หลายคนคงเคยเห็นภาพกงล้อ 17 สี ผ่านตาเป็นเข็มกลัดปกเสื้อ โปสเตอร์บนรถไฟฟ้า และสื่อประชาสัมพันธ์หลายรูปแบบ กงล้อนี้คือสัญลักษณ์ของ ‘เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Goals)’ หรือที่เรียกกันติดปากว่า ‘SDGs’ เป็นพิมพ์เขียวกำหนดทิศทางการพัฒนาของโลกให้ ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ และ ‘ยั่งยืน’ ซึ่งทุกประเทศเห็นชอบร่วมกันเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2015 – วันนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว – และวางกรอบเวลาบรรลุเป้าหมายภายในปี 2030
10 ปีผ่านไป การพัฒนาประเทศไทยยังห่างไกลจากคำว่า ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ และ ‘ยั่งยืน’ สังคมเหลื่อมล้ำรุนแรงยิ่งขึ้นทั้งในมิติรายได้ ความมั่งคั่ง ทรัพยากร การเข้าถึงโอกาสและบริการสาธารณะ สิทธิ และอำนาจ ขณะที่วิกฤตสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมก็ไม่มีทีท่าจะถูกจัดการอย่างเหมาะสมทันท่วงที ฉะนั้น น่าจะถึงเวลาที่สังคมไทยต้องมาร่วมกันตั้งคำถามกับวิธีขับเคลื่อนการพัฒนาแบบเดิม แล้ววางหลัก-ปรับกระบวนวิธีขับเคลื่อนการพัฒนาเสียใหม่ ให้สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดในปัจจุบัน และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้สำเร็จ
SDGs 17 เป้าหมาย มุ่งสร้างโลกที่ ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ และ ‘ยั่งยืน’

SDGs เป็นชุดเป้าหมายการพัฒนาของโลก ซึ่งรัฐสมาชิกสหประชาชาติทั้ง 193 รัฐเห็นชอบร่วมกันเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2015 สำหรับดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายระหว่างปี 2016-2030 ประกอบด้วยเป้าหมายใหญ่ 17 เป้าหมาย ครอบคลุมมิติสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สันติภาพและสถาบันทางการเมือง และหุ้นส่วนการพัฒนา ดังต่อไปนี้
- SDG1: ยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกที่
- SDG2: ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหารและยกระดับโภชนาการ และส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน
- SDG3: สร้างหลักประกันการมีสุขภาวะที่ดี และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกวัย
- SDG4: สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- SDG5: บรรลุความเสมอภาคระหว่างเพศ และเพิ่มบทบาทของสตรีและเด็กหญิงทุกคน
- SDG6: สร้างหลักประกันเรื่องน้ำและการสุขาภิบาล ให้มีการจัดการอย่างยั่งยืนและมีสภาพพร้อมใช้ สำหรับทุกคน
- SDG7: สร้างหลักประกันว่าทุกคนเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ในราคาที่สามารถซื้อหาได้ เชื่อถือได้ และยั่งยืน
- SDG8: ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน การจ้างงานเต็มที่และ มีผลิตภาพ และการมีงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน
- SDG9: สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม ที่ครอบคลุมและยั่งยืน และส่งเสริมนวัตกรรม
- SDG10: ลดความไม่เสมอภาคภายในและระหว่างประเทศ
- SDG11: ทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ มีความครอบคลุม ปลอดภัย ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง และยั่งยืน
- SDG12: สร้างหลักประกันให้มีแบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
- SDG13: ปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น
- SDG14: อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเลและทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
- SDG15: ปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน จัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ต่อสู้การกลายสภาพเป็นทะเลทราย หยุดการเสื่อมโทรมของที่ดินและฟื้นสภาพกลับมาใหม่ และหยุดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
- SDG16: ส่งเสริมสังคมที่สงบสุขและครอบคลุม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้ทุกคนเข้าถึงความยุติธรรม และสร้างสถาบันที่มีประสิทธิผล รับผิดชอบ และครอบคลุมในทุกระดับ
- SDG17: เสริมความเข้มแข็งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูสภาพหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน
เป้าหมายใหญ่แต่ละเป้าหมายยังประกอบด้วยเป้าหมายย่อยและตัวชี้วัดการบรรลุเป้าหมายรวมทั้งสิ้น 232 ตัวชี้วัด[1]คำแปลเป้าหมายใหญ่ในภาษาไทยจาก: ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน, “ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ SDGs,” SDG Move, https://www.sdgmove.com/intro-to-sdgs/ … Continue reading
ไทยขับเคลื่อนสู่ SDGs ล่าช้า-ชะงักงัน-ถดถอย

ประเทศไทยได้รับนำเอา SDGs มาเป็นเข็มทิศการพัฒนาประเทศ และมีความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายในภาพรวม อย่างไรก็ดี รายงานของ Sustainable Development Solutions Network (SDSN) ฉบับล่าสุดในปี 2025 – หรือ 10 ปีหลังเริ่มขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย – พบว่า ไทยเพิ่งบรรลุเป้าหมายใหญ่ได้เพียง 2 เป้าหมายคือ SDG1 (ยุติความยากจน) และ SDG4 (การศึกษาที่มีคุณภาพ)[2]Jeffrey Sachs, Guillaume Lafortune, Grayson Fuller, and Guilherme Iablonovski, Financing Sustainable Development to 2030 and Mid-Century: Sustainable Development Report 2025 (Paris: SDSN & Dublin: Dublin University Press, 2025).
เป้าหมายที่เหลือยังคงมีความท้าทายในการบรรลุให้ทันกรอบเวลาในปี 2030 อย่างมีนัยสำคัญ โดยความก้าวหน้าของ SDGs ที่เกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำ สิ่งแวดล้อม สันติภาพ สถาบันทางการเมือง และหุ้นส่วนการพัฒนามีแนวโน้ม ‘ชะงักงัน’ (SDG2, SDG8, SDG10, SDG12, SDG13, SDG14, SDG15, SDG16 และ SDG17) ในระดับตัวชี้วัด ตัวชี้วัดเพียง 41% มีความก้าวหน้าตามแผน ขณะที่ 30% ก้าวหน้าอย่างจำกัด และอีก 29% กำลังถดถอยลงจากสถานการณ์ในปี 2015[3]Jeffrey Sachs, Guillaume Lafortune, Grayson Fuller, and Guilherme Iablonovski, Financing Sustainable Development to 2030 and Mid-Century: Sustainable Development Report 2025 (Paris: SDSN & Dublin: Dublin University Press, 2025).
ต้องเข้าใจด้วยว่า ตัวชี้วัด SDGs (ในที่นี้คือของ SDSN) สะท้อนเพียงสถานการณ์ภาพรวมคร่าวๆ จากข้อมูลระดับมหภาค มิได้ชี้ให้เห็นสถานการณ์อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะสถานการณ์ของกลุ่มประชากรชายขอบและเปราะบาง ซึ่งมักได้รับประโยชน์จากการพัฒนาประเทศน้อยกว่าคนกลุ่มอื่นอย่างไม่เป็นธรรม จนต้องเผชิญปัญหาคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ และสิทธิศักดิ์ศรีรุนแรงเป็นพิเศษ
เป้าหมายที่ไทย ‘บรรลุแล้ว’ อย่าง SDG4 เป็นตัวอย่างที่ดี มีใครคิดบ้างว่า การศึกษาไทยมีคุณภาพในระดับที่ควรเรียกว่าประสบความสำเร็จในการพัฒนาแล้ว? แต่ไทยกลับถูกประเมินว่าบรรลุเป้าหมายดังกล่าว เพราะประเมินด้วยอัตราการเข้าเรียน-สำเร็จการศึกษาระดับ ม.ต้นลงไป กับอัตราการอ่านออกเขียนได้ของเยาวชนโดยรวมทั้งประเทศ[4]Jeffrey Sachs, Guillaume Lafortune, Grayson Fuller, and Guilherme Iablonovski, Financing Sustainable Development to 2030 and Mid-Century: Sustainable Development Report 2025 (Paris: SDSN & Dublin: Dublin University Press, 2025).
หากพิจารณาเฉพาะกลุ่มยากจน สัดส่วนเด็กหลุดจากระบบการศึกษายังนับว่าสูงมาก โดยเฉพาะในระดับ ม.ปลาย/ปวช. ขึ้นไป ซึ่งอยู่นอกการประเมิน ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษายังมีปัญหาคุณภาพ ไม่สามารถพัฒนาผู้เรียนได้อย่างทั่วถึงและเสมอภาคในระดับที่เกินกว่าการอ่านออกเขียนได้ขั้นพื้นฐาน – ในระดับที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน สังคม และเศรษฐกิจได้อย่างเพียงพอ-เหมาะสม
หมายความว่า สถานการณ์การพัฒนาที่ก้าวหน้าล่าช้า ชะงักงัน และถดถอยตามเกณฑ์ SDGs อาจแย่ยิ่งกว่าใน ‘ชีวิตจริง’ ของคนหลายกลุ่ม
การขับเคลื่อนการพัฒนาแบบ SDGs ท้าทายกว่าเดิมในโลกใหม่
การขับเคลื่อนการพัฒนาสู่ SDGs กำลังเผชิญบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่แน่นอน และท้าทายยิ่งกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น หากประเทศไทยยัง ‘ทำแบบเดิม’ ผลลัพธ์การพัฒนาอาจ ‘ล่าช้า-ชะงักงัน-ถอยหลังยิ่งกว่าเดิม’
ตัวแบบการขับเคลื่อน SDGs ถูกออกแบบบนพื้นฐานของการมุ่งสร้าง ‘ความเติบโต’ ทางการผลิตและการบริโภคสินค้าในระบบตลาด ภายใต้เงื่อนไขที่เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง การค้าเสรีขึ้น ห่วงโซ่มูลค่าโลกผูกโยงกันเข้มข้นขึ้น โลกสันติ มีความขัดแย้งต่ำ และรัฐร่วมมือกันดีโดยเปรียบเทียบ และระเบียบโลกสามารถเสริมสร้างความร่วมมือพหุภาคีระหว่างรัฐภายใต้สถานะนำของรัฐมหาอำนาจและชุดคุณค่าทุนนิยม-เสรีนิยม
ตัวแบบนี้แทบไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปฏิรูป ‘โครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองและความสัมพันธ์เชิงอำนาจ’ ที่ไม่สมดุลและหนุนเสริมความเหลื่อมล้ำ นอกจากนี้ แม้จะให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่ได้จัดปัญหาอยู่ในอันดับความสำคัญแรกๆ เหนือไปกว่าความเติบโต และยังไม่ได้คำนึงถึงรูปแบบความสัมพันธ์ที่แลกได้แลกเสียหรือหนุนเสริมกันของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมกับเป้าหมายอื่น
อย่างไรก็ดี ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ปัญหาความเหลื่อมล้ำและโลกรวนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นถึงขั้นวิกฤต กลายเป็นทั้งความจำเป็นและอุปสรรคขัดขวางการขับเคลื่อนสู่ SDGs ด้วยตัวแบบเดิม
ขณะเดียวกัน บริบทแวดล้อมอื่นก็ผันแปรไป เศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากสมัยก่อนหน้า โดยเฉพาะตั้งแต่วิกฤตโควิดเป็นต้นมา การผลิต การค้า ห่วงโซ่มูลค่า และการบริโภคถูกรบกวนและเปลี่ยนแปลง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากความก้าวหน้าและการแข่งขันทางเทคโนโลยี สังคมแบ่งขั้ว ชาตินิยมและอำนาจนิยมเติบโต รัฐเห็นแก่ตัวและขัดแย้งกันมากขึ้น ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า เท่ากับว่าระเบียบโลกมีศักยภาพในการสร้างความร่วมมือและหนุนเสริมการขับเคลื่อนการพัฒนาตัวแบบเดิมได้น้อยลง
ประเทศไทยยังเผชิญความท้าทายเฉพาะจากขีดความสามารถการแข่งขันที่ต่ำลงโดยเปรียบเทียบ ทุนมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ สังคมสูงวัย ภัยพิบัติและมลพิษ และระบอบการเมืองที่ไม่คุ้มครองสิทธิ ไม่ตอบสนอง และไม่รับผิดชอบต่อประชาชน สวนทางกับกระแสตื่นตัวและต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่พุ่งสูงขึ้น จนเป็นเหตุบั่นทอนเสถียรภาพทางการเมือง
จากรายงานความเสี่ยงโลกของ World Economic Forum ฉบับล่าสุดในปี 2025 ผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหาร 88% ยังเห็นว่าโลกจะเผชิญความเสี่ยงระดับผันผวน ปั่นป่วน หรือปั่นป่วนขั้นวิกฤตภายในระยะสองปีข้างหน้า และ 92% เห็นว่าจะเผชิญความเสี่ยงระดับนี้ภายในระยะสิบปีข้างหน้า ความเสี่ยงที่น่ากังวลสูงสุดสำหรับประเทศไทยคือ ความถดถอยและชะงักงันทางเศรษฐกิจ หนี้เอกชน มลพิษทางอากาศ น้ำ และดิน ความยากจนและความเหลื่อมล้ำเชิงรายได้และความมั่งคั่ง และหนี้สาธารณะ[5]Mark Elsner, Grace Atkinson, and Saadia Zahidi, Global Risks Report 2025 (Geneva: World Economic Forum, 2025).
ฉะนั้น ตัวแบบการขับเคลื่อนสู่ SDGs เดิมจึงมีข้อจำกัดภายใต้ความท้าทายแห่งอนาคต ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องปรับกระบวนวิธีขับเคลื่อนการพัฒนาใหม่ให้ตอบโจทย์วิกฤตและความท้าทายข้างต้น เพื่อถึงที่สุดแล้ว จะสามารถก้าวหน้า บรรลุ SDGs และเสริมสร้างการพัฒนาที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและยั่งยืนได้อย่างดีที่สุด
การพัฒนากำลังชนเข้ากับ ‘เพดานกระจก’
การขับเคลื่อนการพัฒนาสู่ SDGs ไม่ก้าวหน้า ส่วนหนึ่งเพราะการขับเคลื่อนดังกล่าวกำลังชนเข้ากับ ‘เพดานกระจก’ (glass ceiling) ซึ่งขวางกั้นมิให้สามารถพัฒนาขึ้นไปสูงกว่าจุดปัจจุบันได้ เพดานกระจกนี้หล่อหลอมขึ้นจาก ‘เนื้อหาและวิธีการขับเคลื่อน’ การพัฒนาของประเทศไทยเอง โดยประกอบด้วยประเด็นปัญหาอย่างน้อย 5 ประเด็น
1. People not matter
People not matter: การขับเคลื่อนการพัฒนาอาจยังมิได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนามนุษย์ทุกคนอย่างเพียงพอ แม้ SDGs จำนวนมากเน้นพัฒนาคน เป้าหมายที่ประเทศไทยบรรลุได้สำเร็จแล้วก็คือเป้าหมายเรื่องคนอย่าง SDG1 และ SDG4 แต่ท่ามกลางความท้าทายในบริบทโลกและไทย การพัฒนามนุษย์จึงยิ่งทวีความสำคัญ และจำเป็นต้องได้รับการลงทุนสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ เช่น ถ้าอยากบรรลุ SDG8 (เศรษฐกิจเติบโต) ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ในฐานะแรงงาน หรือ SDG13-15 (สิ่งแวดล้อม) ก็ต้องเร่งสร้างความตระหนักรู้มากขึ้น
2. Ecology not matter
Ecology not matter: แม้หลักการของ SDGs จะพยายามให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมในการพัฒนา แต่การขับเคลื่อนการพัฒนาดังกล่าวยังอาจไม่ให้น้ำหนักกับความเชื่อมร้อย (interconnectedness) ระหว่างการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจกับระบบโลกและระบบนิเวศอย่างเพียงพอ จึงอาจขับเคลื่อนเป้าหมายมิติสังคม-เศรษฐกิจกับมิติสิ่งแวดล้อมแยกขาดจากกัน (siloed) พร้อมทั้งละเลย ‘การแลกได้แลกเสียในการพัฒนา (development trade-off)’
การแลกได้แลกเสียในการพัฒนานี้หมายความว่า เมื่อสังคมเลือกพัฒนาในแนวทางหนึ่ง อาจได้บางอย่างมา และเสียบางอย่างไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น หากสังคมเลือกส่งเสริมให้บริษัทอาหารขยายพื้นที่เกษตรกรรมและเพิ่มการผลิต เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร การขยายพื้นที่ดังกล่าวอาจรุกล้ำพื้นที่ป่าไม้ ลดความหลากหลายทางชีวภาพ และก่อให้เกิดการเผาทางการเกษตรเพิ่มขึ้นโดยยากที่จะควบคุม – เป็นไปได้ยากมากที่เราจะได้ทุกอย่างที่ต้องการพร้อมกัน โดยไม่เสียอะไรเลย
การมองข้ามความเชื่อมร้อยและการตัดสินใจเลือกแลกได้แลกเสียข้างต้น ตัดสินใจไม่ชัดเจน หรือ ตัดสินใจโดยให้น้ำหนักกับระบบนิเวศน้อยเกินไป จะส่งผลให้การขับเคลื่อนการพัฒนาแต่ละมิติขัดแย้งกันเอง ไม่ประสบความสำเร็จเต็มที่ และไม่สามารถรับมือความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมระดับวิกฤตได้
3. Justice not matter
Justice not matter: การขับเคลื่อนการพัฒนาอาจไม่ให้ความสำคัญกับความยุติธรรมเพียงพอ แม้ SDGs จะมีเป้าหมายใหญ่ที่สุดในการส่งเสริมการพัฒนาที่ ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ แต่ความเหลื่อมล้ำในมิติรายได้ ความมั่งคั่ง ทรัพยากร การเข้าถึงโอกาสและบริการสาธารณะ สิทธิ และอำนาจที่มีแนวโน้มถ่างกว้างเรื้อรังมายาวนาน ก็สะท้อนว่าการขับเคลื่อนการพัฒนายังคงทิ้งคนจำนวนมากไว้ข้างหลัง มิได้จัดสรร ‘ผลประโยชน์’ และ ‘ต้นทุน’ การพัฒนาให้กระจายไปยังคนทุกกลุ่มอย่างยุติธรรม
ประชากรรายได้น้อยถึงปานกลาง ประชากรชนบท รวมถึงประชากรกลุ่มชายขอบและเปราะบางอื่น เช่น ผู้หญิงและ LGBTQ+ คนพิการ คนชาติพันธุ์ และคนต่างด้าว มีแนวโน้มได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาน้อยกว่า แต่ต้องแบกรับต้นทุนมากกว่าระดับที่เป็นธรรม
จากตัวอย่างที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว บริษัทอาหารอาจมีกำไรสูงขึ้น แต่แรงงานเกษตรยังคงยากจนเรื้อรั้ง ประชาชนกลุ่มอื่นก็มีแนวโน้มต้องบริโภคอาหารด้วยค่าใช้จ่ายสูงขึ้น อีกทั้งต้องแบกรับผลกระทบจากการทำลายป่าและการเผาทางการเกษตร ตัวอย่างนี้ยังสะท้อนถึงความอยุติธรรมในการจัดสรรผลประโยชน์และต้นทุนการพัฒนาไปยังเด็ก เยาวชน และคนรุ่นถัดไป (intergenerational injustice) ที่ต้องแบกรับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยาวนานกว่าด้วย
4. Participation not matter
Participation not matter: การขับเคลื่อนการพัฒนาอาจไม่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมและการสร้างหุ้นส่วนระหว่างทุกภาคส่วนอย่างเพียงพอ ประเด็นนี้ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายใหญ่ของ SDGs และเป็นหนึ่งในแนวทางขับเคลื่อนหลักตามแผนการขับเคลื่อนของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา ถึงกระนั้น นโยบายการพัฒนาของไทยยังมักเป็นนโยบายสำเร็จรูป (readymade) ซึ่งถูกออกแบบภายใต้ระบบที่ประชาชนมีช่องทางการมีส่วนร่วมได้น้อยตลอดกระบวนการ
พูดอีกอย่างก็คือ การพัฒนา ‘ถูกทำให้ไม่เป็นการเมือง (depoliticize)’ ทั้งที่กระทบต่อคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ และความฝันของทุกคน และทั้งที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ แนวคิด และทางเลือกแลกได้แลกเสียที่หลากหลาย ซึ่งจำเป็นต้องถกเถียง ประสานประโยชน์ และประนีประนอมกันแบบการเมือง
ในแง่นี้ การขับเคลื่อนการพัฒนาย่อมมีแนวโน้มไม่สามารถตอบสนองปัญหาและความต้องการที่แตกต่างกันระหว่างประชากรแต่ละกลุ่ม กลุ่มประชากรชนบท ชายขอบ และเปราะบางมักถูกรับฟังน้อยกว่ากลุ่มอื่น เป็นเหตุให้ผลประโยชน์ของพวกเขามักไม่ถูกนับรวมในการขับเคลื่อนการพัฒนา ความไม่ยุติธรรมในการมีส่วนร่วมนี้เองนำไปสู่ความไม่ยุติธรรมในการพัฒนาที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว
การขับเคลื่อนยังขาดการร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งกลุ่มผลประโยชน์ องค์กรประชาสังคม ฝ่ายการเมือง หน่วยงานรัฐ บรรษัทเอกชนทุกระดับ นักวิชาการ และสื่อมวลชนอย่างทั่วถึง สมดุล ต่อเนื่อง มีประสิทธิผล และมีประสิทธิภาพ ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับข้ามชาติ ส่งผลให้การขับเคลื่อนประสบผลสัมฤทธิ์ไม่เต็มที่
ความร่วมมือข้ามชาตินับว่าสำคัญยิ่ง เพราะประเด็นการพัฒนามีลักษณะข้ามชาติ ข้ามพรมแดน และข้ามวัฒนธรรมมากขึ้น ไม่เว้นกระทั่งตัวอย่างข้างต้น คือการขยายการผลิตของทุนอาหารอาจสร้างมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดน อย่างไรก็ดี ประเทศไทยกลับยังมีบทบาทด้านความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ และบูรณาการความร่วมมือนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาในประเทศจำกัดมาก
ทั้งนี้ ปัญหาการขาดการมีส่วนร่วม การสร้างหุ้นส่วน และความร่วมมือระหว่างประเทศอาจอยู่ในระดับที่น่าวิตกกังวลมาก เมื่อพิจารณาว่าช่วงเวลาส่วนใหญ่ในระยะ 10 ปีมานี้ ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งไม่เปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมของประชาชน ขยายบทบาทนำของรัฐราชการ และขาดความเคารพเชื่อถือในเวทีโลก
5. Governance not matter
Governance not matter: การขับเคลื่อนการพัฒนาอาจไม่ให้ความสำคัญกับโครงสร้างการบริหารจัดการที่ดีอย่างเพียงพอ แม้ภาครัฐไทยจะพยายามเชื่อมโยง SDGs เข้ากับยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาประเทศ แต่การบรรลุตัวชี้วัดตามแผนมีผลผูกพันหน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบอย่างจำกัด ขณะที่ภาคเอกชนก็แทบไม่ถูกผูกพันให้ต้องสนับสนุนเป้าหมายเลย
ในแง่การระดมทรัพยากร ก็แทบไม่ปรากฏชัดว่ารัฐบาลปรับการจัดเก็บภาษีหรือส่งเสริมการถ่ายโอนทรัพยากรรูปแบบอื่นเพื่อนำไปขับเคลื่อนการพัฒนาได้เพิ่มขึ้น ในแง่การจัดสรรทรัพยากร แม้ระบบแผนภาครัฐข้างต้นจะเป็นกรอบในการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล แต่ก็ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า งบประมาณลงทุนเพิ่มเติมเพื่อบรรลุ SDGs มีมากน้อยเพียงใด การใช้จ่ายเม็ดเงินเหล่านี้ยังมีแนวโน้มไม่บูรณาการการขับเคลื่อนระหว่างหน่วยงาน ส่วนเอกชนก็อาจใช้จ่ายในลักษณะเน้นสร้างภาพลักษณ์ แต่ไม่ก่อประโยชน์ต่อการพัฒนา (social washing and greenwashing)
ยิ่งไปกว่านั้น ยังยากที่จะประเมินผลสัมฤทธิ์จากการขับเคลื่อน ส่วนหนึ่งเพราะข้อมูลสำหรับประเมินผลในปัจจุบันมีจำกัด คุณภาพต่ำ และไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ความท้าทายในการประเมินด้วยข้อมูล ประกอบกับการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ส่งผลให้กระบวนการขับเคลื่อนมีความรับผิดรับชอบ (accountability) ต่อประชาชนและสังคมน้อยกว่าที่ควร จึงไม่น่าแปลกใจที่การขับเคลื่อนยังไม่ก้าวหน้าและไม่ตอบโจทย์อย่างน่าพอใจ
ไทยต้อง ‘ทลายเพดานกระจก’ เพื่อพัฒนาไปข้างหน้าในโลกท้าทาย
การขับเคลื่อนสู่ SDGs และการพัฒนาประเทศไทยในภาพกว้างกว่านั้นให้ก้าวหน้า ตอบโจทย์ และรับมือความท้าทายได้ดียิ่งขึ้น จำเป็นต้อง ‘ทลายเพดานกระจก’ ที่ขวางกั้นอยู่ โดยให้ความสำคัญและปฏิรูปโครงสร้างเพื่อเสริมสร้างคน ระบบนิเวศ ความยุติธรรม การมีส่วนร่วม และโครงสร้างการบริหารจัดการในกระบวนการพัฒนามากขึ้น
การปฏิรูปเช่นนี้จำเป็นต้องมี ‘จินตนาการต่อการพัฒนาใหม่’ (imagination matters) ซึ่งพึงสะท้อนปัญหา ความต้องการ และความฝันต่อการพัฒนาของคนทุกกลุ่มอย่างถ้วนทั่ว พร้อมทั้งตอบโจทย์ความท้าทายของโลกที่มีแนวโน้มพลิกผันกว่าเดิมในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้
1. People matter: จินตนาการต่อการพัฒนาใหม่ควรให้ความสำคัญและสนับสนุนการพัฒนามนุษย์ทุกคนมากขึ้น เพื่อบรรลุ SDGs ด้านการพัฒนาคน เตรียมพร้อมทุกคนให้รับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน และท้าทาย รวมถึงเสริมพลังให้พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมจินตนาการและมีบทบาทนำในการเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาสู่ SDGs ได้ดียิ่งขึ้น
2. Ecology matters: จินตนาการต่อการพัฒนาใหม่ควรขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการมากขึ้น กล้าเผชิญหน้ากับการเลือกได้เลือกเสีย และตัดสินใจเลือกอย่างชัดเจน สมดุล และให้น้ำหนักกับการรักษาและฟื้นฟูระบบโลกและนิเวศอย่างเพียงพอ
การเลือกนี้ถือเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่สุดของจินตนาการใหม่ และต้องเป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่ทุกคนมีส่วนร่วม แนวทางขับเคลื่อนที่บูรณาการ ชัดเจน และสมดุลจะลดความลักลั่นในการพัฒนา ลดอุปสรรคจากวิกฤตโลกรวนต่อการพัฒนา เอื้อต่อการรับมือความท้าทายของวิกฤตนั้น และถึงที่สุดก็จะบรรลุ SDGs ได้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3. Justice matters: จินตนาการต่อการพัฒนาใหม่ควรให้ความสำคัญกับการจัดสรรผลประโยชน์และต้นทุนของการพัฒนากระจายไปยังคนทุกกลุ่มอย่างยุติธรรมมากขึ้น ควรปรับโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองและความสัมพันธ์เชิงอำนาจให้สมดุลและหนุนเสริมความเป็นธรรม รวมถึงพัฒนากลไกถ่ายโอนและกระจายทรัพยากรใหม่ มาตรการสนับสนุนประชากรชายขอบและเปราะบาง ตลอดจนกฎเกณฑ์และกลไกประกันการจัดสรรที่ยุติธรรมสำหรับคนรุ่นถัดไปและระบบนิเวศ
4. Participation matters: จินตนาการต่อการพัฒนาใหม่ควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม ซึ่งเปิดกว้างสำหรับประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและยุติธรรม มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการขับเคลื่อนได้จริง และต่อเนื่องตลอดกระบวนการ อาจเรียกว่า คืนความเป็นการเมืองให้แก่การพัฒนา (re-politicize)
ขณะเดียวกัน ก็ควรให้ความสำคัญกับการสร้างหุ้นส่วนการขับเคลื่อนระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับข้ามชาติ แนวทางเช่นนี้ไม่เพียงทำให้บรรลุเป้าหมายของคนแต่ละกลุ่มได้ตรงจุดยิ่งขึ้น ยังช่วยระดมความรู้สึกเป็นเจ้าของ ความสนับสนุน ความร่วมมือ และทรัพยากรในการขับเคลื่อนได้เพิ่มขึ้น
5. Governance matters: จินตนาการต่อการพัฒนาใหม่ควรให้ความสำคัญกับโครงสร้างการบริหารจัดการที่ดียิ่งขึ้น ตั้งแต่การวางแผนให้เกิดการดำเนินการได้จริง การยกระดับกลไกทรัพยากรที่ระดมทรัพยากรมาลงทุนขับเคลื่อนให้เพียงพอ และจัดสรรทรัพยากรไปขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการเสริมสร้างกลไกติดตาม ประเมินผล และรับผิดชอบต่อประชาชนและสังคม โครงสร้างการบริหารจัดการที่ดีขึ้นจะทลายเพดานเชิงกระบวนการและทรัพยากร หล่อลื่นให้การขับเคลื่อนการพัฒนาสู่ SDGs มีโอกาสประสบผลสัมฤทธิ์ได้เต็มที่ยิ่งขึ้น
ร่วมเหลียวหลัง แลหน้า การขับเคลื่อน SDGs ในไทย คิดใหม่-ทำใหม่เพื่อพัฒนาประเทศให้ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและยั่งยืน
แม้การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยสู่ SDGs ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาจะก้าวหน้าในระดับหนึ่ง แต่ความก้าวหน้านั้นยังล่าช้า ชะงักงัน หรือกระทั่งถดถอยลงในหลายมิติ ยังไม่สามารถสร้างสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและยั่งยืนดังหวังได้สำเร็จเพียงพอ ในสายตาของคนจำนวนมาก SDGs จึงกลายเป็นแค่เครื่องหมายกงล้อที่มีประดับอยู่ดาดดื่น เสื่อมคุณค่าและความหมายต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในความเป็นจริง
การขับเคลื่อนการพัฒนาไม่ก้าวหน้า เพราะกำลังชนเข้ากับเพดานกระจก ซึ่งเกิดจากการขับเคลื่อนที่มิได้ให้ความสำคัญกับคน ระบบนิเวศ ความยุติธรรม การมีส่วนร่วม และโครงสร้างการบริหารจัดการอย่างเพียงพอ โอกาส SDGs ครบรอบ 10 ปีนี้ควรเป็นโอกาสที่สังคมไทยจะมาร่วมกันจินตนาการถึงแนวทางการพัฒนาใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญและปฏิรูปโครงสร้างเพื่อทลายข้อจำกัดในประเด็นดังกล่าว เพื่อเปิดเส้นทางให้ประเทศไทยพัฒนาเข้าใกล้สังคมที่ ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ และ ‘ยั่งยืน’ ได้ดีกว่าเดิม
101 PUB โดยความร่วมมือกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อยากชวนสังคมไทยร่วมทบทวนความก้าวหน้าการพัฒนาสู่ SDGs ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา สำรวจเพดานกระจกที่ขวางกั้นการพัฒนา พร้อมทั้งขบคิด สร้างจินตนาการ และตั้งทิศทางการพัฒนาใหม่ ทั้งในระยะบรรลุ SDGs 5 ปีสุดท้ายก่อนถึงปี 2030 และระยะไกลออกไปกว่านั้น ผ่านชุดงานวิจัยที่จะเผยแพร่ตลอดหนึ่งปีเศษนับจากนี้
↑1 | คำแปลเป้าหมายใหญ่ในภาษาไทยจาก: ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน, “ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ SDGs,” SDG Move, https://www.sdgmove.com/intro-to-sdgs/ (เข้าถึงเมื่อ 25 กันยายน 2025). |
---|---|
↑2, ↑3, ↑4 | Jeffrey Sachs, Guillaume Lafortune, Grayson Fuller, and Guilherme Iablonovski, Financing Sustainable Development to 2030 and Mid-Century: Sustainable Development Report 2025 (Paris: SDSN & Dublin: Dublin University Press, 2025). |
↑5 | Mark Elsner, Grace Atkinson, and Saadia Zahidi, Global Risks Report 2025 (Geneva: World Economic Forum, 2025). |