ประเด็นสำคัญ
- บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ 'ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข' เกิดขึ้นเพื่อป้องกันการใช้เสรีภาพเพื่อทำลายประชาธิปไตยลงเสียเอง แต่ข้อกฎหมายนี้กลายเป็นช่องทางที่กลุ่มการเมืองใช้ร้องเรียนและเล่นงานกัน จน 'คดีล้มล้าง' กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมืองประจำวัน
- ผลของคดีล้มล้างการปกครองนั้นกว้างขวางออกไปกว่าผลร้ายที่เกิดแก่ปัจเจกบุคคลหรือพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งในคดี เพราะการตีความของศาลรัฐธรรมนูญสามารถจำกัดกรอบผู้กำหนดนโยบายว่าอะไรทำได้และอะไรทำไม่ได้
- คดีล้มล้างการปกครองดูจะไม่ได้ช่วยให้ระดับความสุจริตโปร่งใสของการเลือกตั้ง ระบบพรรคการเมือง หรือกระทั่งคุณภาพประชาธิปไตยโดยรวมดีขึ้น หรือถ้าเปลี่ยนแปลง ก็ไปในทางที่แย่ลงเสียมากกว่าแต่การตีความของศาลและการฉวยใช้ของกลุ่มการเมืองต่างๆ ดูจะเป็นการเน้นย้ำการ 'ห้ามแตะต้อง' สถาบันพระมหากษัตริย์เสียมากกว่า
- การมีอยู่ของมาตรา 112 ในลักษณะปัจจุบัน และคดีความที่ยังดำเนินอยู่ โดยมีผู้ถูกแจ้งความเอาผิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั้น ไม่แน่ว่าจะส่งเสริมให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นเข้มแข็งมากขึ้นหรือไม่ ในเมื่อมาตรา 112 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเป็นเครื่องมือพิทักษ์พระมหากษัตริย์นั้น กระทบเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ซึ่งเสรีภาพในการแสดงออกเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยโดยตรง
นับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับบัญญัติรับรองสิทธิของปวงชนชาวไทยในการร่วมกันปกป้องระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย แม้จะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่รัฐธรรมนูญปี 2540, 2550, และ 2560 บัญญัติในลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ รับรองสิทธิของปวงชนชาวไทยที่จะร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นการร้องโดยตรง หรือต้องร้องไปยังหน่วยงานอื่นก็ตามที เมื่อบุคคลนั้นพบเห็นการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง ในเบื้องต้นคือสั่งให้ยุติการกระทำ และอาจตามมาด้วยการยุบพรรคการเมืองในกรณีที่พรรคการเมืองเป็นผู้กระทำการนั้น ซึ่งการยุบพรรคนั้นอาจมีผลร้ายอื่นตามมาด้วย หนักเบาร้ายแรงแตกต่างกันในแต่ละฉบับ โดยเฉพาะในเรื่องการยุบพรรคนั้นถูกบัญญัติในรายละเอียดอยู่ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองด้วย
ในวิกฤติการเมืองไทยกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา บทบัญญัติพิทักษ์รัฐธรรมนูญนี้กลายเป็นช่องทางที่กลุ่มการเมืองบางกลุ่มใช้ร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญ ว่ามีผู้กระทำการล้มล้างการปกครอง หรือพยายามให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยไม่เป็นไปตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย จนแทบจะเรียกได้ว่าคดีความประเภทนี้ ที่อาจจะเรียกรวมกันง่ายๆ ว่า ‘คดีล้มล้างฯ’ กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมืองประจำวันไปแล้ว
ผลก็คือคำวินิจฉัยจำนวนมากที่วินิจฉัยว่าการกระทำบางอย่างเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือให้ได้มาซึ่งอำนาจฯ นำไปสู่การลงโทษทางการเมือง และความรับผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
แต่ผลของคดีล้มล้างการปกครองนั้นกว้างขวางออกไปกว่าผลร้ายที่เกิดแก่ปัจเจกบุคคลหรือพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งในคดีเท่านั้น ความรุนแรงของคดีล้มล้างการปกครองยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบายบางประการอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสองด้านหลักๆ คือ ความพยายามริเริ่มแก้ไขมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และการนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง
ที่มาของแนวคิดพิทักษ์ระบอบการปกครอง
คดีล้มล้างการปกครองมาจากแนวคิดประชาธิปไตยป้องกันตนเอง (Militant Democracy, Defensive Democracy) ซึ่งริเริ่มขึ้นโดยนักนิติศาสตร์ชาวเยอรมัน คือ Karl Loewenstein ผู้ถอดบทเรียนจากการเถลิงอำนาจของพรรคนาซีเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งฉวยโอกาสจากวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติการเมืองในเยอรมนีเพื่อเผยแพร่แนวคิดชาตินิยมแบบฟาสซิสต์ จนสามารถยึดกุมอำนาจรัฐ ต่อต้านนักการเมือง และจุดกระแสความเบื่อหน่ายกับระบอบประชาธิปไตย กระทั่งนำไปสู่สงครามโลกซึ่งแทบทำให้เยอรมนีย่อยยับ
Loewenstein ไม่เห็นด้วยที่ระบอบประชาธิปไตยจะอนุญาตให้บุคคลหรือพรรคการเมืองใช้สิทธิในระบอบประชาธิปไตยเพื่อนำเสนอความเห็นต่างจนนำไปสู่การทำลายประชาธิปไตย อาจบานปลายไปถึงการก่อกบฏ หรือการมีสงครามกลางเมือง ทำให้ประชาธิปไตยต้องล่มสลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ Loewenstein เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยต้องสามารถป้องกันตัวเองจากภัยคุกคามดังกล่าว จึงเสนอให้ประชาธิปไตยมีมาตรการจำกัดสิทธิเสรีภาพบางอย่างของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล หากเห็นว่าการใช้สิทธิเสรีภาพนั้นจะเป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตย เช่น การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก หรือการยุบพรรคการเมือง เป็นต้น[1]Karl Loewenstein, ‘Militant Democracy and Fundamental Rights, I, II’ in Andras Sajo (ed), Militant Democracy (Eleven International Publishing 2004), 231-262.
ปัจจุบัน แนวคิดเรื่องประชาธิปไตยปกป้องตนเองได้แพร่กระจายไปทั่วโลก เพื่อปกป้องประชาธิปไตยจากภัยคุกคามรูปแบบต่างๆ กันไป โดยภาพรวม ภัยคุกคามจากการใช้กำลังล้มล้างการปกครองโดยเปิดเผยนั้นลดลงไปมากแล้ว แต่ที่เพิ่มมากขึ้นคือ ภัยคุกคามที่ไม่ชัดเจนนักอันเกิดจากพรรคการเมืองหรือกลุ่มบุคคลที่สมาทานแนวคิดอำนาจนิยม หรือต่อต้านคุณค่าหลักของรัฐนั้น เช่น การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายเพื่อทำลายเอกราชหรืออธิปไตยของรัฐ การมีแนวคิดแบ่งแยกดินแดน การมีแนวคิดสุดโต่งทางศาสนา หรือการมีแนวคิดขัดต่อหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย เป็นต้น ซึ่งทุกกรณีล้วนเป็นภัยที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายประชาธิปไตยให้ค่อยๆ เสื่อมลง[2]เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง, ปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 … Continue reading
ในประเทศไทย รัฐธรรมนูญฉบับถาวรสามฉบับหลังล้วนแต่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองทั้งสิ้น โดยเมื่อแรกที่จะบัญญัติมาตรานี้ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์เพื่อ “ต่อต้านการใช้กำลังเข้าล้มล้างการปกครอง” ซึ่งหมายความรวมถึงการรัฐประหารด้วย ทว่าในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันไปบ้าง ดังนี้
รัฐธรรมนูญ 2540
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติไว้ว่า
“มาตรา 63 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้
ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้รู้เห็นการกระทำดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้”
รัฐธรรมนูญ 2550
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติไว้ว่า
“มาตรา 68 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้
ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้พรรคการเมืองใดเลิกกระทำการตามวรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองตามวรรคสาม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบในขณะที่กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งดังกล่าว”
จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติในมาตรา 68 นี้มีข้อความเหมือนกับมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับพุทธศักราช 2540 แทบทุกประการ เพียงแต่มีการเพิ่มถ้อยความเกี่ยวกับระยะเวลาในการเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หากเกิดกรณีของการยุบพรรคการเมืองไว้ในวรรคที่สี่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เฉพาะในรัฐธรรมนูญ 2550 นี้ มีมาตรา 237 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยุบพรรคการเมืองเป็นการเฉพาะด้วย คือ
“มาตรา 237 ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ใดกระทำการ ก่อ หรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา หรือระเบียบหรือประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของบุคคลดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
ถ้าการกระทำของบุคคลตามวรรคหนึ่ง ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารของพรรคการเมืองผู้ใด มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้ว มิได้ยับยั้งหรือแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ตามมาตรา 68 และในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองดังกล่าวมีกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันที่มีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมือง”
รัฐธรรมนูญ 2560
ส่วนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน ก็ยังคงมีการบัญญัติเนื้อหาในส่วนของสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญไว้ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติไว้ในมาตรา 49 ว่า
“มาตรา 49 บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้
ผู้ใดทราบว่ามีการกระทำตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้
ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดำเนินการภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่ได้รับคําร้องขอ ผู้ร้องขอจะยื่นคําร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้
การดำเนินการตามมาตรานี้ไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการตามวรรคหนึ่ง”
บทบัญญัติว่าด้วยสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญที่ได้ตราไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา โดยหลักแล้วมีเนื้อความที่เหมือนกันคือ การวางหลักว่าบุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ และหากผู้ใดทราบว่ามีการกระทำตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้ และในกรณีที่พรรคการเมืองเป็นผู้กระทำ ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นลงได้ ซึ่งเจตนารมณ์ในการบัญญัติมาตรานี้ขึ้นมาก็เป็นไปเพื่อป้องกันการล้มล้างการปกครองในรูปแบบของการรัฐประหาร
คำถามที่ใหญ่กว่ากระบวนการ คือคำถามว่า รัฐธรรมนูญต้องการให้พิทักษ์อะไร จะเห็นว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติคุ้มครองประชาธิปไตยอันมีความหมายทั่วไป แต่ระบุชัดเจนว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองของประเทศไทยโดยเฉพาะ ส่วนอะไรคือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น คือจุดที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องเข้ามาตีความในคดีล้มล้างฯแต่ละครั้งว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในจินตนาการของศาลรัฐธรรมนูญนั้นหน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่
สถิติและรายละเอียดคดีล้มล้างการปกครอง
แม้สิทธิในการพิทักษ์ระบอบการปกครองจะมีมาตั้งแต่ปี 2540 คดีล้มล้างเริ่มเกิดขึ้นจริงๆ ตั้งแต่ปี 2549 อันเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติการเมืองไทยนับแต่นั้นมา โดยมีคดีทั้งหมดจำนวน 13 คดี
- คำวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ 3-5/2550 เรื่อง อัยการสูงสุดขอให้มีคำสั่งยุบพรรคพัฒนาชาติไทย พรรคแผ่นดินไทย และพรรคไทยรักไทย
- คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2551 เรื่อง อัยการสูงสุดขอให้มีคำสั่งยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย
- คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2551 เรื่อง อัยการสูงสุดขอให้มีคำสั่งยุบพรรคชาติไทย
- คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2551 เรื่อง อัยการสูงสุดขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคพลังประชาชน
- คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 15/2553 เรื่อง นายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์
- คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 18-22/2555 เรื่อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 (คดีรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ)
- คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 เรื่อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 (คดีรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ)
- คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2557 เรื่อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 (คดีรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ)
- คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2562 เรื่อง คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ
- คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 1/2563 เรื่อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 (คดีอิลลูมินาติ)
- คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 เรื่อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 (คดีชุมนุมธรรมศาสตร์) และ
- คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 เรื่อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 (คดีพรรคก้าวไกลแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112)
- คำสั่งศาลรัฐธรมนูญที่ 20/2557 เรื่อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 (การชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส)
ผลแห่งคดีนั้นอาจแบ่งได้เป็นสามกลุ่ม คือ (ก) กลุ่มที่ศาลรัฐธรรมนูญจำหน่ายคดีหรือยกคำร้อง (ข) กลุ่มที่คดีที่ไม่เป็นการล้มล้างการปกครอง แต่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และ (ค) กลุ่มที่เป็นการล้มล้างการปกครอง
(ก) คดีที่ไม่เป็นการล้มล้างการปกครอง
คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าไม่เป็นการล้มล้างการปกครอง หรือจำหน่ายคดีนั้น ประกอบไปด้วย (1) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 15/2553 เรื่อง การยุบพรรคประชาธิปัตย์ (2) คำสั่งศาลรัฐธรมนูญที่ 20/2557 และ (3) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 1/2563 คดีอิลลูมินาติ
กรณีการยื่นยุบพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการรับผลประโยชน์อื่นใดที่อาจคำนวณเป็นเงินได้ผ่านการทำนิติกรรมอำพราง และใช้จ่ายเงินสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และทำรายงานการใช้จ่ายเงินต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งไปโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยกคำร้อง เนื่องจากกระบวนการยื่นคำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนในกรณีของการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เป็นการวินิจฉัยในการกระทำเองเลย เมื่อมีผู้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุติการชุมนุม เนื่องจากการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. นอกจากจะเรียกร้องให้รัฐบาลถอนร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแล้ว ยังมีการให้บริษัทเอกชน หน่วยงานราชการ และสถาบันการศึกษาหยุดการดำเนินการ และให้พ่อค้าและนักธุรกิจหยุดจ่ายภาษี การชุมนุมลุกลามบานปลายกลายเป็นการเข้ายึดและปิดล้อมสถานที่ราชการ เป็นเหตุให้ข้าราชการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ รวมถึงมีเหตุการณ์การปะทะกันโดยการใช้อาวุธสงคราม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับไม่รับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย โดยให้เหตุผลว่าเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมเพื่อแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางการเมือง และแสดงความไม่ไว้วางใจรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดินโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ท้ายที่สุดจึงนำมาสู่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ในคดีอิลลูมินาติ ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าข้อกล่าวหาต่างๆ นั้นยังไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอจะรับฟังได้ว่าพรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์ แนวคิด ทัศนคติ เป็นขบวนการปฏิกษัตริย์นิยม ซึ่งแตกต่างจากกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคเดียวกัน
(ข) คดีที่ไม่เป็นการล้มล้างการปกครอง แต่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
คดีกลุ่มนี้ได้แก่ (1) คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 18-22/2555 (2) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 และ (3) คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2557 ซึ่งเป็นเรื่องการพยายามแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น โดยคำวินิจฉัยแรกนั้นเป็นกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อจัดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เลย เมื่อไม่สำเร็จ รัฐบาลเพื่อไทยได้พยายามแก้ไขเพิ่มเติมรายมาตราในส่วนของวิธีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา และกระบวนการทำหนังสือสัญญากับนานาอารยประเทศ อันเป็นที่มาของคำวินิจฉัยในปี 2556 และ 2557
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าความพยายามแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 โดยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระหว่างช่วงปี 2555 ถึง 2557 นั้น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่าข้อเท็จจริงแห่งคดียังไม่อาจเห็นได้ชัดเจนว่าจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง แต่ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลในด้านกระบวนการไว้ว่า เมื่อรัฐธรรมนูญนั้นมีที่มาจากการทำประชามติ ถ้าจะแก้ไขเพิ่มเติมก็ควรทำประชามติเสียก่อน และต่อมา ในด้านเนื้อหา ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า เป็นการขัดหรือแย้งกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเอง จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ถึงขั้นเป็นการล้มล้างการปกครอง
คดีกลุ่มนี้น่าสนใจมากเมื่อเทียบกับคดีล้มล้างการปกครองด้านล่าง เนื่องจากลักษณะเนื้อหาของการกระทำนั้น หากอ่านตามที่ศาลรัฐธรรมนูญบรรยาย เช่น การแก้ไขเพิ่มเติมวิธีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา หรือการแก้ไขเพิ่มเติมกระบวนการทำหนังสือสัญญากับนานาอารยประเทศ ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นการทำลายกลไกตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ก็น่าจะเป็นความผิดที่รุนแรงยิ่งไปกว่าการทุจริตเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นการแก้ไขกติกาสูงสุดในการปกครองประเทศ ในขณะที่การทุจริตเลือกตั้งนั้น อาจมองได้ว่าเป็นการ “โกง” กติกา แต่ไม่ได้แก้ไขกติกานั้น แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับสรุปว่า ความพยายามแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพียงแค่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ถึงขั้นล้มล้างการปกครอง
(ค) คดีที่เป็นการล้มล้างการปกครอง
ในคดีกลุ่มนี้ เราอาจจะแบ่งคดีทั้งหมดออกเป็นสี่กลุ่มใหญ่ คือ 1) คดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของพรรคการเมืองและกระบวนการการเลือกตั้ง 2) คดีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมหรือการชุมนุม 3) คดีที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมายหรือการกระทำทางนิติบัญญัติ และ 4) คดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์
คดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของพรรคการเมืองและกระบวนการการเลือกตั้ง
กรณีของพรรคไทยรักไทย ที่มีการว่าจ้างพรรคเล็ก 2 พรรค คือ พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทยส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเพื่อหลีกเลี่ยงกรณีมีผู้สมัครเพียงคนเดียวและได้คะแนนน้อยกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นๆ รวมถึงการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งปลอมแปลงข้อมูลในเอกสาร หรือการจัดทำเอกสารอันเป็นเท็จอื่นๆ
ต่อมาคือกรณีพลังประชาชน ที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรค กระทำการโดยทุจริตทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม โดยมีผู้พบเห็นกลุ่มกำนันในอำเภอแม่จัน เดินทางมาพบนายยงยุทธ และน่าเชื่อว่าจะต้องมีการสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่กลุ่มกำนันดังกล่าว เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค เช่นเดียวกับพรรคมัชฌิมาธิปไตย และพรรคชาติไทย ที่มีผู้พบเห็นว่ากรรมการบริหารพรรคทั้งสอง ได้ก่อให้ผู้อื่นกระทำ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจ ให้หัวคะแนนของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งกระทำการทุจริตด้วยการให้เงิน หรือเตรียมจะมีการให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในวันเลือกตั้งล่วงหน้า เพื่อจูงใจหวังเอาคะแนนเสียงให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคในพื้นที่เขตเลือกตั้งในจังหวัดชัยนาทและปราจีนบุรี
คดีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมหรือการชุมนุม
ในกรณีการชุมนุมของคณะราษฎร 2563 แม้จะไม่ได้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงจนก่อให้เกิดความเสียหายในทางชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินระหว่างการชุมนุม แต่เนื้อหาหลักในการปราศรัยนั้นกล่าวถึงพระราชสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชอำนาจอื่นๆ ซึ่งไม่เคยปรากฏมีมาก่อนในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองไทย ศาลรัฐธรรมนูญจึงมองว่าการชุมนุมนี้สร้างความกระทบกระเทือนให้กับสถาบันทางจารีตประเพณีของประเทศ และไม่สามารถยอมรับว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบได้ และการก้าวล่วงไปถึงพระราชอำนาจไม่ว่าจะในทางใดก็ตาม ในทัศนะของศาลรัฐธรรมนูญมองว่าเป็นการดูหมิ่น ให้ร้าย และมีเจตนาที่ไม่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงวินิจฉัยให้การชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร 2563 เป็นการกระทำที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง และให้เลิกการกระทำดังกล่าวลง รวมถึงไม่ให้จัดการชุมนุมที่มีเนื้อหาการปราศรัยลักษณะดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคตด้วย
คดีที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมายหรือการกระทำทางนิติบัญญัติ
หากการแก้ไขกฎหมายมีผลกระทบต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์นั้นจะไม่สามารถกระทำได้ แม้ว่าจะเป็นการกระทำทางนิติบัญญัติโดยชอบ เช่น กรณีของพรรคก้าวไกลที่ยื่นญัตติขอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าถือเป็นการลดทอนคุณค่า การคุ้มครอง และสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้ นำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา
คดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์
หากมีการกระทำที่กระทบกระเทือนอย่างใดอย่างหนึ่งต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็จะถูกวินิจฉัยให้เป็นการล้มล้างการปกครองอยู่เสมอ เช่น กรณีของพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นเสนอพระนามของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นบุคคลที่พรรคมีมติจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการขัดต่อประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ก็ไม่ได้มีกฎหมายฉบับใดบัญญัติห้ามเอาไว้อย่างชัดเจน ฉะนั้นการที่พระบรมวงศานุวงศ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองอาจเป็นการไม่เหมาะสมกับประเพณีการปกครอง แต่ก็ไม่ถือเป็นการขัดต่อกฎหมาย การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้จึงเป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายลายลักษณ์อักษรด้วยจารีตประเพณีและส่งผลให้เป็นการลงโทษบุคคล ซึ่งในทางระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั้นไม่สามารถกระทำได้
จะเห็นว่าในส่วนคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น แบ่งได้เป็นการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย คือ การเลือกตั้งและการดำเนินงานของพรรคการเมือง กับการพิทักษ์สถานะความเป็นประมุขของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นคดีอีกสามประเภทที่เหลือ คดีประเภทสุดท้ายคือการเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ นั้น อาจจัดเป็นคดีก้ำกึ่งระหว่างการรักษาหลักการของระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่อนุญาตให้พระบรมวงศานุวงศ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง หรือรักษาสถานะประมุขของพระมหากษัตริย์ด้วยก็ได้ เนื่องจากรักษาหลักการอยู่เหนือการเมือง
ผลของคดีล้มล้างการปกครองต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะ
ด้วยถ้อยคำตัวบทที่กว้างขวางไม่ชัดเจน แนวทางการตีความของศาลรัฐธรรมนูญที่ดูจะไม่มีมาตรฐาน และบทลงโทษที่รุนแรง ทุกครั้งที่มีข่าวว่าพรรคการเมือง คณะบุคคล หรือบุคคลใดถูกกล่าวหาว่ากระทำการล้มล้างการปกครองฯ ก็จะกลายเป็นข่าวใหญ่ เนื่องจากมีผลกระทบทางการเมืองสูง สามารถเปลี่ยนพลวัตทางการเมืองไทยไปได้อย่างที่นึกไม่ถึง คำถามคือ นอกจากการเปลี่ยนรัฐบาลหรือขั้วพลังการเมืองแล้ว คดีล้มล้างการปกครองฯ เหล่านี้มีอิทธิพลต่อวิธีคิด และการกระทำของผู้กำหนดนโยบายด้วยหรือไม่
คดีบางคดีอาจเกิดขึ้นในเงื่อนไขพิเศษเฉพาะตัว เช่น การเสนอชื่อสมาชิกพระราชวงศ์เพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือการกู้ยืมเงินจากหัวหน้าพรรค ซึ่งคงยากที่จะเกิดซ้ำ ในคดีที่เหลือ คดีสองกลุ่ม คือ คดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของพรรคการเมืองและกระบวนการการเลือกตั้ง และคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น มีผลต่อการกำหนดนโยบายที่แตกต่างกัน
คดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของพรรคการเมืองและกระบวนการการเลือกตั้ง
คดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของพรรคการเมืองและกระบวนการเลือกตั้ง หรือคดีส่วนที่พิทักษ์กระบวนการประชาธิปไตยและพรรคการเมืองนั้นนำไปสู่การปรับตัวขนานใหญ่หลังการยุบพรรคการเมืองในปี 2551 พรรคการเมืองเริ่มปรับโครงสร้างองค์กรตัวเอง ที่เห็นได้ชัดคือตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งโดยปกติแล้ว ควรเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดขององค์กร และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองว่า หัวหน้าพรรคการเมืองคือว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคนั้นๆ แต่พรรคการเมืองไทยจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงจะถูกยุบพรรคและผู้บริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมืองห้าปีนั้น ‘เก็บ’ บุคคลสำคัญของพรรคตนเองที่อาจมีโอกาสดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ให้นั่งในตำแหน่งบริหาร จึงเกิดเหตุการณ์ที่นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาลนั้น เป็นคนละคนกัน
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือพรรคเพื่อไทย ในระหว่างปี 2554-2557 ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น หัวหน้าพรรคคือ สุชาติ ธาดาดำรงเวช, ยงยุทธ วิชัยดิษฐ, จารุพงษ์ เรืองสุวรรณ ล้วนแต่ไม่อยู่ในสถานะผู้ที่จะถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี และช่วงหลังปีรัฐประหาร 2557 พรรคเพื่อไทยก็ได้จัดให้บุคคลสำคัญของพรรคไปอยู่ในตำแหน่งต่างๆ แต่ไม่ใช่ตำแหน่งผู้บริหารพรรค เช่น ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ผู้อำนวยการพรรค หรือหัวหน้าครอบครัว
แต่นอกจากการจัดผังองค์กรใหม่แล้ว คดีล้มล้างการปกครองส่งผลต่อพฤติกรรมของพรรคการเมืองให้ลด หรือเลิกการทุจริตการเลือกตั้งหรือไม่ ดูเหมือนว่าคดีในส่วนของการทุจริตของพรรคการเมืองและกระบวนการเลือกตั้งนั้น ส่งผลน้อยมากต่อพฤติกรรมของพรรคการเมืองและนักการเมืองในการเลือกตั้ง
หลังจากการยุบพรรคในปี 2551 ซึ่งเป็นผลมาจากการเลือกตั้งทั่วไป 2550 ประเทศไทยได้ผ่านการเลือกตั้ง เฉพาะการเลือกตั้งทั่วไป ในปี 2555, 2557, 2562, และ 2566 ซึ่งถ้าไม่นับการเลือกตั้งปี 2557 แล้ว ประเทศไทยมีการเลือกตั้งทั่วไปอีกสามครั้ง มาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 นั้นถูกยกเลิกไปในการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 แต่ครั้นเมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ประกาศใช้ มาตรา 237 ก็กลับมาในรูปของมาตรา 132 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 แต่ที่น่าสังเกตคือ ในขณะที่มาตรา 132 ให้ถือว่าการที่หัวหน้าพรรค หรือคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปด้วยสุจริตแต่มิได้ยับยั้งหรือแก้ไขนั้น ยังมีโทษถึงขั้นยุบพรรค แต่ไม่ได้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ภายหลังจากการยุบพรรคครั้งใหญ่สามพรรคในปี 2551 ก็มิได้มีการยุบพรรคการเมืองด้วยเหตุหัวหน้าพรรคหรือคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองรู้เห็นหรือปล่อยปละให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งกระทำการให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตอีก ทั้งที่ในการเลือกตั้งอีกสามครั้งต่อมา ก็ยังมีการร้องทุกข์กล่าวโทษผู้สมัครว่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งอีกเรื่อยๆ คงกล่าวไม่ได้เต็มปากว่าการเมืองไทยนั้นโปร่งใสหรือขาวสะอาดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ข่าวการเลือกตั้งเต็มไปด้วย ‘บ้านใหญ่’ ‘ระบบอุปถัมภ์’และ ‘หัวคะแนน’
ในการเลือกตั้งปี 2562 นั้น มีผู้ร้องเรียนการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งถึง 592 เรื่อง ซึ่งนำไปสู่การดำเนินคดีและยื่นต่อศาล 25 สำนวน และในการเลือกตั้งปี 2566 มีผู้ร้องเรียนการกระทำผิดถึง 365 เรื่อง นำไปสู่การดำเนินคดีอาญาอย่างน้อย 13 สำนวน[3]‘สถิติคําร้อง/สํานวนเรื่องคัดค้านการเลือกตั้ง ในสารบบของกลุ่มภารกิจสืบสวนสอบสวน’ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (18 สค 2568) … Continue reading แต่กระนั้น ไม่มีการโยงการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเข้ากับหัวหน้าพรรคหรือคณะกรรมการบริหารพรรค
อย่างไรก็ดี ควรตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่า การวัดประเมินการทุจริตเลือกตั้งนั้นกระทำได้ยาก การร้องเรียนผู้สมัครนั้นอาจจะเป็นข่าว แต่กว่าจะถึงขั้นวินิจฉัยลงโทษนั้นเวลาผ่านไปจนไม่เป็นข่าวแล้ว ในขณะเดียวกัน ก็มีคำถามว่าปริมาณสถิติคดีนั้นสะท้อนจำนวนการกระทำผิด หรือประสิทธิภาพและความกระตือรือร้นขององค์กรผู้จัดการเลือกตั้งกันแน่ เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้นต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องความไร้ประสิทธิภาพและความไม่เป็นกลางในการจัดการเลือกตั้งครั้งหลังๆ
คดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์
คดีในกลุ่มนี้ที่สำคัญ คือ คดีการชุมนุมของคณะราษฎร 2563 และกลุ่มคดีพรรคก้าวไกลที่ยื่นญัตติขอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคดีการชุมนุมของม็อบราษฎร ในช่วงปลายปี 2564 การชุมนุมนั้นได้อยู่ในจุดซบเซาถึงขีดสุดแล้วอันเป็นผลมาจากการใช้ความรุนแรงในการปราบปรามผู้ชุมนุม ผสมกับการใช้นิติสงครามเพื่อจัดการกับแกนนำการชุมนุมอย่างเด็ดขาด จนกล่าวได้ว่า คำวินิจฉัยซึ่งสั่งให้ผู้ชุมนุมเลิกพูดถึงการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์นี้ไม่จำเป็นอีกต่อไป และหลังจากปี 2564 ก็ไม่ได้มีการชุมนุมขนาดใหญ่เกิดขึ้นมาอีก
ในทางตรงกันข้าม คำวินิจฉัยคดีพรรคก้าวไกลนั้น มีผลกว้างขวางกว่าที่คำวินิจฉัยระบุไว้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในคำวินิจฉัยที่ 3/2567 ว่าให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ การแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย
แม้คำวินิจฉัยจะระบุว่าห้ามความพยายามแก้ไขกฎหมายด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบ ซึ่งแปลได้ว่าถ้ายังจะพยายามแก้ไขกฎหมายด้วยกระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบก็สามารถทำได้ แต่เนื่องจากกระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบคืออะไรนั้นไม่มีใครทราบแน่ชัด ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเองก็ไม่ได้อธิบายไว้ให้กระจ่าง ทั้งในและนอกบัลลังก์ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ร่วมกับคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล นำไปสู่การดำเนินคดีจริยธรรมนักการเมืองโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งมีโทษร้ายแรงถึงขั้นตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต ผลของคำวินิจฉัยนี้คือการห้ามพรรคการเมืองรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
แม้พรรคก้าวไกล หรือในเวลาต่อมาคือพรรคประชาชน จะแถลงว่า ไม่ได้ละทิ้งความพยายามจะแก้ไขมาตรา 112 แต่ในความเป็นจริงเรียกได้ว่าคำวินิจฉัยนี้ปิดประตูความพยายามใดๆ ที่จะแตะต้องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ในส่วนของพรรคการเมืองอื่นนั้น คำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ได้มีผลต่อนโยบายมากนัก เนื่องจากมีจุดยืนร่วมกันตั้งแต่ปี 2566 แล้วว่าจะไม่แตะต้องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แม้แต่พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล และเคยกล่าวในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งว่าจะแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ก็แสดงจุดยืนชัดเจนระหว่างการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลว่าจะไม่แตะต้องมาตรา 112
แต่คำวินิจฉัยคดีนี้ถูกอ่านขยายความออกไปเกินกว่าแค่ความพยายามแก้ไขกฎหมายเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากกรณีความพยายามเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมคดีการเมืองในช่วงปี 2566-2568 แม้การนิรโทษกรรมจะเป็นการลบล้างเฉพาะผลแห่งคดี โดยไม่แตะต้องมาตรา 112 แม้แต่น้อย แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่เห็นด้วยกับการรวมนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ไว้ในร่างกฎหมายด้วยนั้นก็มักจะยกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ว่าการนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองมาตรา 112 เป็นการฝ่าฝืนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และอาจจะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองใดก็ตามที่เห็นชอบการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112
การยกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ขึ้นมาเพื่อขัดขวางการนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองคดี มาตรา 112 นั้นเกิดขึ้นทั้งระหว่างการพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ทั้งที่ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ นั้นไม่ได้แนะนำให้นิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 เพียงแต่ระบุไว้ว่าฐานความผิดเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และมาตรา 112 ยังเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวและเป็นเรื่องของความมั่นคงของรัฐ คณะกรรมาธิการฯ เสนอว่ารัฐบาลควรให้อัยการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามกระบวนการยุติธรรมปกติ โดยคำนึงถึงเกณฑ์การประกันตัว ปล่อยตัวชั่วคราว และจัดหาทนายให้แก้ผู้ต้องหา ในคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล หากฐานความผิดของจำเลยอาจได้รับการนิรโทษกรรม ให้ศาลอาจใช้ดุลพินิจเลื่อนคดีหรือจำหน่ายคดีชั่วคราว และอาจใช้ดุลพินิจปล่อยตัวชั่วคราวในขณะนี้
น่าเสียดายที่ในวันที่ 24 ตุลาคม 2567 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่เห็นชอบกับข้อสังเกตดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงไม่เห็นชอบ 270 เสียง เห็นชอบ 152 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง โดยมี สส. จากพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรคอภิปรายไม่เห็นด้วยกับข้อสังเกตโดยยกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องการ ‘ล้มล้างการปกครอง’ ขึ้นมาประกอบด้วย[4]‘สรุป 7 ไฮไลท์รายงาน กมธ. นิรโทษกรรม ฉบับล่าสุด จัดให้ ม.112 เป็น “คดีอ่อนไหว”’ บีบีซี ภาคภาษาไทย (3 ตค 2567) https://www.bbc.com/thai/articles/c62m0l6lvzvo.
ต่อมา ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็ลงคะแนนเสียงไม่รับร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมคดีการเมืองฉบับพรรคประชาชน และฉบับเครือข่ายภาคประชาชน ซึ่งรวมการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ด้วย ตั้งแต่ในวาระหนึ่ง เห็นชอบเฉพาะร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่ไม่รวมคดีมาตรา 112 จำนวนสามร่างเท่านั้น ในระหว่างการอภิปรายได้มีรายงานว่า สส. บางส่วนได้ยกคำวินิจฉัยคดีล้มล้างการปกครองขึ้นมาเป็นเหตุอ้างไม่ยอมรับการนิรโทษกรรมมาตรา 112 ด้วย [5]‘Fact Check แก้มาตรา 112 ด้วยกลไกสภาไม่เท่ากับล้มล้างการปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญไม่เคยห้าม และห้ามไม่ได้’ iLAW (11 กค 2568) <https://www.ilaw.or.th/articles/53207>.
ทั้งสองครั้ง การอ้างคดีเป็นการอ้างแบบผิดฝาผิดตัว แต่ก็คาดหมายได้ว่า หากมีการนิรโทษกรรมคดีการเมืองเกิดขึ้นจริง คดีตามมาตรา 112 จะไม่ถูกนำมารวมด้วย
บทสรุป
คดีล้มล้างการปกครองนั้นอาจทำลายเสถียรภาพทางการเมือง กระทบสิทธิของผู้ที่ถูกร้องจำนวนมาก และรุนแรง แต่ทั้งหมดที่กระทำลงไปนั้น แทบไม่ส่งผลในทางนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในทางที่จะส่งเสริมคุณภาพประชาธิปไตยให้มั่นคงยิ่งขึ้น
คดีล้มล้างการปกครองในช่วงแรก (2549-2551) ดูจะเน้นไปที่การพิทักษ์กระบวนการการเลือกตั้งและพรรคการเมือง คือการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย แต่ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา คดีส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการพิทักษ์สถานะความเป็นประมุขของพระมหากษัตริย์ แม้แต่คดีที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองและกระบวนการนิติบัญญัติ ก็จะเกี่ยวกับการพิทักษ์พระมหากษัตริย์เสียมากกว่า
ความเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นโดยจงใจ แต่ก็สะท้อนว่าจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งทางการเมืองไทยนั้นเคลื่อนย้ายจากกระบวนการประชาธิปไตยไปสู่ข้อถกเถียงเรื่องสถานะของประมุขประเทศ แม้แต่รัฐธรรมนูญเองก็ไม่ได้เห็นว่าการมีส่วนรู้เห็นกับการทุจริตเลือกตั้งจะเป็นการกระทำให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอีกต่อไป
ความตื่นตระหนกที่พรรคการเมืองและสาธารณะมีต่อคดีล้มล้างการปกครองในช่วงแรกที่มีการยุบพรรคการเมืองอย่างกว้างขวางนั้น ไม่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางนโยบายหรือพฤติกรรมของพรรคการเมืองอย่างมีนัยยะสำคัญ นอกไปเสียจากความพยายาม ‘เก็บ’ ตัวหลักจากตำแหน่งสำคัญในพรรคการเมืองเพื่อเลี่ยงผลร้ายจากคดี แต่อาจกล่าวได้ว่า นอกไปจากนั้นแล้ว ระดับความสุจริตโปร่งใสของการเลือกตั้งและระบบพรรคการเมืองโดยรวมนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลงมากกว่าจะดีขึ้น
ในทางตรงกันข้าม คดีล้มล้างการปกครองในช่วงที่สองนำไปสู่ข้อสรุปอันเป็นฉันทามติร่วมกันของพรรคการเมืองเกือบทั้งหมด ว่าจะไม่แตะต้องมาตรา 112 ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย หรือการนิรโทษกรรมคดี ซึ่งการมีอยู่ของมาตรา 112 ในลักษณะปัจจุบัน และคดีความที่ยังดำเนินอยู่ โดยมีผู้ถูกแจ้งความเอาผิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั้น ไม่แน่ว่าจะส่งเสริมให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นเข้มแข็งมากขึ้นหรือไม่ ในเมื่อมาตรา 112 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเป็นเครื่องมือพิทักษ์พระมหากษัตริย์นั้น กระทบเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ซึ่งเสรีภาพในการแสดงออกเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยโดยตรง
↑1 | Karl Loewenstein, ‘Militant Democracy and Fundamental Rights, I, II’ in Andras Sajo (ed), Militant Democracy (Eleven International Publishing 2004), 231-262. |
---|---|
↑2 | เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง, ปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ศึกษากรณีการยุบพรรคการเมืองอันเนื่องมาจากการกระทำความผิด, (สถาบันพระปกเกล้า 2560) บทที่ 3. |
↑3 | ‘สถิติคําร้อง/สํานวนเรื่องคัดค้านการเลือกตั้ง ในสารบบของกลุ่มภารกิจสืบสวนสอบสวน’ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (18 สค 2568) https://www.ect.go.th/web-upload/1xff0d34e409a13ef56eea54c52a291126/m_document/2032/28752/file_download/8332ffc5ac3c15e62c4204eec17db399.pdf |
↑4 | ‘สรุป 7 ไฮไลท์รายงาน กมธ. นิรโทษกรรม ฉบับล่าสุด จัดให้ ม.112 เป็น “คดีอ่อนไหว”’ บีบีซี ภาคภาษาไทย (3 ตค 2567) https://www.bbc.com/thai/articles/c62m0l6lvzvo. |
↑5 | ‘Fact Check แก้มาตรา 112 ด้วยกลไกสภาไม่เท่ากับล้มล้างการปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญไม่เคยห้าม และห้ามไม่ได้’ iLAW (11 กค 2568) <https://www.ilaw.or.th/articles/53207>. |