ประเด็นสำคัญ
- ยิ่งครัวเรือนมีรายได้สูง ปริมาณการใช้ไฟฟ้าต่อเดือนยิ่งมาก ส่งผลให้ครัวเรือนรวยที่สุด 20% บนได้เงินอุดหนุนมากถึง 37.5% ตรงข้ามกับครัวเรือนจนที่สุด 20% ล่างที่ได้เงินอุดหนุนเพียง 7.8% เท่านั้น
- กิจการขนาดเล็ก 93.9% เป็นกิจการขนาดเล็ก แต่ได้เงินอุดหนุนเพียง 16.1% ของเงินอุดหนุนแก่กิจการทั้งหมดเท่านั้น เนื่องจากมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าต่อเดือนที่น้อยกว่ากิจการขนาดใหญ่อย่างมาก
- 101 PUB เสนอให้เน้นลดค่าไฟฟ้า 150 หน่วยแรกให้มากกว่าหน่วยหลังแทน เพื่อให้เงินอุดหนุนถึงมือกลุ่มที่ลำบากมากขึ้น
หนึ่งในนโยบายที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เศรษฐา ทวีสิน ประกาศหารือกับการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกคือเรื่อง ‘ลดค่าน้ำมัน-ค่าไฟฟ้า’ โดยทางด้านค่าไฟนั้นจะมีการเจรจายืดเวลาการชำระหนี้กับการไฟฟ้าส่วนผลิต (กฟผ.) ออกไปจากเดิมที่ต้องชำระหนี้กับ กฟผ. หน่วยละ 35 สตางค์ ให้เหลือ 3 สตางค์ ทำให้ราคาค่าไฟที่ กฟผ. จะขายต่อหน่วยลดลงจาก 4.45 บาท/หน่วย เหลือ 4.10 บาท/หน่วย (ราคาต้นทุน 4.07 บาท/หน่วย) หากเจรจาไม่ได้ รัฐจะอุดหนุนค่าไฟอย่างน้อย 15,000 ล้านบาท เพื่อให้ค่าไฟลดลงเหลือ 4.20 บาท/หน่วย[1]“นโยบายลดค่าไฟ ครม.เศรษฐา 1 คาดใช้เงิน 1.5 หมื่นล.”, PostToday, กันยายน 6, 2023, https://www.posttoday.com/business/699162
101 PUB – Public Policy Think Tank ชวนประเมินแนวทางลดค่าไฟของรัฐบาลเศรษฐา ว่าหากสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ตามแนวนโยบายที่วางไว้ ครัวเรือนหรือกิจการกลุ่มใดจะได้ประโยชน์จากนโยบายสูงที่สุด และชวนคิดต่อว่ามีแนวแนวทางการปรับนโยบายลดค่าไฟอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ใครใช้ไฟฟ้าเท่าไหร่บ้าง ?
ปัจจุบันผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการบริโภคไฟฟ้ามากที่สุด คิดเป็น 67.8% ของการใช้ไฟฟ้าของประเทศไทย รองลงมาคือผู้ใช้ประเภทครัวเรือนที่มีสัดส่วนของการใช้งาน 27.2% สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานยังจำแนกปริมาณการใช้ไฟฟ้าย่อยลงไป ทำให้เห็นว่านโยบายที่ให้ใช้ไฟฟ้าฟรีสำหรับครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วย/เดือนติดต่อกัน 3 เดือนมีสัดส่วนอีก 2.1% และในส่วนที่เหลือคือกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าย่อยๆ ที่มีสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าลดหลั่นกันตามลำดับ กล่าวคือ ไฟฟ้าที่งดจ่ายได้ตามช่วงเวลา 0.94%, ผู้ใช้ไฟฟ้าชั่วคราว 0.66%, ลูกค้าตรง ลูกค้าโดยตรง 0.63%, ไฟฟ้าสำรองสำหรับผู้ที่สามารถผลิตไฟฟ้าเองได้ 0.34%, สูบน้ำเพื่อการเกษตร 0.17%, และองค์กรไม่แสวงหากำไร 0.11% (ภาพที่ 1)
ในส่วนถัดไป 101 PUB ทำการวิเคราะห์การกระจายผลประโยชน์ของนโยบายลดค่าไฟฟ้า เฉพาะผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทภาคครัวเรือนและกิจการเท่านั้น เนื่องจากครอบคลุมการใช้ไฟฟ้ามากถึง 95.1% และข้อมูลเพียงพอที่จะวิเคราะห์การกระจายผลประโยชน์ของนโยบายตามกลุ่มย่อยของแต่ละประเภทได้
ครัวเรือนรวยใช้ไฟฟ้ามากที่สุด:
ครัวเรือน 20% บนได้เงินอุดหนุน 37.5%
หากรัฐลดราคาไฟฟ้าทุกหน่วยเท่ากันที่ 35 สตางค์ ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าจำนวนมากจะได้ประโยชน์มากกว่าครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าน้อย และปริมาณการใช้ไฟฟ้าของครัวเรือนยังสอดคล้องกับฐานะทางเศรษฐกิจของแต่ละครัวเรือนด้วย
101 PUB เปรียบเทียบปริมาณการใช้ไฟฟ้าแต่ละครัวเรือน[2]แบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมครัวเรือนได้เก็บข้อมูลเป็น ‘ค่าไฟฟ้าที่จ่ายในเดือนที่เก็บข้อมูล’ ของแต่ละครัวเรือน … Continue reading โดยแบ่งครัวเรือนออกเป็น 5 กลุ่มเรียงลำดับจากจนที่สุด 20% หรือควินไทล์ 1 ไปรวยที่สุด 20% หรือควินไทล์ 5 ตามระดับรายได้ต่อหัวของสมาชิกครัวเรือน พบว่าครัวเรือนรวยที่สุด 20% มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อครัวเรือน 309.7 หน่วยซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มรายได้อื่นๆ คิดเป็นเกือบ 3 เท่าของปริมาณการใช้งานของครัวเรือนในกลุ่มควินไทล์ 1 (ภาพที่ 2)
ดังนั้น หากลดค่าไฟฟ้าทุกหน่วยเท่ากันที่ 35 สตางค์ งบประมาณที่ใช้อุดหนุน 37.5% จะตกถึงมือกลุ่มครัวเรือนรวยที่สุด 20% ตรงข้ามกับกลุ่มครัวเรือนจนที่สุด 20% ที่เงินอุดหนุนจะตกถึงมือเพียง 7.8% เท่านั้น (ภาพที่ 3) สะท้อนว่านโยบายดังกล่าวมีลักษณะถดถอย (regressive)
กิจการ 93.9% เป็นกิจการขนาดเล็ก
แต่ได้เงินอุดหนุนเพียง 16.1% ของทั้งหมด
สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการ เมื่อพิจารณาสัดส่วนของกิจการแต่ละขนาดตามปริมาณการใช้ไฟฟ้า ดังที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจำแนก จะพบว่า 93.9% เป็นกิจการขนาดเล็ก ขณะที่กิจการขนาดกลาง ขนาดใหญ่ และห้องพักอาศัย มีสัดส่วน 4.9%, 0.46%, และ 0.73% ตามลำดับ (ตารางที่ 1) อย่างไรก็ดี เมื่อคำนวณปริมาณการใช้ไฟฟ้าแล้ว กิจการขนาดใหญ่ใช้ไฟฟ้ารายกิจการเฉลี่ยสูงกว่ากิจการอื่นๆ หลายเท่า[3]101 PUB นำปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งปี 2022 ของกิจการแต่ละประเภทมาหารกับจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าแต่ละประเภท (ภาพที่ 4)
ประเภทกิจการ | นิยามตามปริมาณการใช้ไฟฟ้า | สัดส่วนกิจการ แต่ละประเภท |
เล็ก | ต้องการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยใน 15 นาที สูงสุดไม่เกิน 30 หน่วย | 93.9% |
กลาง | ต้องการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยใน 15 นาที สูงสุด 31 – 999 หน่วย | 4.9% |
ใหญ่ | ต้องการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยใน 15 นาที สูงสุด 1,000 หน่วยขึ้นไป | 0.46% |
ห้องพักอาศัย | ต้องการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยใน 15 นาที สูงสุดเกิน 30 หน่วย และต่อเครื่องวัดไฟฟ้า 1 เครื่อง | 0.73% |
ที่มา: สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน คำนวณโดย 101 PUB
เช่นเดียวกับกรณีผู้ใช้ประเภทครัวเรือน เมื่อกิจการขนาดใหญ่มีปริมาณที่ใช้ไฟฟ้าสูงกว่ากลุ่มอื่น การลดค่าไฟฟ้าทุกหน่วยเท่ากันจะทำให้งบประมาณ 56.8% จะตกถึงมือผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นกิจการขนาดใหญ่ ขณะที่ตกถึงมือกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก 23.1% และ 16.1% ตามลำดับ นอกจากนี้ กิจการหอพักอาศัยก็ได้เงินอุดหนุนเพียง 4.0% ของเงินอุดหนุนทั้งหมดที่ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการเท่านั้น (ภาพที่ 5)
ทั้งนี้ อาจมีผู้ให้เหตุผลว่าการอุดหนุนค่าไฟฟ้าให้กับกิจการ มีศักยภาพช่วยพยุงอัตราเงินเฟ้อของไทยไม่ให้สูงขึ้นได้ แม้รายใหญ่จะได้ประโยชน์มากกว่า เนื่องจากมีส่วนสำคัญต่อการผลิตสินค้าจำนวนมากของประเทศ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยใหม่พบว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาพลังงานแท้ที่จริงแล้วส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อน้อยและช้ามากในสหรัฐอเมริกา การหวังผลลดอัตราเงินเฟ้อทางอ้อมผ่านค่าไฟฟ้าจึงอาจได้ผลน้อยกว่าที่คาดได้[4]อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://cepr.org/voxeu/columns/inflationary-impact-energy-prices
เน้นลดค่าไฟฟ้า 150 หน่วยแรก
ให้เงินอุดหนุนถึงมือกลุ่มลำบากมากขึ้น
การลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าสามารถทำได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น ถ้าเงินช่วยเหลือตกถึงมือกลุ่มลำบากมากกว่ากลุ่มที่มีกำลังเพียงพอจะปรับตัวได้ ซึ่งรูปแบบการลดแบบหน้ากระดานตามที่รัฐบาลเสนอมีลักษณะถดถอย กล่าวคือกลุ่มครัวเรือนร่ำรายและกิจการขนาดใหญ่ได้ประโยชน์มากกว่า แต่หากต้องการให้นโยบายลดค่าไฟฟ้าเข้าถึงกลุ่มที่มีความลำบาก ภาครัฐต้องปรับเกณฑ์ลดราคาค่าไฟฟ้าโดยอาจกำหนดส่วนลดแบบอื่น เช่น การลดค่าไฟฟ้าในหน่วยต้นให้มากกว่าหน่วยท้าย ซึ่งทุกคนยังได้ประโยชน์ แต่จะได้ประโยชน์น้อยลงสำหรับกลุ่มที่มีการใช้งานมาก
ในปัจจุบัน กฟน. และ กฟภ. ได้มีการเก็บข้อมูลปริมาณการใช้ไฟฟ้าในกลุ่มครัวเรือนผู้ที่ใช้ไม่เกิน 150 หน่วย/เดือน และผู้ที่ใช้เกิน 150 หน่วย/เดือนอยู่แล้ว ซึ่ง 101 PUB นำข้อมูลดังกล่าวมาคำนวณดูว่าถ้าหากจะลดค่าไฟฟ้าโดยใช้งบประมาณใกล้เคียงกับที่เสนอ จะสามารถทำให้ได้ผลลัพธ์ของความช่วยเหลือที่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นได้เพียงใด
รูปแบบ | ลดราคาไฟฟ้า 150 หน่วยแรก (บาท/หน่วย) | ลดราคาไฟฟ้าหน่วยที่ 151 ขึ้นไป (บาท/หน่วย) | งบประมาณ (ล้านบาท/เดือน) | สัดส่วนเงินอุดหนุนที่ลงสู่ครัวเรือนจนที่สุด 20% | สัดส่วนเงินอุดหนุนที่ลงสู่ครัวเรือนรวยที่สุด 20% |
เดิม | 0.35 | 0.35 | 451.7 | 7.8% | 37.5% |
1. | 0.95 | 0.25 | 445.0 | 9.3% | 34.9% |
2. | 1.60 | 0.15 | 447.0 | 10.9% | 32.1% |
3. | 2.55 | 0.00 | 445.6 | 13.2% | 28.0% |
ได้รับตามรูปแบบการลดค่าไฟฟ้าต่างๆ
หมายเหตุ: เป็นการคำนวณตามการใช้ไฟฟ้าในปัจจุบัน โดยยังไม่ได้คำนึงปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นภายหลังการลดราคา ซึ่งน่าจะทำให้มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากที่สุดในกรณีการลดแบบหน้ากระดาน
ที่มา: แบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (2021), การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน คำนวณโดย 101 PUB
จากตารางที่ 2 สังเกตว่าหากรัฐเปลี่ยนวิธีลดค่าไฟฟ้าจากลดทุกหน่วยเท่ากันที่ 35 สตางค์ เป็นวิธีที่เน้นการลดค่าไฟฟ้า 150 หน่วยแรกจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เท่าเทียมยิ่งขึ้น อาทิ รูปแบบที่ 1. ลดค่าไฟฟ้า 150 หน่วยแรก 95 สตางค์และลดค่าไฟฟ้าหน่วยที่ 151 ขึ้นไป 25 สตางค์ จะช่วยให้ครัวเรือนจนที่สุด 20% ได้ส่วนแบ่งของเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นจาก 7.8% เป็น 9.3% ขณะที่ครัวเรือนรวยที่สุด 20% ได้ลดลงจาก 37.5% เหลือ 34.9% นอกจากนั้นถ้ายิ่งลดราคาไฟฟ้า 150 หน่วยแรกมากเท่าไหร่ (และลดราคาไฟฟ้าหน่วยที่ 151 ขึ้นไปให้น้อยลง) จะยิ่งช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ถดถอยน้อย โดยเฉพาะการลดค่าใช้เฉพาะใน 150 หน่วยแรก ที่ได้ผลลัพธ์เกือบจะเท่าเทียมกัน และถ้าหากสามารถลดจุดตัดลงจาก 150 หน่วย/เดือน ให้เหลือน้อยลง จนเป็นค่าไฟฟ้าขั้นต่ำที่ทุกครัวเรือนใช้งานแล้ว ก็จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ทุกครัวเรือนได้ความช่วยเหลือเท่ากัน
ในลักษณะเดียวกัน การลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการต่างๆ ก็เผชิญกับปัญหาที่คล้ายกับกรณีครัวเรือนคือ กิจการขนาดใหญ่มักมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่มากกว่ากิจการประเภทอื่น ส่งผลให้การกระจายเงินอุดหนุนระหว่างกิจการของนโยบายลดค่าไฟฟ้าแบบเท่ากันทุกหน่วย ตกถึงมือของกิจการขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับกิจการประเภทอื่นๆ แต่รัฐจะต้องคำนึงถึงอีกอย่างน้อย 2 ประเด็นคือ
- งบประมาณที่ใช้เพื่อลดค่าไฟฟ้า: ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการ มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าต่อรายสูงกว่าผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทครัวเรือนอย่างมาก ถ้ารัฐลดค่าไฟแบบเท่ากันทุกหน่วยจะส่งผลให้รัฐต้องใช้งบประมาณเดือนละ 3,902.7 ล้านบาท
- โครงสร้างต้นทุนของแต่ละอุตสาหกรรม: แต่ละกิจการย่อมมีความแตกต่างกันในสินค้า/บริการที่ผลิต สัดส่วนต้นทุนไฟฟ้าของแต่ละอุตสาหกรรมจึงแตกต่างกันแม้จะจัดอยู่ในกิจการประเภทเดียวกันตามปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ก็ตาม ดังนั้นรัฐต้องคำนึงด้วยว่ามีกิจการในอุตสาหกรรมใดที่มีความจำเป็นต้องลดค่าไฟฟ้ามากกว่าอุตสาหกรรมอื่น
↑1 | “นโยบายลดค่าไฟ ครม.เศรษฐา 1 คาดใช้เงิน 1.5 หมื่นล.”, PostToday, กันยายน 6, 2023, https://www.posttoday.com/business/699162 |
---|---|
↑2 | แบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมครัวเรือนได้เก็บข้อมูลเป็น ‘ค่าไฟฟ้าที่จ่ายในเดือนที่เก็บข้อมูล’ ของแต่ละครัวเรือน เพื่อคำนวณปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ของแต่ละครัวเรือน 101 PUB ได้แปลงกลับเป็นปริมาณไฟฟ้าที่แต่ละครัวเรือนใช้ โดยคำนึงค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามหน่วยที่ใช้และค่าธรรมเนียมด้วย |
↑3 | 101 PUB นำปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งปี 2022 ของกิจการแต่ละประเภทมาหารกับจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าแต่ละประเภท |
↑4 | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://cepr.org/voxeu/columns/inflationary-impact-energy-prices |