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว มฤดก (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2508) 313.

อนึ่ง ม.ร.ว. เสนีย์ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำโทษบุตรตามยุคสมัยและสภาพสังคมไว้ว่า

…สมัยก่อนนานมาแล้ว เมื่อเด็กไทยส่วนมากยังเป็นเด็กเลี้ยงควาย ไม่มีการศึกษา พูดอะไรกันไม่เข้าใจ จะตีกันด้วยดุ้นแสมเหมือนตีวัวตีควายอาจเป็นตามสมควร แต่สมัยนี้ (2508-ผู้เขียน) เด็กฉลาดขึ้นเป็นอันมาก ทั้งได้รับการศึกษาดีกว่าแต่ก่อน ส่วนมากว่ากล่าวสั่งสอนกันด้วยวาจาก็เพียงพอแล้ว เว้นแต่จะเป็นเด็กเหลือขอจริง ๆ จึงต้องลงไม้เรียว…[13]เพิ่งอ้าง 314.

ขณะเดียวกัน ชาติชาย อัครวิบูลย์ และสมบูรณ์ ชัยเดชสุริยะ (2519) อธิบายว่า “ในการอบรมเกี่ยวกับความประพฤติอาจจะต้องมีการลงโทษ การทำโทษนี้อาจเป็นวิธีการต่างๆ แล้วแต่พฤติการณ์เป็นกรณีๆ ไป เช่น การเฆี่ยนตี กักขัง ว่ากล่าว เป็นต้น แต่วิธีการทำโทษต้องพอสมควร หากใช้วิธีการผิดปกติ เช่นเอาเหล็กเผาไฟนาบหรือจับไปตากแดดเป็นเวลานาน เหล่านี้ย่อมเป็นการกระทำที่ปราศจากอำนาจ” ทั้งนี้ การทำโทษต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หากมีเจตนาอื่นก็เป็นการกระทำที่ทำโดยปราศจากอำนาจ เช่น ทำโทษเพื่อประจาน ติลูกกระทบแม่ โดยมิได้ทำผิด นอกจากนี้ หากบิดามารดาสั่งให้บุตรทำผิดกฎหมาย และบุตรไม่ยอมทำตาม บิดามารดาจะอ้างอำนาจตามมาตรา 1567 (2) ลงโทษมิได้[14]ชาติชาย อัครวิบูลย์และสมบูรณ์ ชัยเดชสุริยะ, คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัว (ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519) … Continue reading

ส่วน วารี นาสกุล (2554) อธิบายว่า ผู้ใช้อำนาจปกครองสามารถลงโทษบุตรของตนได้ หากบุตรกระทำความผิด แต่การลงโทษนั้นจะต้องเป็นการลงโทษเพื่อสั่งสอน มิใช่ลงโทษเพราะอาฆาตพยาบาท และการลงโทษจะต้องเป็นไปตามสมควร หากลงโทษเกินไปอาจถูกฟ้องฐานทำร้ายร่างกายได้ อย่างไรเป็นการลงโทษตามสมควรก็จะต้องพิจารณาดูแต่ละรายไป ต้องพิจารณาจากวัย สุขภาพ รูปร่างของเด็ก ตลอดจนเหตุการณ์แวดล้อมอันเป็นเหตุแห่งการลงโทษ เช่น ถ้าบุตรหนีโรงเรียนไปเที่ยว บิดามารดาจะล่ามโซ่บุตรไว้ไม่ได้ จะต้องว่ากล่าวตักเตือนหรือหาวิธีที่จะไม่ให้บุตรหนีโรงเรียน เป็นต้นว่าฝากเป็นนักเรียนประจำ หรือหมั่นไปรับส่ง เป็นต้น[15]วารี นาสกุล และ เบญจวรรณ ธรรมรัตน์, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วย ครอบครัว (พลสยาม พริ้นติ้ง (ประเทศไทย) 2554) 284.

ประสพสุข บุญเดช อธิบายว่า ในการควบคุมดูแลให้การศึกษาอบรมนั้น บิดามารดาอาจจำเป็นต้องทำโทษบุตรบ้าง กฎหมายจึงให้สิทธิในการทำโทษบุตร แต่การลงโทษบุตรต้องไม่เป็นการทารุณโหดร้ายและรุนแรงเกินเหตุ หากเป็นการลงโทษรุนแรงเกินไปหรือเพราะอาฆาตโกรธแค้น บิดามารดาอาจต้องรับผิดทางอาญาหรือทางแพ่งฐานละเมิดได้ ทั้งนี้ ในการพิจารณาว่าการลงโทษแบบใดเป็นการลงโทษตามสมควรนั้น ต้องดูอายุของบุตร พละกำลัง อุปนิสัยใจคอ และพฤติการณ์อื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น บุตรที่อายุยังน้อย เป็นไม้อ่อนดัดง่าย อาจใช้เพียงดุด่าว่ากล่าวก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าบุตรอายุมาก ชอบหนีโรงเรียนและเกียจคร้าน อาจจะต้องใช้การสั่งให้ทำกิจกรรมหรือกักบริเวณจึงเป็นวิธีทำโทษที่เหมาะสม[16]ประสพสุข บุญเดช, คำอธิบายกฎหมายครอบครัว (พิมพ์ครั้งที่ 24, เนติบัณฑิตยสภา 2562) 690-691.

ไพโรจน์ กัมพูสิริ อธิบายหลักการดังกล่าวโดยอิงฐานคิดจากสุภาษิตไทย “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” และสุภาษิตของฝรั่งเศสที่ว่า “ที่ตีเพราะรัก” (qui aime bien chatie bien) ถ้าสิ่งที่บุตรประพฤติปฏิบัตินั้นไม่ถูกต้อง หากไม่ทำโทษบุตร บุตรอาจไม่รู้สำนึก ไม่หลาบจำ และหวนกลับไปกระทำอีก มีผลให้บุตรมีนิสัยอันไม่พึงประสงค์อันอาจเป็นภัยของตนเองและสังคมในอนาคต[17]ไพโรจน์ กัมพูสิริ, คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครัว (พิมพ์ครั้งที่ 14, วิญญูชน 2568) 369. ทั้งอธิบายสาเหตุที่กฎหมายมอบอำนาจเช่นว่านี้ให้บิดามารดา เพราะบิดามารดาเป็นบุคคลแรกที่ใกล้ชิดตัวบุตรมากที่สุด จึงมีหน้าที่มิให้บุตรไปก่อความไม่สงบแก่สังคมและเติบใหญ่ในอนาคต การลงโทษในแง่มุมนี้จึงเป็นหน้าที่ แต่ความรุนแรงในการลงโทษจะต้องพอเหมาะกับระดับความผิดที่บุตรทำลงไป และมีเจตนาเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนประกอบการลงโทษ[18]เพิ่งอ้าง 370.

รัศฎา เอกบุตร (2550) อธิบายว่า การลงโทษบุตรตามสมควรนี้ บิดามารดาจะใช้วิธีการใด แค่ไหน เพียงใด ขึ้นอยู่กับนิสัยใจคอของบุตรและพฤติการณ์ในแต่ละกรณี หากบุตรอายุน้อยอาจลงโทษเพียงดุหรือว่ากล่าวตักเตือน แต่หากบุตรนั้นมีอายุมากพอสมควรและกระทำผิดร้ายแรงอาจเฆี่ยนตีหรือกักขัง[19]รัศฎา เอกบุตร, คำอธิบาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ว่าด้วย ครอบครัว บิดามารดาและบุตร (พิมพ์ครั้งที่ 5, วิญญูชน 2550) 129.

จะเห็นว่า คำอธิบายในชั้นแรกจะอ้างอิงถึงอำนาจของบิดามารดาผู้ใช้อำนาจปกครอง อันมีลักษณะเป็นอำนาจโดยธรรมชาติเป็นหลัก ทั้งยังมีลักษณะที่คงทัศนคติตามกฎหมายเก่าอยู่มาก เช่นบิดามารดาอาจเฆี่ยนตีบุตรได้ถ้าบุตรมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างรุนแรง อย่างไรก็ดี ก็มีผู้ให้ข้อสังเกตว่าเมื่อกาลสมัยเปลี่ยนไป เด็กได้รับการศึกษามากขึ้น การลงโทษโบยตีบุตรอาจจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอีกต่อไป ทั้งปรากฏว่าหากบิดามารดาลงโทษบุตรเกินสมควรในลักษณะทารุณกรรม บิดามารดาอาจต้องรับผิดทางอาญาฐานทำร้ายร่างกาย รับผิดทางแพ่งฐานละเมิด หรือความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความรุนแรงในครอบครัว[20]มาตรา 4 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 … Continue reading

อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริง ประเด็นเรื่องการทำโทษบุตรยังเป็นปัญหาอยู่มาก บิดามารดาจำนวนไม่น้อยมองว่าตนเป็นเจ้าชีวิตเหนือบุตร หรืออาจจะมองในลักษณะเป็นทรัพย์สินของบิดามารดา ทั้งการจะพิจารณาว่าบิดามารดาลงโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนหรือเป็นการใช้อารมณ์ของบิดามารดาเป็นที่ตั้ง ก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยากทั้งนี้ ไม่ปรากฏว่ามีคดีที่บิดามารดาถูกฟ้องเนื่องจากลงโทษบุตรเกินสมควร ส่วนหนึ่งเพราะบุตรฟ้องบิดามิได้ เป็นอุทลุม ต้องให้อัยการฟ้องแทนซึ่งช่องทางดังกล่าวในสายตาประชาชนก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก[21]ประสพสุข บุญเดช, 690.

การต่อสู้ทางความคิดระหว่างการปรับปรุงกฎหมายตีเด็ก

เดิมทีกฎหมายครอบครัวถูกมองว่าเป็นกฎหมายส่วนตัวและเป็นเรื่องการบริหารจัดการภายในครัวเรือน รัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซงความสัมพันธ์ทางครอบครัวนัก อย่างไรก็ดี เมื่อมีการประกาศใช้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ใน ค.ศ. 1948 เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในความเป็นอยู่ส่วนตัวของชีวิตครอบครัวที่จะไม่ถูกละเมิด อย่างไรก็ดี ปฏิญญาดังกล่าวไม่มีสถานะเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นเพียงคำประกาศที่ได้รับการยอมรับจากที่ประชุมสหประชาชาติเท่านั้น[22]วรภัทร รัตนาพาณิชย์, กฎหมายเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน (วิญญูชน 2566) 66.

ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนได้วางหลักการว่าครอบครัวเป็นหน่วยธรรมชาติและหลักของสังคม และมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากสังคมและรัฐ (ข้อ 16 (3)) ข้อ 12 และข้อ 25 นอกจากนี้ ยังมีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ. 1989 ที่ไทยเข้าเป็นภาคีอนุสีญญาด้วยการภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2535 และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 26 เมษายน ปีเดียวกัน[23]เพิ่งอ้าง 67.

เมื่อประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนและสิทธิเด็กเริ่มมีบทบาทสำคัญในระบบกฎหมายไทย กฎหมายเกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครองบุตรจึงต้องคำนึงถึงประเด็นเรื่องดังกล่าวโดยปริยาย ซึ่งความพยายามอธิบายกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการดังกล่าวย่อมสะท้อนผ่านแนวคำอธิบายของนักกฎหมายในชั้นหลัง ตามที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงไว้ในหัวข้อก่อนหน้า

นอกจากนี้ ยังปรากฏว่ามีความพยายามแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญาดังกล่าวด้วย โดยเริ่มจากหลักการเกี่ยวกับอำนาจของบิดามารดาในการทำโทษบุตรตามมาตรา 1567 (2) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

จุดเริ่มต้นในการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 1567 (2) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สืบเนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคก้าวไกลนำโดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ. 1989 ข้อ 2 2. กำหนดให้รัฐภาคีจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสม เพื่อประกันว่าเด็กได้รับการคุ้มครองจากการเลือกปฏิบัติ หรือการลงโทษในทุกรูปแบบ บนพื้นฐานของสถานภาพ กิจกรรมความคิดเห็นที่แสดงออกหรือความเชื่อของบิดา มารดา ผู้ปกครองตามกฎหมาย หรือสมาชิกในครอบครัวของเด็ก

ขณะที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) กำหนดอย่างกว้าง ๆ ให้พ่อแม่มีสิทธิลงโทษบุตรได้ “ตามสมควร” เพื่อว่ากล่าวสั่งสอน โดยไม่มีหลักประกันว่าวิธีการลงโทษนั้นต้องไม่เป็นการทารุณกรรม ส่งผลให้อำนาจหรือดุลยพินิจในการเลือกวิธีลงโทษอยู่ที่พ่อแม่ของเด็กเอง

แม้เด็กที่ถูกพ่อแม่ลงโทษด้วยวิธีรุนแรงจะสามารถพึ่งพากลไกกระบวนการยุติธรรมให้ศาลถอนอำนาจปกครองของพ่อแม่ หากพ่อแม่ “ประพฤติชั่วร้าย” (มาตรา 1582) หรือดำเนินคดีอาญา เช่น ความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้ แต่กลไกดังกล่าวก็ไม่ได้เข้าถึงง่ายสำหรับเด็ก อีกทั้งการที่กฎหมายไม่ได้ระบุเงื่อนไขชัดเจน ก็เปิดช่องให้ศาลมีดุลยพินิจมองว่าการลงโทษบุตรของพ่อแม่นั้นเข้าข่ายเป็นการ “ประพฤติชั่วร้าย” หรือไม่ หรือเป็นเพียงการลงโทษ “ตามสมควร” ยังไม่เข้าข่ายประพฤติชั่วร้ายซึ่งจะเป็นเหตุให้ถอนอำนาจปกครองได้[24]iLaw, “มีผลแล้ว! กฎหมายแพ่งแก้ไขใหม่ #ไม่ตีเด็ก” (ilaw, 25 มีนาคม 2568) <https://www.ilaw.or.th/articles/51783> สืบค้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2568.

ดังนี้ อาจกล่าวได้ว่าการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ เป็นการแก้ไขกฎหมายครอบครัวอันสืบเนื่องมากจากอิทธิพลของแนวคิดว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ ในที่นี้คืออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก โดยเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมไว้ดังนี้

(2) ทำโทษบุตรเพื่อสั่งสอนหรือปรับพฤติกรรมโดยต้องไม่กระทำด้วยความรุนแรงต่อร่างกายและจิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตีหรือกระทำโดยมิชอบอันเป็นการลดทอนคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุตร

ร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 โดยสืบเนื่องจากกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิในการทำโทษบุตรมีการบังคับใช้เป็นเวลานาน และยังพบว่าการลงโทษนั้น ในหลายกรณีกลับกลายเป็นการทารุณกรรมหรือทำร้ายอันส่งผลทั้งร่างกายจิตใจต่อเด็ก การเฆี่ยนตี การทำโทษด้วยวิธีอื่นซึ่งเป็นการด้อยค่า ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของบุตร และไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาการกระทำผิดหรือพฤติกรรมบุตร ประกอบกับเป็นการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก[25]สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุม ครั้งที่3 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง). (10 กรกฎาคม 2567) 234-235.

ทั้งนี้ มีผู้อภิปรายว่า การแก้กฎหมายเป็นไปเพื่อปรับวิธีคิด ปักหมุดหมายทางสังคม วิธีการอบรมสั่งสอนบุตรหลานโดยไม่ใช้ความรุนแรง[26]เพิ่งอ้าง 237. การสั่งสอนตามสมควรในแต่ละยุคสมัยตีความหมายได้ต่างกัน และไม่เคยมีมาตรวัดระหว่างตามสมควรกับทารุณกรรม[27]เพิ่งอ้าง 242-243. การแก้กฎหมายให้มีความเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น เพื่อมิให้มีการส่งต่อความรุนแรงไปยังรุ่นต่อๆ ไป[28]เพิ่งอ้าง 263.

อย่างไรก็ดี มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ข้อสังเกตว่ามาตรา 1567 เป็นกฎหมายที่สร้างภราดรภาพในสังคมไทยมาช้านาน หากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านไป อาจเกิดปัญหาครอบครัวแตกแยก สังคมครอบครัวบิดามารดาและบุตรจะมีปัญหาอย่างยิ่ง และคดีก็จะรกโรงศาล[29]เพิ่งอ้าง 246-247. แต่ในที่สุด ภายหลังจากอภิปรายร่างกฎหมาย 2 วัน สภาผู้แทนราษฎรก็มีมติรับหลักการในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567

 ในชั้นกรรมาธิการ มีข้อถกเถียงที่น่าสนใจดังนี้

  1. ประเด็นว่า “ตามสมควร” มีผู้ให้ข้อสังเกตว่าเป็นการเปิดช่องให้บิดามารดาผู้ปกครองตีความขอบเขตของ “ตามสมควร” ได้ในลักษณะที่เป็นอัตวิสัย ควรตัดออก แต่ในชั้นนี้ ก็มีผู้แย้งว่าผู้มีอำนาจตีความถ้อยคำดังกล่าวคือศาล มิใช่บิดามารดา ผู้ปกครอง และหากตัดถ้อยคำดังกล่าวออก ย่อมทำให้ศาลไม่มีดุลพินิจในการพิจารณาวินิจฉัย ส่งผลให้ศาลไม่มีความยืดหยุ่น[30]คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….[(2) ทำโทษบุตร], บันทึกการประชุม … Continue reading
  2. ประเด็นเรื่องการห้ามเฆี่ยนตี มีผู้เสนอให้ตัดคำว่า “ไม่เป็นการเฆี่ยนตี” ออก เพราะอาจกระทบกับการดูแลบุตรหลานในสังคมไทย ส่งผลให้ผู้ปกครองไม่กล้าอบรมสั่งสอน อาจกระทบต่อระบบสังคมไทยที่เป็นอยู่และเกิดความบาดหมางในสถาบันครอบครัวได้[31]เพิ่งอ้าง 7. แต่ก็มีผู้โต้แย้งว่า ควรคงบท “ห้ามเฆี่ยนตี” เอาไว้เนื่องจากผู้เสนอแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายต้องการตัดเรื่องเฆี่ยนตีออกไปจากวิธีการทำโทษบุตร[32]เพิ่งอ้าง 6. หากตัดออก ย่อมส่งผลให้บิดามารดายังคงสามารถทำโทษบุตรด้วยการตีได้ จะทำให้เนื้อความกฎหมายไม่ต่างจากเดิม[33]เพิ่งอ้าง 7.

เมื่อร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2 ในวันที่ 25 กันยายน 2567 ได้มีการปรับแก้บทบัญญัติร่างกฎหมายดังนี้

(2) ทำโทษบุตรเพื่อสั่งสอนหรือปรับพฤติกรรมโดยต้องไม่กระทำด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย จิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตี หรือการกระทำโดยมิชอบอันเป็นการลดทอนคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุตร

เมื่อร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2 ได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร่วมกันอภิปรายในการแก้ไข “กฎหมาย (ห้าม) ตีเด็ก” มีความคิดเห็นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ระหว่างฝ่ายที่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เห็นว่าการบัญญัติโดยใช้ถ้อยคำกำกวมจะยากต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ และเห็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองครูอาจารย์รักลูกและลูกศิษย์ของตนเอง ไม่มีใครต้องการทำโทษรุนแรง การห้ามไม่ให้ตีเด็กถือเป็นการลิดรอนสิทธิในการดูแลบุตรหลาน ในที่สุดคณะกรรมาธิการจึงขอถอนร่างกฎหมายไปพิจารณาทบทวน[34]ไทยโพสต์, “สภาฯเถียงกันวุ่น ‘กฎหมายห้ามตีเด็ก’ ก่อน กมธ.ยอมถอนร่างกลับไปทบทวนใหม่” (ไทยโพสต์ 25 กันยายน 2567) <https://www.thaipost.net/x-cite-news/662881> สืบค้นวันที่ 14 … Continue reading โดยได้ปรับปรุงใหม่โดยมีถ้อยคำดังต่อไปนี้

“(2) ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนหรือปรับพฤติกรรมโดยต้องไม่กระทำทารุณกรรมหรือกระทำด้วยความรุนแรงหรือทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตีหรือกระทำโดยมิชอบ”

เมื่อร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งในวันที่ 30 ตุลาคม 2567 ได้มีข้อโต้แย้งว่าจะคงถ้อยคำ “ไม่เป็นการเฆี่ยนตี” ไว้หรือไม่ ซึ่งกรรมาธิการเสียงข้างมากเห็นควรให้คงไว้ และมีกรรมาธิการเสียงข้างน้อยเห็นควรให้ตัดออก ซึ่งในที่สุดสภาผู้แทนราษฎรเห็นพ้องตามความเห็นของคณะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย และเห็นชอบร่างกฎหมายในวาระ 2 และ 3 ในที่สุด[35]มติชน, “สภาฯฉลุยผ่าน กม.ห้ามตีเด็ก หลังกมธ.ถอย ตัดทิ้งคำว่า “ไม่เป็นการเฆี่ยนตี” พ้นร่างกฎหมาย” (มติชน 30 ตุลาคม 2567). <https://www.matichon.co.th/politics/news_4873464>. … Continue reading ก่อนจะเข้าสู่ชั้นการพิจารณาของวุฒิสภา การทูลเกล้าร่างกฎหมายเพื่อเสนอลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้ในชื่อ “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568” ในที่สุด

การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ ถือเป็นการแก้ไขกฎหมายครอบครัวครั้งแรกของไทย ที่ไม่แก้ไขในส่วนที่เกี่ยวกับการสมรส และเป็นครั้งที่มีการเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายครอบครัวโดยไม่มีร่างกฎหมายของรัฐบาลมาพิจารณาประกอบ

บทส่งท้าย

แม้ว่าการแก้ไขเพิ่มเติม ‘กฎหมายตีเด็ก’ ในครั้งนี้ อาจมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ได้ว่าเป็นการแก้ไขที่เหมือนกับการไม่แก้ไข เพราะสาระสำคัญของกฎหมายก็แทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่หากพิจารณากระบวนการร่างและปรับปรุงกฎหมาย จะพบว่ามีร่องรอยความพยายามปรับปรุงกฎหมายให้คำนึงถึงสิทธิเด็กมากขึ้น และเป็นการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับแนวความเห็นทางตำรา แม้ว่าจะมีการถ่วงดุลกับฝ่ายที่เรียกร้องให้คงไว้ซึ่งประเพณีในครอบครัวและความมั่นคงในสถาบันครอบครัวก็ตาม หลังจากนี้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องรอพิจารณาต่อไปว่าศาลหรือนักวิชาการในชั้นหลังจะตีความ “กฎหมาย(ห้าม)ตีเด็ก” ไปในทิศทางใด และจะเปลี่ยนแปลงไปจากกฎหมายเดิมมากน้อยเพียงใด

References
1 สรรพสิทธิ คุมพ์ประพันธ์,  “แนวทางการป้องกันแก้ไข การละเมิดสิทธิเด็กในประเทศไทย.” ดุลพาห น.18
2 สมลักษณ์ ขนอม, “การคุ้มครองสิทธิเด็กในประเทศไทย: ศึกษาเฉพาะกรณีเด็กถูกทารุณกรรมในครอบครัว,” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2537) 17.
3 มาตาลักษณ์ เสรเมธากุล, หลักการคุ้มครองสิทธิเด็กภายใต้แนวคิดเกี่ยวกับประโยชน์สูงสุดของเด็ก (รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2562) 63-64.
4 หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช, กฎหมายสมัยอยุธยา (พิมพ์ครั้งที่ 2, วิญญูชน 2559) 91.
5 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, CIVIL AND COMMERCIAL CODE: BOOK V FAMILY ARCHIVES VOL VI.
6 สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุม ครั้งที่ 41 (สมัยสามัญ) (13 มีนาคม 2477) น.2912-2914.
7 เพิ่งอ้าง 2912.
8 ทองเปลว ชลภูมิ์ และ คณะ, คำอธิบาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 (ครอบครัว) (โรงพิมพ์อักษรนิติ์ 2478) 277.
9 พระบริรักษ์นิติเกษตร, คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครัว (พิรุณพาณิช 2478) 173.
10 เสริม วินิจฉัยกุล, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว (มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง 2492) 164-165.
11 สอาด นาวีเจริญ, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว (มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง 2493) 262.
12 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว มฤดก (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2508) 313.
13 เพิ่งอ้าง 314.
14 ชาติชาย อัครวิบูลย์และสมบูรณ์ ชัยเดชสุริยะ, คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัว (ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519) (โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2521) 355-356.
15 วารี นาสกุล และ เบญจวรรณ ธรรมรัตน์, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วย ครอบครัว (พลสยาม พริ้นติ้ง (ประเทศไทย) 2554) 284.
16 ประสพสุข บุญเดช, คำอธิบายกฎหมายครอบครัว (พิมพ์ครั้งที่ 24, เนติบัณฑิตยสภา 2562) 690-691.
17 ไพโรจน์ กัมพูสิริ, คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครัว (พิมพ์ครั้งที่ 14, วิญญูชน 2568) 369.
18 เพิ่งอ้าง 370.
19 รัศฎา เอกบุตร, คำอธิบาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ว่าด้วย ครอบครัว บิดามารดาและบุตร (พิมพ์ครั้งที่ 5, วิญญูชน 2550) 129.
20 มาตรา 4 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 “ผู้ใดกระทําการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัวผู้นั้นกระทําความผิดฐานกระทําความรุนแรงในครอบครัวต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ

ให้ความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้แต่ไม่ลบล้างความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น

หากการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดฐานทําร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ด้วยให้ความผิดดังกล่าวเป็นความผิดอันยอมความได้
21 ประสพสุข บุญเดช, 690.
22 วรภัทร รัตนาพาณิชย์, กฎหมายเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน (วิญญูชน 2566) 66.
23 เพิ่งอ้าง 67.
24 iLaw, “มีผลแล้ว! กฎหมายแพ่งแก้ไขใหม่ #ไม่ตีเด็ก” (ilaw, 25 มีนาคม 2568) <https://www.ilaw.or.th/articles/51783> สืบค้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2568.
25 สภาผู้แทนราษฎร, รายงานการประชุม ครั้งที่3 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง). (10 กรกฎาคม 2567) 234-235.
26 เพิ่งอ้าง 237.
27 เพิ่งอ้าง 242-243.
28 เพิ่งอ้าง 263.
29 เพิ่งอ้าง 246-247.
30 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
[(2) ทำโทษบุตร], บันทึกการประชุม ครั้งที่ 4 (21 สิงหาคม 2567) 10.
31, 33 เพิ่งอ้าง 7.
32 เพิ่งอ้าง 6.
34 ไทยโพสต์, “สภาฯเถียงกันวุ่น ‘กฎหมายห้ามตีเด็ก’ ก่อน กมธ.ยอมถอนร่างกลับไปทบทวนใหม่” (ไทยโพสต์ 25 กันยายน 2567) <https://www.thaipost.net/x-cite-news/662881> สืบค้นวันที่ 14 เมษายน 2568
35 มติชน, “สภาฯฉลุยผ่าน กม.ห้ามตีเด็ก หลังกมธ.ถอย ตัดทิ้งคำว่า “ไม่เป็นการเฆี่ยนตี” พ้นร่างกฎหมาย” (มติชน 30 ตุลาคม 2567). <https://www.matichon.co.th/politics/news_4873464>. สืบค้นวันที่ 16 เมษายน 2568

อินโฟกราฟฟิก

บทความที่เกี่ยวข้อง

จะช่วยอย่างไรเมื่อมองไม่เห็นปัญหา : ถอดบทเรียนความเปราะบางที่ถูกซ่อนเร้นของเด็กและเยาวชน

จะช่วยอย่างไรเมื่อมองไม่เห็นปัญหา: ถอดบทเรียนความเปราะบางที่ถูกซ่อนเร้นของเด็กและเยาวชน

101 ชวนถอดบทเรียนจากเด็กและเยาวชนที่ ‘ไม่ถูกมองเห็น’ จากสายตาของครูผู้สอน, อดีตสามเณร, ผู้มีประสบการณ์ในการช่วยเหลือกลุ่มเด็กไร้รัฐและไร้สัญชาติ และอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์

18 June 2024

คิดใหม่การเมืองเรื่อง ‘รุ่น’ กรณีศึกษาความขัดแย้งในครอบครัวไทย

101 PUB ชวนสำรวจปมปัญหาความขัดแย้งระหว่าง ‘รุ่น’ ในสังคมไทย พร้อมชวนตั้งคำถามว่า สังคมไทยจะก้าวพ้น ‘ความขัดแย้งระหว่างคนต่างรุ่น’ ได้อย่างไรบ้าง?

101 Public Policy Think Tank
ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง

ศูนย์วิจัยนโยบายสาธารณะไทยในบริบทโลกใหม่ สร้างสรรค์ความรู้ด้านนโยบายสาธารณะที่มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มพลังให้ประชาชนสามารถตัดสินใจอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในเรื่องสำคัญที่มีความหมายต่อชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และสังคม

Copyright © 2025 101pub.org | All rights reserved.