Quick win แล้วสิ้นใจ?: ประคับประคองศูนย์ชีวาภิบาลอย่างไรให้อยู่รอด?

คุณลุงวัย 63 ปี ร่างกายไม่ตอบสนองต่อการรักษา และญาติก็ตัดสินใจที่จะยุติการรักษาเพื่อให้คุณลุงจากไปอย่างสงบ กลับถูกนำมานอนรอความตายที่ศาลาตั้งศพในวัดเนื่องจากเจ้าของบ้านเช่าไม่อยากให้มีคนตายในบ้านเช่าของตน[1]Matichon. “ลูกสาวร่ำไห้ พาพ่อป่วยหนัก นอนรอความตายในศาลาวัด หลังเจ้าของบ้านเช่าไม่ให้ไปตายที่บ้าน”, 13 มิถุนายน 2024. กรณีเช่นนี้ทำให้เห็นถึงช่องโหว่ของการรักษาพยาบาลที่ไม่มีพื้นที่ให้คนป่วยที่ต้องการยุติการรักษาและเลือกที่จะกลับมาตายในพื้นที่ที่สบายใจที่สุด นั่นก็คือ บ้าน

ในปัจจุบันไทยกำลังดำเนินนโยบายที่เรียกว่า ‘สถานชีวาภิบาล’ เพื่อรองรับคนที่อยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ ให้คนป่วยที่ยุติการรักษาหรือคนชราที่เป็นไม้ใกล้ฝั่งเข้าสู่การเตรียมตัวไปสู่ การตายดี’ โดยที่ยังมีการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ พยาบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสถานที่ซึ่งเรียกว่า ‘ศูนย์ชีวาภิบาล’

แต่นโยบายชีวาภิบาลที่ทำมาแล้วหนึ่งปีกว่าๆ อาจยังไม่ใช่คำตอบของการเตรียมตัวไปสู่เชิงตะกอน ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว (Kid for Kids) และ 101 PUB เชิญร่วมติดตามผลงานนโยบายชีวาภิบาลที่ยังมีแต่ปัญหารอให้แก้ไขรอบด้าน

ชีวาภิบาล = การดูแลเพื่อให้ตายดี

‘สถานชีวาภิบาล’ ตามคำนิยามของรัฐคือ สถานที่สำหรับดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายซึ่งจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินหกเดือน ผู้ป่วยสูงอายุ และผู้มีภาวะพึ่งพิง โดยเฉพาะในช่วงระยะท้ายของชีวิต เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นได้ตายดี ตายสงบ และตายอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นโยบายดังกล่าวเป็นหนึ่งในนโยบาย quick win ของรัฐบาลเพื่อไทย มีเป้าหมายคือการให้มีสถานชีวาภิบาลในทุกจังหวัด ทั้งรูปแบบศูนย์ในโรงพยาบาลและศูนย์ในชุมชน [2]Thai PBS. “นโยบายสถานชีวาภิบาล กับความท้าทายสู่ สิทธิการตาย”. สืบค้น 8 พฤศจิกายน 2024.

ชีวาภิบาล = การดูแลเพื่อให้ตายดี

สถานชีวาภิบาลเป็นการเชื่อมโยงการดูแล 3 รูปแบบ คือการดูแลแบบประคับประคอง (palliative care) การดูแลผู้ป่วยสูงอายุ (elderly care) และการดูแลระยะยาวในชุมชน (long-term care) เข้าด้วยกัน

การดูแลแบบประคับประคอง (palliative care) หมายถึงการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่กำลังเผชิญหน้ากับโรคร้ายแรงถึงชีวิต เช่น โรคมะเร็ง โรคสมองเสื่อม โรคหัวใจ ในระยะท้ายซึ่งการรักษาแบบปกติอาจเป็นเพียงการยื้อชีวิตมากกว่าการช่วยให้หาย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รักษาตามที่มีการตกลงกับแพทย์และพยาบาลไว้ตั้งแต่ที่ยังมีสติรับรู้ดี ตลอดจนเป็นการตัดสินใจร่วมกับญาติสนิท[3]WHO. “Palliative Care”. สืบค้น  15 ตุลาคม 2024. การดูแลแบบประคับประคองยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะทำให้ครอบครัวผู้ป่วยต้องสูญเสียเงินจำนวนมาก โดยพบว่าในผู้ป่วยมะเร็งที่รักษาที่โรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายเดือนสุดท้ายก่อนเสียชีวิตอยู่ที่ 44,974 บาท แต่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่บ้านมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 26,821 บาท[4]TDRI. “พร้อมรับสังคมสูงวัย: วางระบบดูแลผู้ป่วยระยะยาว กับ ทางเลือกระยะท้ายของชีวิต”. TDRI: Thailand Development Research Institute, 20 กันยายน 2016.

การดูแลแบบต่อมาคือการดูแลผู้ป่วยสูงอายุ (elderly care) ซึ่งหมายถึงผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างเต็มที่ หรือผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษในชีวิตประจำวัน โดยดูแลตั้งแต่เรื่องอาหาร ไปจนถึงสภาพจิตใจของผู้สูงอายุ[5]Newman, Joe. “What Is Elder Care?” Elder (blog), 11 สิงหาคม 2023. https://www.elder.org/elderly-care/what-is-elder-care/. โดยอยู่ในรูปแบบของหน่วยดูแลในโรงพยาบาล ทั้งหน่วยบริการผู้สูงอายุ รวมถึงตึกอายุรกรรมผู้สูงอายุ

ท้ายสุดคือการดูแลระยะยาว (long-term care) ซึ่งเป็นการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน คนที่ทำกิจวัตรในชีวิตประจำวันด้วยตัวเองได้น้อย หรือป่วยเรื้อรัง ซึ่งโดยส่วนมากเป็นผู้สูงอายุ[6]สัมฤทธิ์ ศรีธํารงสวัสดิ์ และ กนิษฐา บุญธรรมเจริญ. “รายงานการสังเคราะห์ระบบการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาวสำหรับประเทศไทย (Synthesis of long-term care system for the elderly in … Continue reading การดูแลรูปแบบนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสภาวะสังคมสูงวัย โดยรัฐอุดหนุนให้มีผู้ดูแลเข้าไปคอยติดตามดูแลความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุในชุมชนอย่างสม่ำเสมอ มุ่งหวังให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดีและลดหรือประวิงเวลาที่จะต้องใช้บริการสองแบบแรกออกไปให้นานที่สุด

การทำงานในอุดมคติของสถานชีวาภิบาลมีโรงพยาบาลเป็นแม่ข่ายในการส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาในชุมชนหรือที่บ้าน ส่งยารักษาอาการ รวมถึงติดตามและรองรับผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤต นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่ให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยและญาติตั้งแต่เริ่มต้นการรักษา เพื่อให้เกิดการวางแผนในระยะท้ายของชีวิต หรือที่เรียกว่า advance care plan

ศูนย์ในชุมชนจะทำหน้าที่เสมือนประตูด่านแรกที่ผู้ป่วยจะเข้าถึงการรักษาและการวางแผนในโรงพยาบาล และยังทำหน้าที่เป็นสถานที่ดูแลกายใจของผู้ป่วยในสถานชีวาภิบาล มีการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยกับโรงพยาบาล และมีอาสาสมัครในการดูแลผู้ป่วยในชุมชน เพื่อดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต และผู้ที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ

จะเห็นได้ว่า หากนโยบายนี้ประสบความสำเร็จ ผู้สูงอายุจะได้รับการดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ได้อยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมและสบายใจ ลดการเข้าห้องฉุกเฉินและเข้าโรงพยาบาลซ้ำ และยังทำให้เจ้าหน้าที่สามารถรับรู้อาการโดยละเอียดของผู้ป่วยได้ ซึ่งทำให้การรักษาต่อไปแม่นยำมากขึ้น[7]Carpenter, Joan G., Karissa Lam, Ashley Z. Ritter, และ Mary Ersek. “A Systematic Review of Nursing Home Palliative Care Interventions: Characteristics and Outcomes”. Journal of the American Medical Directors Association 21, ฉบับที่ 5 (พฤษภาคม 2020): 583-596.e2. https://doi.org/10.1016/j.jamda.2019.11.015 และยังช่วยลดภาระการดูแลและค่าใช้จ่ายของครอบครัวผู้ป่วย เพราะมีการติดตามอาการโดยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น

แม้โดยหลักการนโยบายนี้จะเพิ่มคุณภาพชีวิตบั้นปลายให้กับคนไทยได้อย่างมาก ทว่าในทางปฏิบัติ การผสานการดูแลประคับประคองเข้าไปสู่การดูแลในชุมชนก็อาจสร้างปัญหาตามมา หากการออกแบบและดำเนินนโยบายไม่รอบคอบเพียงพอ จากงานวิจัยในต่างประเทศพบว่า เจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้างานเสี่ยงเกิดความเครียดจากการต้องดูแลกลุ่มผู้ป่วยหลายกลุ่ม และความเสียใจจากการสูญเสียคนไข้ที่ใกล้ชิด[8]Chiang, Shu-Wan, Shu-Chen Wu, และ Tai-Chu Peng. “The Experience to Implement Palliative Care in Long-Term Care Facilities: A Grounded Theory Study of Caregivers”. Asian Nursing Research 15, ฉบับที่ 1 (กุมภาพันธ์ 2021): 15–22. https://doi.org/10.1016/j.anr.2020.10.006. และ Liu, Xuan, Yun-Chen Chang, และ Wen-Yu Hu. “The Effectiveness of … Continue reading การสนับสนุนบุคลากรที่เพียงพอจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของนโยบายนี้

ตั้งศูนย์ได้เพียบ แต่กำลังคนยังไม่พอ

เป้าหมายของสถานชีวาภิบาลใน 100 วันแรก คือการตั้งศูนย์ชีวาภิบาลจังหวัดละหนึ่งแห่ง hospital at home จังหวัดละหนึ่งแห่ง และคลินิกผู้สูงอายุในทุกโรงพยาบาล รวมอย่างน้อย 1,645 แห่งทั่วประเทศ[9]101PUB คำนวณจากจำนวนจังหวัดในประเทศไทยรวมกรุงเทพมหานครและจำนวนโรงพยาบาลทั้งหมดในประเทศไทยจากสถาบันรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (องค์การมหาชน). ในปัจจุบันประเทศไทยมีศูนย์ชีวาภิบาลอยู่แล้วปรากฏว่าหลังจากผ่านมาหนึ่งปี สามารถจัดตั้งได้มากถึง 2,385 แห่ง[10]Thai PBS. “นโยบายสถานชีวาภิบาล กับความท้าทายสู่ สิทธิการตาย”. สืบค้น 8 พฤศจิกายน 2024. โดยแบ่งออกเป็น ศูนย์ชีวาภิบาลในโรงพยาบาล 609 แห่ง คลินิกผู้สูงอายุในโรงพยาบาล 630 แห่ง สถานชีวาภิบาลในชุมชน 454 แห่ง และ บ้านสำหรับดูแลผู้ป่วยใน (hospital at home) 692 หลัง

ตั้งศูนย์ได้เพียบ แต่กำลังคนยังไม่พอ

เพื่อให้เสร็จทัน 100 วันตามเป้าหมายของนโยบาย quick win การตั้งศูนย์ชีวาภิบาลในโรงพยาบาล จำนวนหนึ่งอาศัยการเปลี่ยนชื่อศูนย์หรือเติมชื่อท้ายศูนย์ที่มีอยู่เดิม เช่น กรณีโรงพยาบาลสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เปลี่ยนชื่อจากศูนย์ดูแลต่อเนื่องเดิมมาเป็นศูนย์ชีวาภิบาล[11]Hfocus.org. “รพ.สิชล เปิด ‘ศูนย์ชีวาภิบาล’ รองรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง พร้อมให้บริการครบวงจร”. สืบค้น 12 พฤศจิกายน 2024. ส่วนศูนย์ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ในทางปฏิบัติมักนำไปรวมไว้กับศูนย์ประคับประคองหรือศูนย์ดูแลผู้ป่วยสูงอายุที่มีอยู่เดิมโดยไม่ได้มีการตั้งกรอบอัตรากำลังเพิ่ม

การผสานและเชื่อมโยงระบบดูแลประคับประคองเข้ากับส่วนงานต่างๆ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์หน้างานโดยเฉพาะพยาบาลต้องทำงานหนักมากขึ้น ทั้งการต้องดูแลผู้ป่วยครอบคลุมหลายกลุ่มมากขึ้น เช่น เดิมเคยดูแลผู้ป่วยสูงอายุก็ต้องมาดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพิ่ม และอาจมีการส่งต่อจากชุมชนเข้ามามากขึ้น และเมื่อส่งผู้ป่วยระยะท้ายกลับไปที่บ้านหรือชุมชน ก็ต้องติดต่อประสานงาน กับหน่วยงานสาธารณสุขชุมชน เช่น กุฏิชีวาภิบาล หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อติดตามอาการและคอยให้คำแนะนำเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน อาทิ ความดันตกกะทันหัน และยังต้องมีการลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมคนไข้และตรวจสอบการทำงานของสถานชีวาภิบาลในชุมชน อย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์[12]สัมภาษณ์หัวหน้าศูนย์ชีวาภิบาล โรงพยาบาลจังหวัดแห่งหนึ่ง และ พระบุณยกร ปสาโท (ภู่ทอง) ประธานศูนย์ส่งเสริมสุขภาพดีวิถีพุทธ และ … Continue reading

Caregiver เสี่ยงไม่พอดูแลคนป่วยตามความต้องการของรัฐ

นอกจากบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ที่สำคัญมากอีกส่วนหนึ่งคือ ผู้ที่ดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน (caregiver) หรือ CG โดยพบว่า ในปัจจุบันมี CG รวมถึงอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่นที่ปฏิบัติงานจริงอยู่ 106,085 คน[13]LTC ผู้สูงอายุ”. สืบค้น 14 พฤศจิกายน 2024. ดูแลผู้สูงอายุซึ่งมีภาวะพึ่งพิง ที่ได้รับการดูแลตาม care plan ของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ 454,355 คน[14]“ร้อยละของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลตาม Care Plan”. สืบค้น 14 พฤศจิกายน 2024.
หมายเหตุ: ไม่นับรวมกรุงเทพมหานคร
โดยเฉลี่ยแล้ว CG หนึ่งคนจะต้องดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง 4.2 คน ซึ่งถือว่ามีจำนวน CG เพียงพอตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุขที่ตั้งไว้ให้มีสัดส่วนไม่เกิน 1:5[15]กรมอนามัย. “คู่มือระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข (2559)” สืบค้น 11 พฤศจิกายน 2024.

ในปัจจุบันมีการเพิ่มจำนวน caregiver เฉลี่ย ปีละ 2,608 คน[16]รายงานประจำปี กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. และมีการเพิ่มอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่นภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทยขึ้นมาด้วย แต่ยังคงไล่ไม่ทันจำนวนผู้ป่วยที่จะเพิ่มขึ้นตามนโยบายชีวาภิบาล การขยายการดูแลจากผู้มีภาวะพึ่งพิงเดิมให้กินความถึงผู้ป่วยสมองเสื่อมตั้งแต่ระยะกลางและผู้ป่วยระยะประคับประคอง จะทำให้มีผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงเพิ่มขึ้นเป็นราว 600,000 คน[17]สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). “สปสช. แจ้งข่าวดี อปท. ทั่วประเทศ ปี 2567 เพิ่มงบเหมาจ่ายผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง 10,442 บาท”. สืบค้น 21 พฤศจิกายน 2024. ซึ่งหากยังเพิ่มผู้ดูแลได้ในอัตราเท่าเดิมจะทำให้ผู้ดูแลหนึ่งคนต้องดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงตามนิยามใหม่ 5.8 คน เกินกว่าสัดส่วนที่ดีที่สุดของกระทรวงสาธารณสุข

ยิ่งไปกว่านั้นผู้มีภาวะสมองเสื่อมและผู้ป่วยระยะประคับประคองต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดมากกว่าผู้มีภาวะพึ่งพิงในนิยามเดิม โดยต้องการผู้ดูแลหนึ่งคนต่อผู้ป่วยสามคน[18]Stephenson, Bobby. “Memory Care Requirements: What to Expect from Staff and Caregivers”. สืบค้น 8 พฤศจิกายน 2024. กล่าวคือหากต้องการให้การดูแลในชุมชนเกิดขึ้นได้อย่างมีคุณภาพ จะต้องเพิ่มจำนวนผู้ดูแลทั้งสองกลุ่มให้มีรวมกันอย่างน้อย 200,000 คน หรือเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า

นอกจากนี้ยังมีผู้มีภาวะพึ่งพิงที่มีความต้องการพิเศษ เช่น พระสงฆ์อาพาธติดเตียงที่ต้องการการดูแลแบบ 24 ชั่วโมง จากการสัมภาษณ์พระภิกษุรูปหนึ่ง ในจังหวัดพิจิตร พบว่ากุฏิชีวาภิบาลที่วัด มีพระคิลานุปัฏฐาก ซึ่งเป็นพระอาสาสมัครที่ดูแลพระสงฆ์อาพาธ รวมทั้งสิ้นห้ารูป ดูแลสงฆ์อาพาธติดเตียงสิบรูป และพระสงฆ์ทุพพลภาพอีกสามรูป ซึ่งไม่เกินจากสัดส่วนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดก็จริง แต่เนื่องจากไม่สามารถจัดให้มีการดูแลกะดึกได้ ในทางปฏิบัติกลับพบว่าในตอนกลางคืนต้องใช้การสังเกตอาการผ่านกล้องวงจรปิด[19]สัมภาษณ์ พระบุณยกร ปสาโท (ภู่ทอง) ประธานศูนย์ส่งเสริมสุขภาพดีวิถีพุทธ และ กุฎิชีวาภิบาลจังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2024.

งบไม่มา คนไม่เข้าใจ ปัญหาคลาสสิกของนโยบาย quick win

การเร่งตั้งศูนย์ชีวาภิบาลทั้งในโรงพยาบาลและในชุมชนให้ครบตามเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุขอาจไม่ใช่เรื่องยาก โดยอาศัยบุคลากรเดิมของโรงพยาบาลและชุมชนดำเนินการเป็นส่วนใหญ่ แต่การจะทำให้ศูนย์ที่ตั้งขึ้นมาใหม่นี้สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง ยังต้องอาศัยงบประมาณและการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายให้กับทั้งผู้ปฏิบัติการและประชาชนไปพร้อมๆ กัน

งบไม่มา คนไม่เข้าใจ ปัญหาคลาสสิกของนโยบาย quick win

ทว่าเรื่องงบประมาณในโรงพยาบาลก็ยังมีปัญหา จากการสัมภาษณ์หัวหน้าศูนย์ชีวาภิบาลที่ตั้งขึ้นใหม่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคเหนือ พบว่าไม่มีการตั้งงบประมาณให้กับศูนย์ชีวาภิบาล ทำให้การจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นเป็นไปได้ยาก เพราะต้องอาศัยการพึ่งพิงไปกับหน่วยงานอื่นของโรงพยาบาล เช่น ตึกบริบาลผู้สูงอายุ

“ไม่มีการตั้งงบประมาณเกี่ยวกับศูนย์นี้เลย ทั้งเรื่องงบประมาณบุคลากร หรือว่าเรื่องการส่งคนไปเทรน ทำให้กังวลว่าถ้าเกษียณไปแล้วจะไม่มีคนรับช่วงต่อ เพราะว่าพยาบาลที่ดูอยู่มีน้อยมาก แล้วก็ไม่มีให้ไปศึกษาเรื่องนี้เพิ่ม”

หัวหน้าศูนย์ชีวาภิบาล โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคเหนือ

กรณีของโรงพยาบาลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าศูนย์ชีวาภิบาลที่ตั้งขึ้นมีความไม่มั่นคงอย่างยิ่ง เพราะการดำเนินงานในปัจจุบันผูกอยู่กับตัวบุคคลและยังขาดระบบที่จะช่วยให้ทำงานได้ในระยะยาว บุคลากรที่ปฏิบัติงานจึงรู้สึกไม่มั่นใจว่าศูนย์จะดำเนินงานงานต่อไปได้อีกนานเท่าไร[20]สัมภาษณ์หัวหน้าศูนย์ชีวาภิบาล โรงพยาบาลจังหวัดแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2024.

สถานชีวาภิบาลในชุมชนได้เงินสนับสนุนจากรัฐอย่างไม่ตรงจุด-ไม่ยืดหยุ่น

สถานชีวาภิบาลในชุมชนจำนวนมากอยู่ในรูปแบบของกุฏิชีวาภิบาลซึ่งเผชิญปัญหางบประมาณที่ไม่เพียงพอและใช้จ่ายไม่คล่องตัว ทำให้ต้องพึ่งพาเงินบริจาค เช่น วัดทับคล้อที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว (กองทุน LTC) 48,000 บาทต่อปีสำหรับการดูแลพระสงฆ์อาพาธทั้งสิ้น 13 รูป แต่เงินสนับสนุนที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้วให้แบ่งเป็นเงินสำหรับพระคิลานุปัฏฐากสามรูป รูปละ 600 บาท 12 เดือน รวมเป็นเงิน 21,600 บาท และที่เหลือเป็นเงินสำหรับการเบิกซื้อของใช้ เช่น ผ้าอ้อม และค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ในความเป็นจริงกุฏิชีวาภิบาลยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมาก อาทิ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าน้ำมันสำหรับรถพยาบาล ซึ่งไม่สามารถนำงบประมาณดังกล่าวไปจ่ายได้ แต่ต่อให้จ่ายได้ เมื่อรวมแล้วค่าใช้จ่ายต่อเดือนก็ยังสูงถึงราว 200,000 บาท เกินกว่าจำนวนที่รัฐสนับสนุนมาให้ทั้งปีไปมาก 

อย่างไรก็ดี ประธานกุฏิชีวาภิบาลดังกล่าวได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าทางวัดได้รับการสนับสนุนของใช้จากโรงพยาบาลสงฆ์อยู่แล้ว แต่เงินจำนวนดังกล่าวก็ไม่เพียงพอที่จะจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูแลสงฆ์อาพาธ ทำให้ต้องมีการรับบริจาคโดยการเดินธรรมยาตราเพื่อระดมทุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์รวมถึงรถพยาบาลที่ใช้สำหรับรับส่งพระอาพาธเพิ่ม[21]สัมภาษณ์ พระบุณยกร ปสาโท (ภู่ทอง) ประธานศูนย์ส่งเสริมสุขภาพดีวิถีพุทธ และ กุฎิชีวาภิบาลจังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2024.

การประชาสัมพันธ์การเดินธรรมยาตรา เพื่อจัดซื้อรถพยาบาลและอุปกรณ์การแพทย์ในสถานชีวาภิบาล

ปัญหาการสนับสนุนงบประมาณที่ไม่ยืดหยุ่นเป็นปัญหาในสถานชีวาภิบาลชุมชนทั่วประเทศ เนื่องจากการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองและการดูแลแบบระยะยาวมีการตั้งกองทุนเงินสนับสนุนต่างหากออกจากกัน การสนับสนุนผู้ป่วยในระยะประคับประคอง เป็นการให้เงินสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยให้เป็นเวลา 6 เดือน สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท และการจ่ายเงินก็แบ่งเป็น 2 ก้อนหลักๆ คือก้อนที่จ่ายขณะยังมีชีวิตอยู่ และก้อนที่จ่ายเมื่อเสียชีวิต[22]สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. “บริการ Palliative care การดูแลแบบประคับประคอง ปีงบประมาณ 2566

แต่การสนับสนุนผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน จะอาศัย “กองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่” ในการจ่ายเงินให้กับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 6,000 บาท/คน/ปี เพื่อนำไปจ่ายให้กับผู้มีหน้าที่ในการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในการดำเนินการสนับสนุนผู้มีภาวะพึ่งพิงต่อไป[23]สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). “สปสช. แจ้งข่าวดี อปท. ทั่วประเทศ ปี 2567 เพิ่มงบเหมาจ่ายผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง 10,442 บาท”. สืบค้น 10 พฤศจิกายน 2024.

ถึงแม้ว่านโยบายรัฐจะพยายามประสานการดูแลเข้าด้วยกัน แต่การที่กองทุนทั้งสองยังแยกขาดจากกันทำให้ประชาชนยังต้องเลือกรับประโยชน์จากทางใดทางหนึ่ง เช่น ในกรณีที่เป็นผู้มีภาวะพึ่งพิงที่ต้องการการดูแลแบบประคับประคอง ก็ต้องเลือกว่าจะรับการสนับสนุนเป็นเงินอย่างผู้ป่วยประคับประคอง หรือรับการสนับสนุนแบบผู้มีภาวะพึ่งพิง ไม่สามารถประสานเข้าด้วยกันเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์ตามที่จำเป็นได้

การถ่ายทอด-สื่อสารนโยบายยังมีปัญหา

อีกหนึ่งปัญหาที่นโยบายชีวาภิบาลต้องเผชิญจากการเร่งเปิดศูนย์ชีวาภิบาลจำนวนมาก คือการสื่อสารทั้งระหว่างหน่วยงานที่ปฏิบัติงานร่วมกัน และหน่วยงานรัฐกับประชาชน

“ปัญหาคือไม่มีการอบรม CG หรือมีก็เป็นการอบรมออนไลน์ แล้วก็ส่งไปฝึกปฏิบัติที่โรงพยาบาล จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการอบรมออนไลน์ทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่”

หัวหน้าศูนย์ชีวาภิบาล โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคเหนือ

จากการสัมภาษณ์พยาบาลในศูนย์ชีวาภิบาลพบว่า พยาบาลยังมีความกังวลในหลักสูตรการอบรม caregiver โดยเฉพาะการอบรมออนไลน์ โดยกังวลว่าจะไม่สามารถปฏิบัติงานได้จริง หรือดูแลได้ไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร[24]สัมภาษณ์หัวหน้าศูนย์ชีวาภิบาล โรงพยาบาลจังหวัดแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2024.แม้ว่าหลักสูตรตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดจะให้มีการเรียนภาคปฏิบัติ 40 ชั่วโมง และเรียนภาคทฤษฎี 30 ชั่วโมงก็ตาม[25]กรมอนามัย. “คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ หลักสูตร 70 ชั่วโมงฉบับปรับปรุง ปี พ.ศ. 2567”.

“หลวงพี่ไม่รู้ว่าการเบิกงบประมาณมาใช้ในศูนย์อย่างเต็มที่สามารถทำแบบไหนได้บ้าง จึงอยากให้มีหน่วยงานเข้ามาให้ความรู้กับพระในเรื่องนี้ เพื่อทุ่นงบประมาณที่ใช้ไปในแต่ละเดือน”

พระบุณยกร ปสาโท (ภู่ทอง) ประธานศูนย์ส่งเสริมสุขภาพดีวิถีพุทธและกุฎิชีวาภิบาลจังหวัดพิจิตร

กรณีของกุฏิชีวาภิบาลเองก็ยังขาดการสื่อสารระหว่างหน่วยงานที่มีหน้าที่สนับสนุนกับพระในศูนย์ จากการสัมภาษณ์พบว่าพระที่ทำงานในศูนย์ดังกล่าวยังไม่มีความรู้ในเรื่องของการเบิกงบประมาณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากพอ ส่งผลให้ต้องมีการเปิดรับบริจาคจากประชาชนผู้มีจิตศรัทธาแทน

ในส่วนของการสื่อสารกับประชาชน พบว่าคนไทยยังเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่าการดูแลแบบประคับประคองซึ่งเป็นแกนหลักของนโยบายชีวาภิบาลได้น้อย งานวิจัยในปี 2020 พบว่าจากการสำรวจประชาชนใน 9 จังหวัดทั่วประเทศ มีเพียง 24% เท่านั้นที่รู้จักการดูแลแบบประคับประคอง และมีเพียง 33% เท่านั้นที่เคยคุยเรื่องระยะสุดท้ายของชีวิตกับครอบครัว[26]Kunakornvong, Wannapha, และ Kanyaphak Ngaosri. “Public Awareness and Attitude toward Palliative Care in Thailand”. Siriraj Medical Journal 72, ฉบับที่ 5 (20 กรกฎาคม 2020): 424–30. https://doi.org/10.33192/Smj.2020.57. ซึ่งอาจส่งผลให้การทำงานของบุคลากรด้านการดูแลประคับประคองทำเป็นไปอย่างยากลำบาก

ในจำนวนผู้ที่เข้าถึงการดูแลแบบประคับประคองเองก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ได้รับทำ advance care plan หรือการวางแผนการดูแลล่วงหน้าก่อนที่จะอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้[27]สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.). “นิยามปฏิบัติการของคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง การดูแลแบบประคับประคอง สำหรับประเทศไทย พ.ศ 2563” . โดยจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ในปีงบประมาณ 2567 มีผู้ป่วยระยะประคับประคอง 68.3% ที่ได้วางแผนการดูแลล่วงหน้าร่วมกับครอบครัวและบุคลากรทางการแพทย์[28]กระทรวงสาธารณสุข. HDC – Dashboard.  กล่าวคือผู้ป่วยระยะประคับประคองที่เหลือ แม้จะเข้าถึงการรักษาแต่ก็ยังเข้าไม่ถึงการวางแผนดูแลล่วงหน้า ซึ่งอาจส่งผลถึงการรักษาในช่วงวิกฤตในระยะสุดท้ายของชีวิตตามมา

บทส่งท้าย

สิ่งสำคัญของการออกแบบนโยบายแบบ quick win คือการสร้างส่งแรงกระตุ้นให้การดำเนินนโยบายสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าต่ออย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่การฉาบหน้าด้วยความสำเร็จตามเกณฑ์ประเมินที่เน้นแต่ปริมาณ การเร่งเปิดสถานชีวาภิบาลเพื่อให้ทันการประเมินนโยบาย quick win 100 วันแรกยังคงขาดความยั่งยืนทั้งในด้านบุคลากร ระบบสนับสนุนการทำงาน และงบประมาณ รวมถึงการสื่อสารกับประชาชนผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้อย่างเต็มที่

การประคับประคองให้สถานชีวภิบาลเหล่านี้ยังดำเนินต่อไปได้ รัฐต้องเร่งแก้ไขรอยรั่ว ทั้งเรื่องบุคลากรที่ไม่เพียงพอ งบประมาณที่ทั้งไม่พอและไม่ยืดหยุ่น ไม่เอื้อประโยชน์สูงสุดให้ผู้ที่ต้องการการดูแล และสุดท้ายคือรัฐต้องเร่งสร้างความเข้าใจให้กับทั้งหน่วยงานรัฐและประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินนโยบาย เพื่อให้คนป่วยที่ยังมีลมหายใจและคนชราที่ยังเป็นไม้ไกลฝั่งได้เข้าถึงการตายที่ดีสมกับชื่อนโยบายของรัฐอย่างแท้จริง

References
1 Matichon. “ลูกสาวร่ำไห้ พาพ่อป่วยหนัก นอนรอความตายในศาลาวัด หลังเจ้าของบ้านเช่าไม่ให้ไปตายที่บ้าน”, 13 มิถุนายน 2024.
2 Thai PBS. “นโยบายสถานชีวาภิบาล กับความท้าทายสู่ สิทธิการตาย”. สืบค้น 8 พฤศจิกายน 2024.
3 WHO. “Palliative Care”. สืบค้น  15 ตุลาคม 2024.
4 TDRI. “พร้อมรับสังคมสูงวัย: วางระบบดูแลผู้ป่วยระยะยาว กับ ทางเลือกระยะท้ายของชีวิต”. TDRI: Thailand Development Research Institute, 20 กันยายน 2016.
5 Newman, Joe. “What Is Elder Care?” Elder (blog), 11 สิงหาคม 2023. https://www.elder.org/elderly-care/what-is-elder-care/.
6 สัมฤทธิ์ ศรีธํารงสวัสดิ์ และ กนิษฐา บุญธรรมเจริญ. “รายงานการสังเคราะห์ระบบการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาวสำหรับประเทศไทย (Synthesis of long-term care system for the elderly in Thailand)”. กรุงเทพ: มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย, มีนาคม 2553. https://thaitgri.org/?p=37464.
7 Carpenter, Joan G., Karissa Lam, Ashley Z. Ritter, และ Mary Ersek. “A Systematic Review of Nursing Home Palliative Care Interventions: Characteristics and Outcomes”. Journal of the American Medical Directors Association 21, ฉบับที่ 5 (พฤษภาคม 2020): 583-596.e2. https://doi.org/10.1016/j.jamda.2019.11.015
8 Chiang, Shu-Wan, Shu-Chen Wu, และ Tai-Chu Peng. “The Experience to Implement Palliative Care in Long-Term Care Facilities: A Grounded Theory Study of Caregivers”. Asian Nursing Research 15, ฉบับที่ 1 (กุมภาพันธ์ 2021): 15–22. https://doi.org/10.1016/j.anr.2020.10.006. และ Liu, Xuan, Yun-Chen Chang, และ Wen-Yu Hu. “The Effectiveness of Palliative Care Interventions in Long-Term Care Facilities: A Systematic Review”. Journal of Personalized Medicine 14, ฉบับที่ 7 (28 มิถุนายน 2024): 700. https://doi.org/10.3390/jpm14070700.
9 101PUB คำนวณจากจำนวนจังหวัดในประเทศไทยรวมกรุงเทพมหานครและจำนวนโรงพยาบาลทั้งหมดในประเทศไทยจากสถาบันรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (องค์การมหาชน).
10 Thai PBS. “นโยบายสถานชีวาภิบาล กับความท้าทายสู่ สิทธิการตาย”. สืบค้น 8 พฤศจิกายน 2024.
11 Hfocus.org. “รพ.สิชล เปิด ‘ศูนย์ชีวาภิบาล’ รองรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง พร้อมให้บริการครบวงจร”. สืบค้น 12 พฤศจิกายน 2024.
12 สัมภาษณ์หัวหน้าศูนย์ชีวาภิบาล โรงพยาบาลจังหวัดแห่งหนึ่ง และ พระบุณยกร ปสาโท (ภู่ทอง) ประธานศูนย์ส่งเสริมสุขภาพดีวิถีพุทธ และ กุฎิชีวาภิบาลจังหวัดพิจิตร
13 LTC ผู้สูงอายุ”. สืบค้น 14 พฤศจิกายน 2024.
14 “ร้อยละของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลตาม Care Plan”. สืบค้น 14 พฤศจิกายน 2024.
หมายเหตุ: ไม่นับรวมกรุงเทพมหานคร
15 กรมอนามัย. “คู่มือระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข (2559)” สืบค้น 11 พฤศจิกายน 2024.
16 รายงานประจำปี กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.
17 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). “สปสช. แจ้งข่าวดี อปท. ทั่วประเทศ ปี 2567 เพิ่มงบเหมาจ่ายผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง 10,442 บาท”. สืบค้น 21 พฤศจิกายน 2024.
18 Stephenson, Bobby. “Memory Care Requirements: What to Expect from Staff and Caregivers”. สืบค้น 8 พฤศจิกายน 2024.
19, 21 สัมภาษณ์ พระบุณยกร ปสาโท (ภู่ทอง) ประธานศูนย์ส่งเสริมสุขภาพดีวิถีพุทธ และ กุฎิชีวาภิบาลจังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2024.
20, 24 สัมภาษณ์หัวหน้าศูนย์ชีวาภิบาล โรงพยาบาลจังหวัดแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2024.
22 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. “บริการ Palliative care การดูแลแบบประคับประคอง ปีงบประมาณ 2566
23 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). “สปสช. แจ้งข่าวดี อปท. ทั่วประเทศ ปี 2567 เพิ่มงบเหมาจ่ายผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง 10,442 บาท”. สืบค้น 10 พฤศจิกายน 2024.
25 กรมอนามัย. “คู่มือแนวทางการอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ หลักสูตร 70 ชั่วโมงฉบับปรับปรุง ปี พ.ศ. 2567”.
26 Kunakornvong, Wannapha, และ Kanyaphak Ngaosri. “Public Awareness and Attitude toward Palliative Care in Thailand”. Siriraj Medical Journal 72, ฉบับที่ 5 (20 กรกฎาคม 2020): 424–30. https://doi.org/10.33192/Smj.2020.57.
27 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.). “นิยามปฏิบัติการของคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง การดูแลแบบประคับประคอง สำหรับประเทศไทย พ.ศ 2563” .
28 กระทรวงสาธารณสุข. HDC – Dashboard.

อินโฟกราฟฟิก

บทความที่เกี่ยวข้อง

‘บ้านโอบอุ้ม’  ทางเลือกใหม่ที่พักอาศัยให้คนไทยสูงวัยในชุมชน

101 PUB ชวนสำรวจทางเลือกที่พักอาศัยของสังคมสูงวัยในไทยและต่างประเทศ พร้อมเสนอทางเลือกในการสร้าง ‘บ้าน’ ให้ผู้สูงอายุเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง และใช้ชีวิตบั้นปลายได้อย่างเต็มศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

101 Public Policy Think Tank
ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง

ศูนย์วิจัยนโยบายสาธารณะไทยในบริบทโลกใหม่ สร้างสรรค์ความรู้ด้านนโยบายสาธารณะที่มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มพลังให้ประชาชนสามารถตัดสินใจอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในเรื่องสำคัญที่มีความหมายต่อชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และสังคม

Copyright © 2024 101pub.org | All rights reserved.