โลกก้าวไปข้างหน้าด้วยอัตราเร่งชวนหายใจไม่ทั่วท้อง ภายในไม่กี่ปี ภาวะโลกรวนก็กระโดดเป็นภาวะโลกเดือด ปัญญาประดิษฐ์ตบเท้าเข้าปะปนในชีวิตประจำวันจนแยกไม่ออก การเมืองระดับประเทศก็เหวี่ยงซ้ายป่ายขวา ท่ามกลางความขัดแย้งที่ระอุขึ้นจนกลายเป็นการปะทะในหลายพื้นที่ การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ และช่องว่างทางเศรษฐกิจที่ถ่างกว้างอย่างไม่ลดราวาศอก
เยาวชนไทยน้อยคนจะมีแต้มต่อในความผันผวนนี้ จำนวนหนึ่งพอฟัดพอเหวี่ยง อีกกลุ่มผจญกับดักระหว่างทางจนเคลื่อนไหวไม่สะดวก ทว่าจำนวนไม่น้อยมีชะตา ‘ต้องสาป’ ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่มีโอกาสแม้จะออกตัวบนเส้นทางสู่อนาคต ไม่ว่าจะด้วยภาระหนี้ที่ตกทอดมา สุขภาพที่รวนเรด้วยมลภาวะ อบายมุขรอบกายที่กัดไม่ปล่อย หรือเทคโนโลยีทันสมัยที่อยู่ไกลเกินเอื้อม
ร่วมถอดบทเรียน ทำความเข้าใจ และร่ายคาถาถอนคำสาปร้าย กับศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว (คิด for คิดส์) โดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ 101 PUB ผ่านประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และมุมมองน่าสนใจ ของ ดร.แบ๊งค์ งามอรุณโชติ จากสถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (STIPI), ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รศ.ดร.ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ จากคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง โดยมี อินทร์แก้ว โอภานุเคราะห์กุล กองบรรณาธิการ The101.world เป็นผู้ดำเนินรายการ
หมายเหตุ : เรียบเรียงจากวงเสวนา ‘เด็ก ครอบครัว และสังคมไทยใน 30 ปีข้างหน้า ถ้า ‘ไม่แก้’ คำสาป’ ส่วนหนึ่งของงานเสวนาสาธารณะ ‘ถูกสาปให้พ่ายแพ้ในกระแสความเปลี่ยนแปลง: รายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัว ประจำปี 2025’ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568
เปิดข้อเสนอเจ็ดคาถา ขจัดหนี้ต้องส่ง-การงานต้องสาป
จากรายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัว ปี 2025 คำสาปทั้งแปดที่รัดรึงเด็ก เยาวชน และครอบครัว ไม่ให้พัฒนา ปรับตัวรับมือ และเติมเต็มความฝันท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงได้อย่างเต็มที่ ได้แก่
1. ครัวเรือนมีหนี้สูง สนับสนุนเด็ก-เยาวชนได้จำกัด เป็นภาระถ่วงรั้งการเติมเต็มความฝัน
2. เด็ก-เยาวชนหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศรุนแรงและภัยพิบัติภาวะโลกรวน
3. เด็ก-เยาวชนมีความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์
4. เยาวชนถูกจ้างงานในรูปแบบไม่มาตรฐานมากขึ้นโดยไม่ได้รับสวัสดิการ-ความคุ้มครองที่เหมาะสม
5. เยาวชนถูกฉุดรั้งความคิดสร้างสรรค์ระบบนิเวศการเรียนรู้เข้าถึงยาก-ไม่ตอบโจทย์
6. เยาวชนจำนวนมากพัวพันกับอบายมุขใหม่: บุหรี่ไฟฟ้า กัญชา และพนันออนไลน์
7. เยาวชนกับครอบครัวขัดแย้งในชีวิตประจำวันและห่างเหินกันมากขึ้น
8. เยาวชนเชื่อมั่นในระบอบการเมือง-ประชาธิปไตยลดลง และ ‘หันขวา’ ในเชิงคุณค่ามากขึ้น
ดร.แบ๊งค์ งามอรุณโชติ จากสถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (STIPI) พุ่งเป้าไปที่การยับยั้งวงจรหนี้ครัวเรือน และการยกระดับคุณภาพชีวิตมดงานในระบบเศรษฐกิจไทย เพื่อบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเรียนรู้ การไล่ตามความฝัน และการเข้าถึงเทคโนโลยีของเยาวชน
“เด็กไทยอยู่ในครัวเรือนที่มีหนี้ประมาณ 6.2 ล้านคน ซึ่งฉุดรั้งการเรียนรู้และก่อความเหลื่อมล้ำทางทักษะในระยะยาว ยังไม่พอ สถานภาพทางเศรษฐกิจที่ต่างกันยังทำให้พวกเขาเข้าถึงเครื่องมือการเรียนรู้ต่างกันไปด้วย โดยเฉพาะการไม่มีคอมพิวเตอร์ นำไปสู่ช่องว่างทางดิจิทัล (digital divide)”
นอกจากมรดกหนี้ที่ตกทอดมา แบ๊งค์ยังชี้ว่ามีเด็กวัยเรียนกว่าร้อยละ 15 อยู่ในวังวนการจ้างงานอย่างไม่เป็นทางการ (informal employment) หรือการจ้างงานที่มีความเปราะบาง มีรายได้ไม่ต่อเนื่องหรือน้อย เมื่อเทียบกับการลงแรง และไร้สวัสดิการที่จะประกันคุณภาพชีวิต โดยแรงงานกว่าร้อยละ 50 ในวังวนดังกล่าวนับเป็นผู้มีรายได้น้อย แม้ส่วนมากจะทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สอดคล้องกับภาพรวมทางเศรษฐกิจของไทย ซึ่งเขานิยามว่าเป็น “ระบบเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยงานที่ไม่ดีเท่าไร” (bad job economy)
จากรายงานตามติดเศรษฐกิจไทยโดยธนาคารโลก เดือนกุมภาพันธ์ 2025 แบ๊งค์ชี้ให้เห็นสถิติน่าสนใจในหน้า 32 ซึ่งเปรียบเทียบผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการชาติอื่นๆ ในอาเซียน ผ่านการสำรวจสถานประกอบการ (World Bank Enterprise Surveys – WBES) พบว่ามีเพียงร้อยละ 11.9 ของผู้ประกอบการไทยเท่านั้นที่ลงทุนในนวัตกรรมกระบวนการ (process innovation) ขณะที่ผู้ประกอบการเวียดนามลงทุนในกิจกรรมดังกล่าวถึงร้อยละ 38 การลงทุนในนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ (product innovation) ของไทยยังนับว่าต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับฟิลิปปินส์และเวียดนาม ตลอดจนมีการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศน้อยมากเมื่อเทียบกับมาเลเซีย
“เรามักบอกว่าแรงงานจะทำงานดีขึ้นได้ด้วยการฝึก คำถามคือมีทักษะสูงขึ้นแล้วใครจะจ้างคุณ ค่าแรงก็ไม่สูงขึ้น เพราะไม่มีนวัตกรรมกระบวนการ ทักษะใหม่ของคุณไม่เป็นที่ต้องการในวิถีการผลิต (mode of production) ดังนั้นความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีของเด็กจะหนักหนาขึ้นอีกเมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานจริงๆ เพราะมีความเหลื่อมล้ำด้านเทคโนโลยีในตลาดแรงงานรอรองรับพวกเขาอยู่”

แบบจำลองอนาคตทางเศรษฐกิจของแบ๊งค์ สะท้อนความเป็นไปได้สี่รูปแบบในอนาคต เขาระบุว่าหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข ระบบเศรษฐกิจไทยจะคงอยู่ที่รูปแบบซ้ายล่าง คือพึ่งพานวัตกรรมระดับที่เหมาะกับผู้ใช้ (appropriate innovation) ไม่ใช่ระดับก้าวหน้า (advanced innovation) ตลอดจนเต็มไปด้วยงานที่มีรายได้น้อยและอาศัยทักษะน้อย กรณีที่พัฒนาตลาดแรงงานสำเร็จ แต่ไม่ยกระดับนวัตกรรม ระบบเศรษฐกิจไทยจะขยับเป็นรูปแบบขวาล่าง ซึ่งมีตัวอย่างสำคัญคือญี่ปุ่น ที่มีงานที่ดีรองรับ และแม้การผลิตสินค้าจะไม่ได้อาศัยนวัตกรรมที่ก้าวหน้า แต่มีจุดเด่นที่ความเป็นงานฝีมือ ความเป็นท้องถิ่น เป็นต้น ขณะที่รูปแบบซ้ายบนเป็นขาประจำในประเทศกำลังพัฒนา กล่าวคือมีการลงทุนจากต่างประเทศมาก แต่มีการจ้างงานและพัฒนาฝีมือประชากรในท้องถิ่นต่ำ
สำหรับแบ๊งค์ ปัจจัยที่จำเป็นต้องพัฒนาเร่งด่วนที่สุดคือคุณภาพงาน เพื่อบ่มเพาะคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
“ดานี รอดริก (Dani Rodrik) นิยามงานที่ดีว่าต้องมีความเป็นทางการ ได้ค่าแรงสูงพอจะให้ชีวิตแบบชนชั้นกลาง และสร้างทักษะจากการทำงานนั้นๆ ถ้ามีงานที่ดี หนี้ข้ามรุ่นจะลดลง เพราะความเปราะบางของชีวิตลดลง ซึ่งจะนำไปสู่การปลดคำสาปหนี้ และการจ้างงานที่ไม่เป็นทางการในอนาคตได้”
โดยเจ็ดข้อเสนอเพื่อยกระดับคุณภาพงานของแบ๊งค์ ประกอบด้วย
1. การพัฒนา ‘เงินโอน แก้จน คนขยัน’ (negative income tax หรือ earned income tax credit) ที่กระทรวงการคลังศึกษามาระยะหนึ่งแล้ว แนวคิดหลักคือรัฐต้องโอนภาษีจำนวนหนึ่งคืนผู้ทำงานมาก แต่มีรายได้น้อย โดยถือว่าหากแรงงานมีจำนวนชั่วโมงทำงานมาก แต่ยังเป็นผู้ยากจน หมายถึงโครงสร้างเศรษฐกิจมีปัญหา และรัฐต้องเป็นผู้เสริมแรง ซึ่งจะดึงดูดแรงงานเข้าสู่ระบบที่รายงานสถานการณ์การทำงานของตนต่อรัฐ ทำให้รัฐแก้ไขสถานการณ์ตลาดแรงงานได้ถูกจุดต่อไป
2. การพัฒนามาตรการปรับสมรรถนะแรงงานฐานกว้าง เพื่อรับประกันว่าทักษะของแรงงานจะทันต่อความต้องการของตลาดแรงงานเสมอ ตัวอย่างสำคัญคือโครงการการ์ตู ปราเกอจา (Kartu Prakerja) ของอินโดนีเซีย ซึ่งฝึกทักษะแรงงานปีละประมาณสามล้านคน และโครงการสกิลฟิวเจอร์ (SkillFuture) ของสิงคโปร์ ที่เน้นพัฒนาทักษะทางสังคม (soft skill) ซึ่งมีความจำเป็นในหลายอุตสาหกรรม
3. การฝึกอบรมทักษะเฉพาะด้านโดยอาศัยเครื่องมือเฉพาะและการทุ่มงบประมาณ ผ่านการวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อกำหนดผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ และเลือกสมรรถนะที่จำเป็น
4. ปรับเปลี่ยนสมรรถนะนายจ้างและภาคการผลิตควบคู่กับการพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อให้แรงงานที่มีทักษะสูงขึ้นมีตำแหน่งงานรองรับ และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นจริง โดยอาจอาศัยมาตรการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างการผลิต (policy loan for infrastructural adjustment) เพื่อให้ผู้ผลิตมีทุนปรับโครงสร้างการทำงานของตนโดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ เป็นต้น
5. การส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีที่สนับสนุนให้แรงงานมีผลิตภาพสูงขึ้น (labour-complementing tech) มากกว่าเทคโนโลยีที่มุ่งขจัดแรงงานออกจากระบบ (labour-saving technology)
6. ส่งเสริมการเติบโตอย่างสมดุลระหว่างผู้ผลิตรายเล็ก รายใหญ่ และการกระจายรายได้เชิงพื้นที่
7. ส่งเสริมความหลากหลายในแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะแนวคิดที่มีแรงงานเป็นศูนย์กลางยิ่งขึ้น เช่น แนวคิดหลังเคนเซียน (Post-Keynesian) ที่แทนที่จะเห็นว่าการเก็บภาษีลดแรงจูงใจในการผลิตหรือพัฒนาเศรษฐกิจ กลับเห็นว่าการเก็บภาษีจะทำให้ภาคการผลิตมีประสิทธิภาพสูงขึ้นในระยะยาวผ่านการลงทุนในโครงสร้างการผลิตและการฝึกอบรมทักษะ ตลอดจนเห็นว่าค่าแรงของแรงงานคือองค์ประกอบสำคัญของอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจที่ต้องพยุงไว้ การอาศัยแนวคิดที่หลากหลายขึ้นนี้จะทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยมีทางออกที่หลากหลายขึ้นด้วย
สู้ ‘ไตรภูมิการศึกษา’ ด้วยคาถากระจายอำนาจ
รศ.ดร.ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ผู้นิยามตนเองว่าเป็น “ตัวแทนของคนกลุ่มใหญ่ที่คนกรุงเทพฯ นึกไม่ออก” ย้ำว่าท่ามกลางปัญหาคุณภาพเยาวชนนั้น ‘การเมือง’ เป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง
“ลองย้อนดู ที่ผ่านมาเราเจอรัฐประหารแล้วสองครั้ง ทุกครั้งจะนำไปสู่การรวมศูนย์อำนาจอย่างเข้มข้นซึ่งสร้างปัญหาในระบบการศึกษามาก การผลักดันมหาวิทยาลัยออกนอกระบบจนแพงหูฉี่ก็เกิดขึ้นใต้ระบอบเผด็จการทั้งสิ้น”
ภิญญพันธุ์เห็นว่าเยาวชนในระบบการศึกษาไทยอยู่ใน ‘ไตรภูมิ’ กล่าวคือ ประกอบด้วยเยาวชนบนยอดพีระมิดที่เข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษามากที่สุด เยาวชนกลุ่มกลางที่ได้เล่าเรียนในเมืองหรือโรงเรียนประจำจังหวัด และกลุ่มที่อยู่ในอำเภออื่นๆ ในต่างจังหวัด หรือที่เขาเรียกว่า “ขุมนรกทางการศึกษาไทย” เพราะ “บางโรงเรียนต้องจ้างครูด้วยเงิน 5,000 บาท ซึ่งมาจากการทอดกฐินผ้าป่า ดังนั้นจ้างครูคนหนึ่งก็แย่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งอื่นเลย เพราะงบประมาณที่ได้รับคำนวณด้วยจำนวนนักเรียน”
แม้จะไม่เพียบพร้อม โรงเรียนเหล่านี้ก็ยังเป็นทางเลือกที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด การเดินทางไปโรงเรียนไกลที่พักหมายถึงการต้องตื่นเร็วกว่าปกติและเดินทางไกล สุ่มเสี่ยงต่อการประสบอุบัติเหตุ เยาวชนในขุมนรกเหล่านี้จึงไม่มีทางเลือกมากนัก
ภิญญพันธุ์ยังชี้ให้เห็นอีกด้วยว่าเด็กและเยาวชนในเมืองมีโอกาสค้นพบงานอดิเรกและพัฒนาทักษะอื่นๆ เช่น ดนตรี กีฬา ฯลฯ มากกว่าเด็กยากจนในพื้นที่ห่างไกลซึ่งไม่มีกิจกรรมอื่นให้หันไปหา นอกจากกิจกรรมในโทรศัพท์มือถือ
“มือถือเป็นพื้นที่เดียวของเขา ขณะที่ครอบครัวชนชั้นบนๆ มีเงินสนับสนุนลูกและมีเวลา บางครอบครัวมีโอกาสไปต่างประเทศ เด็กต่างจังหวัดไม่มีสวนสาธารณะหรือห้องสมุดให้ไปด้วยซ้ำ ได้แต่อยู่ในบ้าน บางครอบครัวยังแหว่งกลางด้วย เรียกได้ว่าสำหรับเด็กในขุมนรกนั้น ทั้งครอบครัว โรงเรียน และโครงสร้างพื้นฐาน ไม่เอื้อต่อการสนับสนุนพวกเขาเลย ไม่ต้องกระทั่งพูดถึงงานที่ไม่ดี เพราะไม่มีงานเลย”
นอกจากนี้ เด็กและเยาวชนในขุมนรกทางการศึกษายังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 มากกว่าเด็กกลุ่มอื่นๆ โดยสถิติระบุว่าการต้องเรียนออนไลน์ทำให้เยาวชนเริ่มใช้โทรศัพท์มือถือเร็วกว่าปกติ คุ้นเคยกับเครือข่ายสังคมออนไลน์จนกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิต ความเสี่ยงที่ติดตามมาคือการเล่นพนันออนไลน์และการเข้าถึงอบายมุขในโลกออนไลน์ อาทิ การสั่งซื้อบุหรี่ไฟฟ้า
“มันกลายเป็นโลกอีกใบของพวกเขา และเป็นโลกที่กินเวลาว่างไป โดยที่ชดเชยอะไรให้พวกเขาไม่ได้เลย” ภิญญพันธุ์ระบุ
เขายังถ่ายทอดประสบการณ์ศึกษาดูงานที่โอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งห้องสมุดระดับเทศบาลทุกแห่งมีห้องสมุดเด็กที่บรรณารักษ์เล่านิทานได้ บางแห่งมีกระทั่งของเล่นให้หยิบยืม เยาวชนในชุมชนเล็กๆ เหล่านั้นจึงไม่ได้อยู่อย่างตามมีตามเกิด ดังที่ภิญญพันธุ์เห็นว่าหากไม่ได้รับการแก้ไข “อีก 20 ปีข้างหน้าเด็กเหล่านี้จะไปทางไหน ถ้ามองในแง่ร้าย คือลูกหลานเราต้องไปเป็นแรงงานข้ามชาติในประเทศอื่น เด็กๆ อีกกลุ่มที่ผมเห็นในมหาวิทยาลัยราชภัฏ มาเรียนเพียงเพื่อเอาใบปริญญาไปสอบบรรจุเข้ารับราชการหาความมั่นคง ทั้งหมดนี้มีแต่จะทำให้ยอดพีระมิดแคบลง ซึ่งไม่ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงความท้าทายอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”
คาถาสำคัญที่จะยุติวงจรดังกล่าว และเป็นคาถาที่ค้างคาตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร พ.ศ.2549 สำหรับภิญญพันธุ์ คือการกระจายอำนาจ
“การกระจายอำนาจจะเพิ่มอิสระให้โรงเรียนในระดับหนึ่ง ทุกวันนี้โรงเรียนส่วนใหญ่ขึ้นตรงต่อกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมักจะมีกิจกรรมที่ดึงครูออกจากห้องเรียน แต่ยังมีโรงเรียนสังกัดองค์กรในท้องถิ่นที่มีอิสระในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และจัดการฝึกอบรมครูเอง” ภิญญพันธุ์ระบุ
เขายังเสนอให้ทดลองกระจายอำนาจของกระทรวงศึกษาธิการสู่เขตพื้นที่การศึกษาระดับจังหวัด เช่น ใต้การนำขององค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยให้มีตัวแทนของประชาชนอยู่ในคณะกรรมการผู้ดูแลด้วย นอกจากนี้ยังอาจเพิ่มบทบาทของตัวละครอื่นๆ ในชุมชน เช่น มหาวิทยาลัยที่มีคณะครุศาสตร์
“ที่อยู่ใกล้ชิดท้องถิ่นที่สุดคือมหาวิทยาลัยราชภัฏซึ่งมี 38 แห่งทั่วประเทศ คิดเสียว่าหนึ่งราชภัฏดูแลสองจังหวัดก็พอได้ มหาวิทยาลัยเหล่านี้มีองค์ความรู้ในการผลิตครูอยู่แล้ว และแทบทั้งหมดมีโรงเรียนสาธิต ที่โดยหลักการเป็นแหล่งทดลองผลิตครูและจัดการเรียนรู้ แต่ทุกวันนี้กลับกลายเป็นสินค้าสำหรับหาเงินของมหาวิทยาลัยไป ดังนั้นต้องพากันกลับไปที่จุดเริ่มต้น”
ภิญญพันธุ์ยังให้ความสำคัญกับการผลิตครู โดยเสนอให้มีระบบโควตาเช่นเดียวกับการผลิตแพทย์ เพื่อให้มีการแข่งขันเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตครูที่เข้มข้นขึ้น ทั้งนี้ การกระจายอำนาจยังควรแผ่ไปถึงระดับเล็กที่สุด คือครูควรมีองค์กรที่เป็นกระบอกเสียงให้ตนเองอย่างแท้จริง อาทิ สหภาพแรงงาน
“ถ้าเป็นสหภาพแรงงานก็พอจะต่อรองกับรัฐได้ โดยที่คุรุสภาไม่เคยเลย คุรุสภารับใบสั่งมาให้จัดการควบคุมครูเท่านั้น และไม่ใช่แค่ครูที่ควรมีสหภาพแรงงาน อาจารย์มหาวิทยาลัยก็ควรจะอยู่ในนี้ด้วย” ภิญญพันธุ์กล่าว
ท้ายที่สุด เขาย้ำว่าการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นให้ส่งเสริมการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริงเป็นภารกิจที่มองข้ามไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ ห้องสมุด หรือกระทั่งหอจดหมายเหตุจังหวัด ภิญญพันธุ์ระบุว่าจังหวัดลำปางมีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นสืบย้อนไปได้ถึง พ.ศ.2492 แต่ไม่มีผู้เก็บรักษา ขณะที่ห้องสมุดชุมชนหลายแห่งเต็มไปด้วยสื่อการเรียนรู้ที่พ้นสมัย หรือไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม และเสนอให้เพิ่มจำนวน-ยกระดับศูนย์เด็กเล็กในชุมชนต่างๆ เพื่อเป็นฟันเฟืองการดูแลเด็กและเยาวชนที่ดีกว่าครอบครัวแหว่งกลาง โดยศูนย์เหล่านี้ต้องให้คำแนะนำในการดูแลลูกแก่ผู้ปกครองได้ และเป็นที่พึ่งสำคัญของครัวเรือนต่างๆ
“นอกจากนี้ต้องดึงคนในชุมชนเข้ามาเป็นอาสาสมัครและมีส่วนร่วมให้ได้ และทั้งหมดนี้คำสำคัญคำเดียวคือการกระจายอำนาจ”
อีกคาถาแสนสำคัญ คือคาถาแห่งความเข้าใจ
แม้ปรากฏการณ์เยาวชน ‘หันขวา’ จะชวนตื่นตระหนก แต่ ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ที่คลุกคลีกับเยาวชนมากหน้าหลายตาในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่กังวลนัก และเห็นว่าการเพพัดทางอุดมการณ์นั้นมีอยู่ทุกยุคสมัย สำหรับเขา การทำความเข้าใจปัญหา รวมถึงความต้องการที่มีพลวัตของคนรุ่นใหม่นั้นจำเป็นกว่า เพราะการที่เยาวชนดูจะเชื่อใน ‘คำสาป’ ให้แข่งขันไม่ได้นี้มากขึ้นทุกขณะ ทำให้การถอนคำสาปยากเย็นขึ้น
“ผมมีส่วนร่วมในกระบวนการให้ทุนการศึกษามาก เดี๋ยวนี้หนี้และความยากจนไม่ใช่ประเด็นเดียวแล้ว ประเด็นใหญ่กว่าคือความเปราะบางที่ซับซ้อนของสังคม สิบกว่าปีที่แล้วเวลาเด็กขอทุนการศึกษา เราต้องดูว่ามีไอโฟนหรือเปล่า เคยทำศัลยกรรมไหม แต่เดี๋ยวนี้ความเปราะบางซับซ้อนกว่านั้น เด็กที่มีเงินก็ประสบปัญหาได้ เช่น จู่ๆ พ่อตกงานโดยไม่มีอะไรรองรับ หรือทะเลาะกับที่บ้านเพราะอยากเรียนในคณะที่ไม่ตรงกับความต้องการของพ่อแม่”
พิชญ์ระบุว่าจำนวนเยาวชนที่ ‘ซิ่ว’ ตามความฝันมีมากขึ้น และจำนวนหนึ่งต้องหาเลี้ยงตนเอง ปัญหาที่พวกเขาเผชิญ และอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางความผันผวนในโลกจึงไม่ได้มีเพียงปัญหาความยากจนเท่านั้น แต่พัวพันถึงปัญหาในครอบครัวและปัญหาสังคมมากขึ้น
“บางทีก็คิด มหาวิทยาลัยที่พอจะมีเงินแบบมหาวิทยาลัยของผมนี้ให้เรียนฟรีได้ไหม มีสองทางเลือกให้เด็กได้ไหม เช่น ถ้าไม่ทำงานใช้ทุน ก็หาเงินมาจ่ายแลกใบปริญญาทีหลัง ผมเป็นอาจารย์มา 30 ปี ต้องกรอกแบบฟอร์มโง่ๆ เยอะขึ้นเรื่อยๆ ระบุว่าเด็กจ่ายค่าเทอมไม่ได้ เพราะจ่ายด้วยเงินของที่บ้านไม่ได้ ถามว่าเด็กกลุ่มนี้จนเท่าเด็กในมหาวิทยาลัยราชภัฏไหม ก็ไม่ แต่วิธีคิดของพวกเขาเปลี่ยนไป มีเด็กที่ต้องหาเงินเองเพราะไปกับที่บ้านไม่ได้มากขึ้น หรือบางครอบครัวดูมีรถกระบะ มีพัดลมก็จริง แต่ทั้งหมดนั้นกำลังผ่อนอยู่ คือพวกเขาไม่ได้ยากจน แต่เปราะบาง”
เช่นเดียวกับภิญญพันธุ์ พิชญ์พบว่าการเรียนออนไลน์ส่งผลต่อพัฒนาการทางการเรียนรู้ของเยาวชนจำนวนไม่น้อย โดยส่งผลกระทบต่อทักษะเฉพาะต่างกันไป ตามแต่ช่วงวัยที่เผชิญการระบาด อาทิ การเขียน อันเป็นปัญหาที่ต้องศึกษาและร่วมกันแก้ไขในอนาคต นอกจากนี้ พิชญ์ยังเห็นว่ายิ่งเยาวชนอยู่ในโลกออนไลน์มากเท่าไร ลักษณะช่องว่างทางดิจิทัลยิ่งผันแปร ซึ่งไม่ได้หมายถึงการเข้าถึงหรือเข้าไม่ถึงอุปกรณ์ดิจิทัลเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงความฉลาดรู้ (literacy) อย่างการรู้เท่าทันปัญญาประดิษฐ์และการใช้งานเครื่องมือใหม่นี้อย่างเหมาะสม
“คำถามในชีวิตของเขาอยู่ที่ไหน” พิชญ์เสริมเมื่อกล่าวถึงประเด็นนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ปัญหาการใช้งานปัญญาประดิษฐ์อย่างไม่เหมาะสมย่อมเกี่ยวพันกับความเป็นไปในสังคม “เด็กไม่ได้มาเรียนเพื่อค้นหาความหมายของชีวิตแล้ว ไม่ว่าอะไรก็วัดกันที่ผลลัพธ์ทั้งหมด ผมเองเวลาถูกประเมิน เขายังไม่ดูเลยว่าเด็กที่เรียนกับผมทำอะไรที่เป็นการเปลี่ยนแปลงโลกบ้าง แต่วัดกันด้วยการตีพิมพ์ผลงานของอาจารย์ วิสัยทัศน์ในการบริหารไปกันทางนั้น ไม่ได้เน้นให้เด็กมีความใฝ่ฝันอะไรในชีวิต มีแต่อัปสกิล รีสกิล ก้าวทันโลกอุตสาหกรรมกันไปเรื่อย”
สำหรับพิชญ์ ปรากฏการณ์ชวนกังวลที่สุดท่ามกลางกระแสดังกล่าวคือสายสัมพันธ์ที่ขาดหาย “เรากลายเป็นเหมือนคอนเทนต์ครีเอเตอร์สำหรับเด็ก ไอ้นี่ไม่น่าสนใจ ไปฟังพอดแคสต์ดีกว่า วนเวียนอยู่อย่างนี้ ความรู้ทุกอย่างมีเท่านี้ ไม่รู้ว่ารู้เรื่องนี้แล้วมีความหมายอะไร สนใจแค่มูลค่าที่เอาไปหากินได้ เพราะทุกอย่างถูกทำให้น่าสนใจจนไม่รู้ว่าอะไรที่น่าสนใจแล้ว”
ทั้งค่านิยมฝังรากที่ยากทัดทาน ผสมโรงกับการใช้นิติสงครามปราบปรามความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างแข็งขัน และการขาดความเข้าใจความต้องการที่มีพลวัตซับซ้อนขึ้นของเด็กและเยาวชนอย่างเพียงพอ ล้วนนำไปสู่การ ‘เชื่อ’ ในคำสาปของเด็กๆ ซึ่งพิชญ์ถือว่าเป็น “ความสำเร็จในการกดทับพวกเขา”
อย่างไรก็ตาม เขายังเชื่อว่าการเจาะลึกความรู้สึกนึกคิดของคนรุ่นใหม่ เพื่อมองหากลไกแทรกแซงสนับสนุนที่ตรงจุด จะเป็นประตูบานหนึ่งสู่การทลายคำสาป
“พูดอย่างนี้ดีกว่า ผมไม่รู้ว่าเด็กเดี๋ยวนี้ไร้ฝันหรือพวกเขามีฝันคนละชุดกับเรา ผมถามหลานว่าอยากเป็นอะไร หลานบอกว่าอยากเป็นติ๊กต็อกเกอร์ คือไม่ใช่ไม่มีฝัน แต่ไม่ใช่ฝันที่เราต้องการ เด็กหลายคนที่เรียนกับผม เมื่อจบแล้วก็ไปรับราชการ คือความใฝ่ฝันไม่ได้อยู่กันเป็นชุดๆ แบบอุดมการณ์ และทุกคนมีพลวัตของตัวเอง”
พิชญ์เห็นว่าแบบสำรวจที่ชี้ว่าเยาวชนไทย ‘หันขวา’ มากขึ้นนั้น ไม่ได้สะท้อนเพียงทัศนคติของพวกเขา เพราะภาพสะท้อนที่ใหญ่กว่าคือการขยับสถานะทางสังคม (social mobility) ที่ดูจะเกินฝันไปเสียแล้ว “จะมีเด็กสมัยนี้สักกี่คนที่ผ่อนบ้านผ่อนรถได้จริงโดยไม่ต้องทำอะไรแปลกๆ ทรัพย์สินของพ่อแม่ที่ส่งต่อถึงลูกได้มีสักเท่าไร”
ทั้งนี้ เขาไม่เห็นว่ารัฐเป็นเพียงกลไกเดียวที่แก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ โดยเห็นด้วยกับ ดร.แบ๊งค์ งามอรุณโชติ ที่เสนอว่าสังคมไทยต้องมองหาแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ใหม่ และขยับขยายระบบเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับทักษะและคุณภาพชีวิตของแรงงานมากขึ้น เช่นเดียวกับที่ต้องทำความเข้าใจวัฒนธรรมการศึกษาไทย ซึ่งหล่อเลี้ยงลักษณะการรวมศูนย์อำนาจ และดำเนินนโยบายซึ่งไม่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของเด็กและเยาวชนได้เรื่อยมา ทั้งใต้เงาคณะรัฐประหารและรัฐบาลพลเรือน
“อย่างประเด็นข้อสอบกลาง ก็ควรมีการติวสอบโดยส่วนกลางด้วย มีการสนับสนุนรายการส่งเสริมการเรียนรู้ดีๆ แต่ทั้งที่ไม่มีเลย คุณก็ยังยืนยันจะวัดเด็กด้วยมาตรฐานนี้ คุณไม่ได้เติมอะไรเข้าไปนอกจากเพิ่มครูและเงินเดือนครู แต่ไม่มีองค์ความรู้อื่นๆ ที่สำคัญต่อการเรียนรู้จริงๆ ทั้งที่เติมด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันได้แล้ว มหาวิทยาลัยยังมีเอ็มโอยูระหว่างกัน ทำไมโรงเรียนมีไม่ได้ จัดให้เรียนทางไกลได้ไหมล่ะ ทำไมต้องกดทับให้อยู่แต่ในอำเภอ ถ้าเรายังวนเวียนกับระบบเดิมก็ไม่ได้ไปไหนหรอก ก็เข้าทางระบบเดิมเท่านั้น” พิชญ์ย้ำเตือน