ศาลรัฐธรรมนูญในฐานะผู้ตรวจสอบอำนาจนิติบัญญัติ (Judicial Review)
กว่าสองทศวรรษภายใต้ปรากฏการณ์ตุลาการภิวัฒน์ ภาพลักษณ์ของศาล โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญนั้น ตกต่ำลงไปไม่น้อย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค ตัดสิทธินักการเมือง หรือขัดขวางกระบวนการนโยบายที่สำคัญ การใช้อำนาจตุลาการจึงถูกจับตามองด้วยความเคลือบแคลงใจว่าเป็นปัจจัยสร้างวิกฤติการเมืองมากกว่าจะเป็นอำนาจที่ช่วยพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญให้ยั่งยืน ตราบใดที่วิกฤติการเมืองยังดำเนินต่อไปและผู้เล่นหลายรายยินดีที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญช่วยเข้ามาจัดการความขัดแย้งแทนตนเอง ภาพของศาลรัฐธรรมนูญย่อมเป็นภาพของศาลการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปรากฏการณ์ตุลาการภิวัฒน์ทำให้เราหลงลืมไปว่า อำนาจตุลาการไม่จำเป็นต้องเป็นพลังเชิงลบเสมอไป ศาลรัฐธรรมนูญสามารถเป็นพลังช่วยสร้างสรรค์การเมืองให้ดีขึ้นได้ ด้วยการทำหน้าที่ถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายการเมืองเพื่อพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของพลเมือง ศาลรัฐธรรมนูญสามารถเป็นสถาบันที่เป็นอิสระและได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงได้เช่นกัน ขึ้นกับวิธีการใช้อำนาจที่ตนเองถืออยู่ในมือ
ในปัจจุบัน งานศึกษาศาลรัฐธรรมนูญไทยส่วนใหญ่ยังมุ่งไปยังคำวินิจฉัยที่มีผลกระทบต่อการเมืองสูง (mega-political cases) [1]Khemthong Tonsakulrungruang ‘Constitutional Amendment in Thailand: Amending in the Spectre of Parliamentary Dictatorship’ (2019) Journal of Comparative Law, vol. 14, no. 1, 173-187; ‘Entrenching the Minority: The Constitutional Court in Thailand’s Political Conflict’ (2017) Washington International Law Journal, vol. 26 no. 2, 247-268; Eugenie Merieau, ‘Democratic Breakdown through … Continue reading คำวินิจฉัยกลุ่มนี้แม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่มีผลกระทบสูง จึงได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน ประชาชน และนักวิชาการมาก ในขณะที่การศึกษาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้นยังไม่ได้รับความสนใจมากเท่าที่ควร ทั้งนี้คำวินิจฉัยกลุ่มนี้มีจำนวนไม่น้อย แต่บทบาททางการเมืองของศาลรัฐธรรมนูญดึงดูดความสนใจผู้ศึกษาไปจากบทบาทด้านการพิทักษ์สิทธิเสรีภาพเสียเกือบหมด ที่จริงแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิเสรีภาพในกรณีที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองได้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพและเป็นมืออาชีพ[2]กล้า สมุทรวณิช, ขอบเขตอำนาจหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อการส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน … Continue reading
ความยุติธรรมทางอาญาในฐานะนิติธรรมพื้นฐาน
บทความนี้ต้องการรวบรวมและศึกษาคำวินิจฉัยที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในกระบวนการพิจารณาคดีอาญา เนื่องจากกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองชีวิต ร่างกาย รวมถึงทรัพย์สิน กฎหมายอาญาจึงเป็นหนึ่งในกฎหมายพื้นฐานที่สุดที่นักเรียนนิติศาสตร์ทุกคนจะต้องศึกษาในปีแรกๆ และเป็นกฎหมายที่ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจคุ้นเคยดีพอสมควร
เนื่องจากกฎหมายอาญานั้นมีบทลงโทษซึ่งกระทบต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของจำเลย ความยุติธรรมในกฎหมายอาญาจึงมีลักษณะเฉพาะหลายอย่าง อาทิ หลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัย (presumption of innocence) หลักการตีความอย่างเคร่งครัด การไม่ลงโทษซ้ำ (non bis in idem) และหลักการไม่บังคับใช้ย้อนหลังเป็นโทษ (non-retroactivity) ซึ่งหลักการเหล่านี้ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด
สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจึงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สุดของพลเมืองในรัฐเสรีประชาธิปไตย สิทธิพื้นฐานทางอาญานั้นเป็นรากฐานดั้งเดิมของการเรียกร้องนิติธรรมในโลกตะวันตก A. V. Dicey อธิบายลักษณะแรกของหลักนิติธรรมอังกฤษในปี 1885 ว่าหมายถึงบุคคลจะต้องรับโทษทางอาญาก็ต่อเมื่อการกระทำนั้นมีกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นบัญญัติว่าเป็นความผิด ก่อนที่หลักนิติธรรมจะถูกนักนิติศาสตร์รุ่นหลังพัฒนาต่อเติมจนขยายถึงกฎหมายอื่นเป็นการทั่วไป
รัฐธรรมนูญ 2540 นั้นได้บัญญัติสิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาไว้เป็นจำนวนมากจนนำมาซึ่งการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในที่สุด แต่น่าเสียดายที่ผู้ศึกษาเล่าเรียนกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาคดีอาญานั้นมักจะคิดถึงกฎหมายสาขานี้ในฐานะกฎหมายเทคนิคสำหรับตุลาการ อัยการ และทนายความคดี โดยไม่เชื่อมโยงเข้ากับกฎหมายรัฐธรรมนูญ
รายละเอียดคดีรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง
ปรากฏการณ์ตุลาการภิวัฒน์ปรากฏขึ้นชัดเจนในปี 2549 ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นถดถอยของเสรีนิยมประชาธิปไตยในไทย บทความนี้จึงมุ่งศึกษาคำวินิจฉัยภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 และ 2560 ทั้งที่เกี่ยวข้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกฎหมายวิธีสหบัญญัติอื่นๆ ที่มีโทษอาญาเช่นกัน ซึ่งตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นต้นมา ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจำนวน 14 คำวินิจฉัย ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ากฎหมายที่ใช้ในคดีอาญานั้นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญจำนวน 7 คำวินิจฉัย โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. กลุ่มคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
(1) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 12/2555, คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2556, คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 10/2556 และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 11/2556
ในคดีนี้ ผู้ร้องร้องว่า พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 54 อันเป็นบทบัญญัติที่สันนิษฐานให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องรับโทษทางอาญาร่วมกับการกระทำความผิดของนิติบุคคลโดยไม่ปรากฏว่ามีการกระทำหรือเจตนาประการใด อันเกี่ยวกับการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 39 วรรคสอง เนื่องจากในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และ มาตรา 40 (5) ประกอบมาตรา 30 มาตรา 40 (5) บัญญัติว่า ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จำเลย และพยานในคดีอาญา มีสิทธิได้รับความคุ้มครอง และความช่วยเหลือที่จำเป็นและเหมาะสมจากรัฐ ส่วนค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 54 เฉพาะในส่วนที่สันนิษฐานให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องรับโทษทางอาญาร่วมกับการกระทําความผิดของนิติบุคคลโดยไม่ปรากฏว่ามีการกระทําหรือเจตนาประการใดอันเกี่ยวกับการกระทําความผิดของนิติบุคคลนั้น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 39 วรรคสอง เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลในคดีว่า บทบัญญัติดังกล่าว เป็นข้อสันนิษฐานตามกฎหมายที่มีผลเป็นการสันนิษฐานความผิดของจําเลย โดยโจทก์ไม่จําต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงการกระทําหรือเจตนาอย่างใดอย่างหนึ่งของจําเลยก่อน เป็นข้อสันนิษฐานโดยอาศัยสถานะของบุคคลเป็นเงื่อนไข ขัดกับหลักนิติธรรมในการสันนิษฐานความบริสุทธิ์ของจำเลย ทั้งยังเพิ่มภาระ และลิดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหา
คำวินิจฉัยที่ 12/2555 นั้นสำคัญมาก เนื่องจากเป็นคำวินิจฉัยแรกในชุดคำวินิจฉัยลักษณะคล้ายกันอีกสามฉบับ ซึ่งล้วนแต่วินิจฉัยว่า บทสันนิษฐานความผิดของจำเลยนั้น ขัดหรือแย้งกับหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้ถูกกล่าวหาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์จนสิ้นสงสัย (presumption of innocence) นั่นคือ 1) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2556 พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 74 2) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 10/2556 พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 78 และ 3) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 11/2556 พระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 มาตรา 28/4 ซึ่งล้วนเป็นเรื่องบทบัญญัติที่สันนิษฐานให้กรรมการหรือผู้จัดการทุกคนของนิติบุคคลนั้นเป็นผู้ร่วมกระทําผิดกับนิติบุคคลนั้น
(2) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 6-7/2561
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2560 ที่แก้ไขใหม่นั้น มีบทบัญญัติสันนิษฐานความผิดเกี่ยวกับการครอบครองยาเสพติด จากปริมาณยาเสพติดที่จำเลยครอบครอง ซึ่งเป็นคุณต่อจำเลยยิ่งกว่ากฎหมายเก่าที่ถูกแก้ไขไป อย่างไรก็ดี พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 วรรคหนึ่ง เฉพาะในส่วนที่ห้ามมิให้นำมาตรา 15 วรรคสาม มาตรา 17 วรรคสอง และมาตรา 26 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2560 มาใช้บังคับแก่คดีที่ยังไม่ถึงที่สุด
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การที่กฎหมายได้มีการผ่อนคลายบทสันนิษฐานความรับผิดทางอาญาตามกฎหมายให้แก่จำเลย โดยให้จำเลยพิสูจน์หักล้างได้ เป็นคุณแก่จำเลยมากยิ่งขึ้น การที่กฎหมายห้ามมิให้จำเลยมีสิทธิดังกล่าวในกรณีคดียังไม่ถึงที่สุด จึงเป็นการตัดสิทธิจำเลย ไม่ให้จำเลยได้รับประโยชน์จากกฎหมายที่เป็นคุณ ขัดหลักนิติธรรมและความยุติธรรมทางอาญา ทั้งยังกระทบต่อ “หลักสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์” และสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลย พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2560 มาตรา 8 วรรคหนึ่ง เฉพาะในส่วนที่ห้ามมิให้นำมาตรา 15 วรรคสาม มาตรา 17 วรรคสอง และมาตรา 26 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2560 มาใช้บังคับแก่คดีที่ยังไม่ถึงที่สุด จึงขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
(3) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 2/2562
ในคดีนี้ นักกิจกรรมทางการเมืองถูกดำเนินคดีและได้ปฏิเสธการพิมพ์ลายนิ้วมือจึงถูกดำเนินคดีในเรื่องดังกล่าวซ้อนขึ้นไป ฝั่งนักกิจกรรมจึงได้โต้แย้งว่า บทบัญญัติโทษทางอาญา กรณีผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหาปฏิเสธไม่ให้พิมพ์ลายนิ้วมือ/ลายมือ/ลายเท้า ตามคำสั่งของพนักงานสอบสวน/พนักงานอัยการนี้ ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
กฎหมายที่ถูกโต้แย้งคือ ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ฉบับที่ 25 (เรื่องการดำเนินการเกี่ยวกับการยุติธรรมทางอาญา) ลงวันที่ 29 ก.ย. 2549 เฉพาะในส่วนที่กำหนดให้เป็นความผิดและโทษทางอาญา ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่ฝ่าฝืนไม่พิมพ์ลายนิ้วมือมีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขัดหรือแย้งกับ มาตรา 3 (หลักนิติธรรม), มาตรา 26 การจำกัดสิทธิต้องไม่เกินสมควรแก่เหตุและไม่ขัดหลักนิติธรรม, และ มาตรา 28 วรรคหนึ่ง เพราะเมื่อเทียบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 วรรคหนึ่ง กำหนดให้บุคคลผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานมีโทษเพียงจำคุกไม่เกินสิบวันหรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นสิทธิพื้นฐานเฉพาะตัวของบุคคล ไม่ต่างจากการลงลายมือชื่อ แม้บุคคลนั้นจะเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยอยู่ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ย่อมต้องถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ (หลัก presumption of innocence) จึงไม่อาจบัญญัติให้ การไม่ยอมพิมพ์ฯ กลายเป็นความผิดอาญาได้โดยตรง เพราะเกินความจำเป็นและขัดต่อหลักนิติธรรมในการจำกัดสิทธิของบุคคล รัฐอาจใช้มาตรการที่เหมาะสมและพอสมควรเพื่อให้การสืบสวนเดินหน้าได้ แต่ไม่ควรยกระดับเป็นโทษอาญา
2. กลุ่มคำวินิจฉัยที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
(1) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 30/2554
จำเลยร้องว่า มาตรา 177 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 40 (2)
มาตรา 177 บัญญัติว่า ศาลมีอำนาจสั่งให้พิจารณาเป็นการลับ เมื่อเห็นสมควรโดยพลการหรือโดยคำร้องขอของคู่ความฝ่ายใด แต่ต้องเพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันความลับอันเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศมิให้ล่วงรู้ถึงประชาชน ซึ่งจำเลยในคดีเห็นว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 40 (2) ซึ่งบัญญัติว่า บุคคลย่อมมีสิทธิพื้นฐานในกระบวนพิจารณา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักประกันขั้นพื้นฐานเรื่องการได้รับการพิจารณาโดยเปิดเผย
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งกับสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีโดยเปิดเผย เนื่องจากแม้ว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 40(2) จะบัญญัติให้การพิจารณาคดีต้องกระทาโดยเปิดเผย เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรม แต่รัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรคหนึ่ง ก็กําหนดให้มีการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ได้ แต่ต้องกระทำเท่าที่จําเป็นและจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้ ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ถือเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายในลักษณะดังกล่าว
ศาลเห็นว่า ลักษณะคดีอาญาบางประเภท หากมีข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่าถ้ามีการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยต่อสาธารณะแล้วจะกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือความปลอดภัยของประเทศ กฎหมายจึงให้อำนาจศาลสั่งให้พิจารณาเป็นการลับ เพื่อคุ้มครองคู่ความและบุคคลที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการพิจารณาโดยเปิดเผยนั้นได้ อันเป็นการสอดคล้องกับหลักประกันขั้นพื้นฐานที่อารยประเทศพึงให้เป็นสิทธิแก่บุคคลในกระบวนพิจารณาของศาล
(2) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 16/2563
ผู้ร้อง ร้องว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เรื่อง การให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในคดีอาญา และรับฟังพยานบอกเล่า ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า เว้นแต่ (๑) ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้นน่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ หรือ (๒) มีเหตุจำเป็น เนื่องจากไม่สามารถนำบุคคลซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ และมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น
มาตรา 227 ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย และ
มาตรา 227/1 ในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า พยานซัดทอด พยานที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน หรือพยานหลักฐานที่มีข้อบกพร่องประการอื่นอันอาจกระทบถึงความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานนั้น ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน
ผู้ร้องเห็นว่า การที่อนุญาตให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่าได้นั้น ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เรื่องหลักนิติธรรม หลักความเสมอภาค และเสรีภาพของบุคคล และหลักการสันนิษฐานว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาไม่มีความผิด
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า บทกฎหมายดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ พยานหลักฐานใดจะรับฟังได้เพียงใด ขึ้นอยู่กับคุณค่าในเชิงพิสูจน์ข้อเท็จจริงของพยานหลักฐานชนิดนั้น โดยศาลเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการพิสูจน์ความจริงและมีอำนาจใช้ดุลพินิจในการแสวงหาข้อเท็จจริงให้ได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
การรับฟังพยานหลักฐานและบทตัดพยานจึงมิได้เคร่งครัด ศาลสามารถรับฟังพยานหลักฐานใดๆ ก็ได้ที่สามารถพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลยในคดีอาญา เพียงแต่ต้องไม่ใช่พยานหลักฐานที่เกิดจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอื่นเท่านั้น บทบัญญัติในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ในกระบวนการค้นหาความจริงในคดีอาญา จึงเป็นไปตามหลักนิติธรรม ใช้บังคับแก่คู่ความทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน
(3) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 14/2564
มีผู้เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 วรรคหนึ่ง เฉพาะในส่วนที่บัญญัติว่า “ในคดีอาญาถ้า มิได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลภายในกำหนดดังต่อไปนี้ นับแต่วันกระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ” ไม่สามารถใช้ปฏิบัติได้จริงในกรณีที่ราษฎรเป็นผู้ฟ้องคดีอาญาด้วยตนเอง เพราะจะต้องเผื่อเวลาสำหรับการไต่่สวนมูลฟ้องและดำเนินการออกหมายเรีียกหรือหมายจับเพื่อให้้ได้ตัวจำเลยมายังศาลด้วย อายุความในกรณีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องเองจึงน้อยกว่าอายุความในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ จึงเป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งกับหลักนิติธรรม
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า (1) กฎหมายให้สิทธิประชาชนสามารถเลือกช่องทางการเริ่มคดีได้เอง หรือหากเห็นว่าการให้พนักงานอัยการเป็นโจทก์จะเป็นผลดีมากกว่าก็สามารถกระทำได้ และ (2) บทบัญญัติดังกล่าว มีวัตถุุประสงค์เพื่อคุ้มครองบุคคล ซึ่งอาจตกเป็นจำเลยเมื่อศาลได้ประทับฟ้อง เนื่องจากมีมาตรการที่อาจจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลดังกล่าวได้ ไม่ว่าจะเป็นคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์์หรือคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์์ต่างก็ต้องอยู่่ในบังคับของกำหนดอายุุความฟ้องคดีอาญาตามประมวลกฎหมายอาญาทั้งสิ้น ไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
(4) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-16/2564
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 33 บัญญัติว่า ถ้าคู่ความฝ่ายใดหรือบุคคลใดกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลใด ให้ศาลนั้นมีอำนาจสั่งลงโทษโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือทั้งสองวิธีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ (ก) ไล่ออกจากบริเวณศาล หรือ (ข) ให้ลงโทษจำคุก หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยการไล่ออกจากบริเวณศาลนั้นให้กระทำได้ชั่วระยะเวลาที่ศาลนั่งพิจารณาหรือภายในระยะเวลาใดๆ ก็ได้ตามที่ศาลเห็นสมควร เมื่อจำเป็นจะเรียกให้ตำรวจช่วยจัดการก็ได้ และในกรณีกำหนดโทษจำคุกและปรับนั้นให้จำคุกได้ไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
ผู้ร้องเห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวจำกัดสิทธิเสรีภาพโดยไม่จำเป็นและขัดกับหลักความได้สัดส่วน ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 เนื่องจากยังมีมาตราอื่นที่จำกัดสิทธิน้อยกว่าอยู่ โดยยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับต่างประเทศ
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า บทบัญญัติว่าด้วยการละเมิดอำนาจศาลนั้น ไม่ขัดหรือแย้งกับหลักความได้สัดส่วนตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจาก (1) เป็นมาตรการทางกฎหมายซึ่งเป็นที่ยอมรับกันตามหลักสากลทั่วไป เพื่อให้การพิจารณาคดีที่ราบรื่นถูกต้องตามกระบวนการที่กฎหมายบัญญัติ และเป็นประโยชน์แก่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพื่อให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีได้โดยอิสระ และ (2) เรื่องความได้สัดส่วนของโทษ
ศาลเห็นว่า ในแต่ละประเทศย่อมมีความแตกต่างกันตามสภาพของสังคมและบุคคลในประเทศนั้นๆ และย่อมมีเหตุผลความจําเป็นหรือความเหมาะสมในแต่ละเรื่องแต่ละกรณีต่างกันไป อัตราโทษดังกล่าวเป็นการให้ศาลใช้ดุลพินิจตามสมควร นอกจากนี้แม้กฎหมายจะกำหนดอัตราโทษจำคุกไว้ แต่ก็ไม่ได้กำหนดอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำ ศาลจึงยังสามารถใช้ดุลพินิจลงโทษตามสมควรได้ ไม่ขัดกับหลักความได้สัดส่วนแต่อย่างใด
(5) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 24/2565
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 71 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้นำเหตุที่จะออกหมายจับตามมาตรา 66 มาใช้บังคับกับเหตุออกหมายขังผู้ต้องหาหรือจำเลยโดยอนุโลม มาตรา 66 เรื่องหมายจับ บัญญัติว่า เหตุที่จะออกหมายจับได้มีดังต่อไปนี้ คือ (1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี หรือ (2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น ส่วนมาตรา 180/1 บัญญัติว่า การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว จะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้ … (2) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน (3) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น (4) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ (5) การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล
ผู้ร้องเห็นว่า รัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติรับรองหลักการว่าการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยจะต้องกระทำเท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีการหลบหนี การนำเรื่องหมายจับมาใช้กับหมายขังจะทำให้ศาลมีอำนาจควบคุมผู้ต้องหาเกินความจำเป็น และเหตุอื่นในการสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราว เป็นการปฏิบัติต่อบุคคลเสมือนเป็นผู้กระทำความผิด ขัดต่อหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด
อย่างไรก็ดี ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 66 และมาตรา 108/1 ในส่วนที่ให้ออกหมายขังหรือไม่ให้ประกันด้วยเหตุอื่นนอกจากการหลบหนี ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญเปิดทางให้กฎหมายกำหนดได้ และเป็นการจำกัดสิทธิที่เหมาะสมสมดุลกับการคุ้มครองสังคมแล้ว การจำกัดสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวได้สัดส่วนระหว่างการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญากับประโยชน์ในการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้เป็นไปโดยเรียบร้อย คุ้มครองผู้เสียหาย และเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม
(6) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2566
คดีนี้เป็นคดีหนึ่งที่เกี่ยวกับคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องเอง ซึ่งต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนศาลจึงประทับรับฟ้องได้ ผู้ร้องเห็นว่า มาตรา 165 วรรคสามแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งบัญญัติว่า ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ ศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลย ให้ศาลส่งสำเนาฟ้องแก่จำเลยรายตัวไป กับแจ้งวันนัดไต่สวนให้จำเลยทราบ จำเลยจะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้อง โดยตั้งทนายให้ซักค้านพยานโจทก์ด้วยหรือไม่ก็ได้หรือจำเลยจะไม่มา แต่ตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์ก็ได้ ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจำเลย และก่อนที่ศาลประทับฟ้องมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น ขัดกับบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยเพื่อพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลที่จะประทับฟ้อง ขัดต่อหลักความเสมอภาคและหลักการรับฟังความทุกฝ่าย ประกอบกับมาตรา 170 วรรคหนึ่ง ที่ให้คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด แต่คำสั่งที่ว่าคดีไม่มีมูลนั้น โจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาได้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา ขัดหรือแย้งกับหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ขัดต่อหลักความเสมอภาค และหลักการรับฟังความทุกฝ่าย เนื่องจากคำสั่งคดีไม่มีมูลนั้นยังให้สิทธิโจทก์อุทธรณ์ต่อไปได้
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า มาตรา 165 วรรคสาม และ มาตรา 170 วรรคหนึ่งไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ กรณีคดีอาญาที่ผู้เสียหายที่เป็นราษฎรเป็นโจทก์ ไม่ต้องผ่านกระบวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน แม้จำเลยถูกฟ้องยังศาลโดยข้อหาว่าได้กระทำความผิดแล้ว หากศาลยังไม่มีคำสั่งประทับฟ้อง จำเลยยังไม่มีฐานะเป็นจำเลย การไต่สวนมูลฟ้องในกรณีดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จำเลยจึงไม่จำเป็นต้องมาศาล และได้ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจากจำเลย เพื่อเป็นการคุ้มครองจำเลยตามหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด หรือเพื่อมิให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องเดือดร้อนจากการไต่สวนมูลฟ้อง ไม่ต้องมาศาลในการพิจารณาคดีหรือนำเสนอพยาน ไม่ต้องจัดหาหลักประกันในระหว่างถูกควบคุมจนกว่าศาลจะไต่สวนแล้วเห็นว่าคดีมีมูลและประทับฟ้อง เนื่องจากคดีที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นราษฎรเป็นโจทก์ยังไม่ผ่านการตรวจสอบกลั่นกรองจากพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ หรืออาจผ่านการสอบสวนแล้วแต่พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ทั้งนี้ มาตรา 165 วรรคสาม ได้ให้สิทธิจำเลยตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์ได้
ส่วนมาตรา 170 วรรคหนึ่งนั้น ที่กำหนดให้โจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาได้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา เพื่อให้ศาลชั้นอุทธรณ์ฎีกาตรวจสอบดุลพินิจการสั่งประทับฟ้องของศาลชั้นต้นอีกครั้งว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่ มิฉะนั้นจะเป็นการตัดสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ทันที เป็นการเปิดโอกาสให้คู่ความในคดีสามารถใช้สิทธิต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่ เป็นหลักประกันความเป็นธรรมให้แก่คู่ความ เพื่อให้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
(7) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 11-12/2568
มาตรา 172 ทวิ/1 อนุญาตให้ศาลสืบพยานลับหลังจำเลย โดยบัญญัติว่า เมื่อศาลเห็นว่าจำเลยหลบหนีหรือไม่มาฟังการพิจารณาและสืบพยานโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้ศาลออกหมายจับจำเลย หากไม่ได้ตัวจำเลยมาภายในสามเดือนนับแต่วันออกหมายจับ เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะให้การพิจารณาเป็นไปโดยไม่ชักช้า และจำเลยมีทนายความ ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลยได้ และเมื่อศาลพิจารณาคดีเสร็จแล้ว ให้ศาลมีคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไป
ผู้ร้องเห็นว่ามาตรการที่กำหนดให้ศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาคดีอาญาลับหลังจำเลยเป็นมาตรการที่มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความยุติธรรมที่รวดเร็วและเป็นธรรมเฉพาะแก่ผู้เสียหายเท่านั้น แต่ไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ในการอำนวยความยุติธรรมแก่จำเลย จำเลยไม่มีโอกาสเข้าร่วมการพิจารณาและสืบพยาน และเป็นบทบัญญัติที่กระทบต่อสิทธิหรือเสรีภาพของจำเลยเกินสมควรแก่เหตุ
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า มาตรา 172 ทวิ/1 เป็นบทบัญญัติซึ่งกำหนดหลักการพิจารณาคดีโดยไม่มีตัวจำเลยในกรณีที่จำเลยจงใจหลบหนี หรือไม่มาฟังการพิจารณาและสืบพยานโดยไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งเป็นข้อยกเว้นหลักการพิจารณาคดีต่อหน้าจำเลย บทบัญญัติดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนที่จะได้รับความยุติธรรมโดยเร็ว โดยจำเลยยังคงมีทนายความต่อสู้คดีให้ เป็นเพียงการให้อำนาจศาลสืบพยานลับหลังจำเลย แต่โจทก์ยังคงมีภาระการพิสูจน์ความผิดอยู่ จึงไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญกับการสร้างสมดุลระหว่างสิทธิพื้นฐานกับประสิทธิภาพของรัฐ
ธรรมชาติของคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญนั้นหลากหลายมาก ตั้งแต่การละเมิดอำนาจศาล ไปจนถึงบทสันนิษฐานความรับผิด ตั้งแต่การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย ไปจนถึงการที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาเอง และผลของคำวินิจฉัยก็ยากจะคาดเดาได้ ต่างจากในกรณีคดีการเมืองซึ่งประชาชนมักสามารถทำนายผลของคดีได้ล่วงหน้าจากอุดมการณ์ทางการเมืองของผู้ถูกร้อง
ในบรรดาคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญนั้น บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้ในคดีนั้นๆ ขัดแย้งกับหลักพื้นฐานของกฎหมายอาญาอย่างชัดเจน ชุดคดีในปี 2555-2556 นั้น ขัดกับหลักการสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ถึงแม้บทสันนิษฐานความรับผิดจะไม่ใช่บทสันนิษฐานเด็ดขาดเปิดโอกาสให้จำเลยโต้แย้งได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญตีความเคร่งครัดมาก ว่าถึงจะไม่ใช่บทสันนิษฐานเด็ดขาดก็ถือว่าขัดกับหลักการพื้นฐานแล้ว
อีกคดีที่ขัดกับหลักการพื้นฐานของกฎหมายอาญา คือ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 6-7/2561 ซึ่งห้ามมิให้ใช้กฎหมายใหม่ที่เป็นคุณยิ่งกว่าในคดีอาญา บทบัญญัตินี้ขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานกฎหมายอาญาที่ถือกันมาตลอดว่า ในกรณีที่กฎหมายใหม่เป็นคุณยิ่งกว่ากฎหมายที่ใช้ในคดีนั้นๆ ต้องนำมาใช้ ตรงข้ามกับหลักที่ว่า หากกฎหมายใหม่เป็นโทษมากกว่าแล้วจะนำมาใช้ให้เป็นผลร้ายหนักขึ้นแก่จำเลยมิได้ ซึ่งหลักการดังกล่าวยังครอบคลุมไปถึงหากแม้นกฎหมายใหม่บัญญัติมิให้การการกระทำนั้นเป็นความผิดอีกต่อไป ก็ต้องนำมาใช้กับผู้ที่รับโทษในความผิดนั้นๆอยู่ด้วย
หลักการพื้นฐานทั้งสองนั้นเป็นบทเรียนแรกๆ ของนักเรียนนิติศาสตร์ทุกคนเมื่อเริ่มศึกษากฎหมายอาญา จึงไม่น่าสงสัยที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นว่าบทบัญญัติกฎหมายในทั้งสองเรื่อง ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
ในทางกลับกัน ส่วนในคดีที่กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้ดุลพินิจศาลในการพิจารณาตามสมควร เช่น ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ดุลพินิจในการสั่งพิจารณาคดีเป็นการลับ ซึ่งปรากฏในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในต่างประเทศเช่นกัน และไม่ได้เป็นบทบัญญัติเด็ดขาดเกี่ยวกับความผิดของจำเลย หรือไม่ได้เป็นบทบัญญัติที่สร้างภาระและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของจำเลยเกินสัดส่วน กล่าวคือ จำเลยยังคงมีสิทธิพื้นฐานในการต่อสู้คดี ศาลรัฐธรรมนูญจะชั่งน้ำหนักเรื่องประโยชน์ของกระบวนการยุติธรรมโดยรวม สิทธิพื้นฐานของผู้ต้องหาเอง และคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิของฝ่ายผู้เสียหายที่จะต้องได้รับการพิจารณาโดยไม่ชักช้าด้วย
หากกฎหมายเปิดโอกาสให้ศาลในคดีใช้ดุลพินิจได้ ศาลรัฐธรรมนูญมักจะจำกัดตนเองในการตรวจสอบกฎหมายนั้นๆ การที่กฎหมายเปิดให้ศาลใช้ดุลพินิจในการสั่งการ ไม่ว่าจะสั่งพิจารณาคดีเป็นการลับ การรับฟังพยานบอกเล่า การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย การกลั่นกรองพยานหลักฐานผ่านกระบวนการไต่สวนมูลฟ้องในกรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาเองนั้น ก็เพื่อประสานประโยชน์ของจำเลย ผู้เสียหาย และรัฐให้ดีที่สุด ตัวอย่างที่ชัดเจน คือในกรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาเอง จะเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญอธิบายว่า กระบวนการไต่สวนมูลฟ้องที่เพิ่มขึ้นมานั้นก็เพื่อคุ้มครองสิทธิของจำเลยด้วย ศาลจำต้องคุ้มครองสิทธิของคู่ความทั้งคู่
การประสานประโยชน์ หรือการสร้างสมดุลระหว่างสิทธิพื้นฐานกับประสิทธิภาพของรัฐนั้นเป็นหัวใจสำคัญของกฎหมายมหาชน ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้วิธีการดังกล่าวในการชั่งน้ำหนักเพื่อวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ถูกร้องขึ้นมา เมื่อเทียบกับคดีการเมือง (mega-political cases) ที่ตกเป็นข่าวทั่วไปนั้น ศาลรัฐธรรมนูญสามารถชั่งน้ำหนักและใช้อำนาจเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนในคดีที่เกี่ยวข้องกับหลักกฎหมายอาญาได้ดีกว่า การให้เหตุผลของศาลรัฐธรรมนูญก็น่าเชื่อถือว่าการให้เหตุผลในคดีการเมือง
อำนาจตุลาการแบบก้าวหน้า
ทั้งหมดนี้ ย้ำให้เราตระหนักเสมอว่า แม้สองทศวรรษของตุลาการภิวัฒน์จะทำให้ประชาชนไทยมองอำนาจตุลาการด้วยความหวาดระแวง หรือเห็นว่าควรปฏิเสธอำนาจตุลาการในการเมืองไปโดยเด็ดขาด แต่อำนาจตุลาการสามารถเป็นพลังสร้างสรรค์ประชาธิปไตยได้เช่นกัน
ในสายตาของ Luis Roberto Barroso[3]Luís Roberto Barroso, ‘Counter-Majoritarian, Representative and Enlightened: The Roles of Constitutional Courts in Democracies’ (2019) 67 The American Journal of Comparative Law 109. อดีตผู้พิพากษาศาลสูงสุดของบราซิล คำวินิจฉัยของตุลาการในระบอบประชาธิปไตยนั้น นอกจากจะวินิจฉัยต่อต้านเสียงข้างมาก (Counter-majoritarian) ตามที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว อันที่จริง อำนาจตุลาการอาจตัดสินไปได้อีกสองทาง นั่นคือ คำวินิจฉัยที่เป็นตัวแทนความคิดเห็นของสังคม (representative) และคำวินิจฉัยที่ก้าวหน้าชี้นำสังคม (enlightened)
แน่นอนว่า โดยทั่วไป เมื่อศาลเข้ามาตรวจสอบและประกาศให้กฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญสิ้นผลไป ศาลกำลังลบล้างงานของฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นผู้แทนราษฎร ศาลจึงมีภาพขององค์กรผู้ต่อต้านหรือคัดง้างกับตัวแทนทางการเมืองของเสียงข้างมากอยู่แล้ว โดยอ้างหลักการซึ่งไม่ขึ้นกับเสียงข้างมาก เช่น หลักความเสมอภาพ นิติธรรม หรือหลักการคุ้มครองเสียงข้างน้อย
อย่างไรก็ดี ข้อคิดเห็นด้านบนนั้นตั้งอยู่บนบทสันนิษฐานที่ว่า รัฐสภานั้นเป็นตัวแทนของเสียงข้างมากของสังคมในขณะนั้นๆ ซึ่งในศตวรรษที่ 21 แล้วอาจไม่จริงเสมอไป การเลือกตั้งมิใช่วิธีเดียวในการแสดงออกซึ่งเสียงข้างมาก ซึ่งสังคมยังแสดงออกผ่านภาคประชาสังคมได้เช่นกัน ในขณะที่รัฐสภาเริ่มขยับห่างไกลจากการเป็นตัวแทนเสียงประชาชนออกไปทุกที ในบางกรณี ศาลอาจใช้อำนาจวินิจฉัยสะท้อนความคิดเห็นของสังคมได้ดีกว่านักการเมืองในสภา
สุดท้ายคือบทบาทของตุลาการในฐานะผู้นำทางสังคม คำวินิจฉัยเป็นเครื่องชี้ทางถึงทิศทางใหม่ที่สังคมควรก้าวเดินไป แม้จะยังไม่เห็นด้วยในขณะนั้นทั้งหมด คำวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิทางเพศ คนชายขอบ ความเป็นทาส การทำแท้ง คำวินิจฉัยด้านสิทธิมนุษยชนจำนวนมากล้ำหน้าไปกว่าสังคมขณะนั้น เป็นการแผ้วถางทางให้กับนักการเมืองที่จะตามมา
ถ้าเรานำแนวคิดของ Barroso มาจับกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไทย จะเห็นคำวินิจฉัยที่ก้าวหน้ากว่าสังคม อาทิ เรื่องข้อสันนิษฐานความรับผิด และคดีพิมพ์ลายนิ้วมือ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำสั่งของคณะรัฐประหารนั้นกำหนดโทษรุนแรงจนไม่ได้สัดส่วน คำวินิจฉัยนี้ก้าวหน้ามากในสังคมซึ่งยอมรับคำสั่งคำบัญชารัฏฐาธิปัตย์เป็นกฎหมายโดยไม่ตั้งคำถาม เป็นสิ่งที่สังคมไม่คาดหมาย โดยเฉพาะในเรื่องแรก เมื่อครั้งมีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญต้องเผชิญหน้ากับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายผู้ใช้กฎหมายอย่างรุนแรงพอสมควร ก่อนที่ทุกฝ่ายจะยอมรับบรรทัดฐานใหม่ที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วางไว้ ส่วนในเรื่องหลังนั้น ถือว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำสั่งของคณะรัฐประหารขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้ ถึงแม้คำวินิจฉัยจะมาล่าช้าไปหลายปีก็ตาม
แต่ศาลรัฐธรรมนูญยังสามารถทำให้ดีกว่านี้ได้ คำวินิจฉัยที่เห็นว่าความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นมาตรการทางกฎหมายซึ่งเป็นที่ยอมรับกันตามหลักสากลทั่วไป และแต่ละประเทศย่อมมีความแตกต่างกันตามสภาพของสังคมและบุคคลในประเทศนั้นๆ จึงสามารถกำหนดโทษไว้สูงต่ำเพียงใดก็ได้นั้น ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญพลาดโอกาสที่จะเข้ามาตรวจสอบเครื่องมือสำคัญของอำนาจตุลาการ ซึ่งได้รับคำวิจารณ์ว่า ถูกใช้เพื่อปิดปากหรือลงโทษผู้วิพากษ์วิจารณ์หรือกระด้างกระเดื่องต่อศาล ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนไปอย่างน่าเสียดาย
คำถามที่สำคัญที่สุดคือ จะทำอย่างไรให้ความเป็นมืออาชีพ ความก้าวหน้านี้ถ่ายทอดไปยังคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ปัจจัยอะไรที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีสภาพแตกต่างกันสองขั้ว ระหว่างตุลาการผู้ตรวจสอบอำนาจรัฐอย่างเป็นอิสระ เป็นกลาง และมีประสิทธิภาพ กับตัวละครสำคัญทางการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม เหตุใดศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจใช้เหตุผลและการชั่งน้ำหนักในคดี เช่น การยุบพรรคการเมือง หรือการวินิจฉัยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนักการเมือง ได้เหมือนในคดีเหล่านี้
| ↑1 | Khemthong Tonsakulrungruang ‘Constitutional Amendment in Thailand: Amending in the Spectre of Parliamentary Dictatorship’ (2019) Journal of Comparative Law, vol. 14, no. 1, 173-187; ‘Entrenching the Minority: The Constitutional Court in Thailand’s Political Conflict’ (2017) Washington International Law Journal, vol. 26 no. 2, 247-268; Eugenie Merieau, ‘Democratic Breakdown through Lawfare by Constitutional Courts: The Case of Post-“Democratic Transition” Thailand’ (2022) 95 Pacific Affairs 475. |
|---|---|
| ↑2 | กล้า สมุทรวณิช, ขอบเขตอำนาจหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อการส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สถาบันพระปกเกล้า 2558). |
| ↑3 | Luís Roberto Barroso, ‘Counter-Majoritarian, Representative and Enlightened: The Roles of Constitutional Courts in Democracies’ (2019) 67 The American Journal of Comparative Law 109. |