ประเด็นสำคัญ
- ‘เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา’ (Anywhere Anytime) เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ลุล่วง โดยความล่าช้าเกิดจากการใช้งบประมาณสูงที่ต้องผ่านขั้นตอนงบและระเบียบจัดซื้อจัดจ้างที่เข้มงวด อีกทั้งยังมีคำถามต่อประโยชน์ที่แท้จริง เนื่องจากรายละเอียดการใช้งานและการวางแผนยังไม่ชัดเจน
-
การทำให้เทคโนโลยีด้านการศึกษาประสบผลสำเร็จต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้งานครอบคลุมทั่วถึงและส่งมอบคุณภาพการศึกษาที่คาดหวังได้อย่างแท้จริง ทั้งโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของทั้งประเทศ การปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับสื่อและเทคโนโลยี รวมถึงความพร้อมด้านทักษะและแรงจูงใจของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
- รัฐบาลควรตั้งหลักคิดกับ 'การใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา' อย่างแท้จริง ทั้งการทบทวนช่องว่างที่มีอยู่ในระบบ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้กับผู้เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมในอนาคต และเพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมจากครูและนักเรียนในการกำหนดนโยบาย
นโยบายเทคโนโลยีด้านการศึกษาเป็นหนึ่งในนโยบายยอดนิยมที่พรรคการเมืองไทยใช้หาเสียง และใช้มากยิ่งขึ้นในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยความหวังว่าจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการเรียนรู้ และลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดครูครบชั้นหรือครบสาระวิชา
หลังการเลือกตั้งปี 2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจากพรรคภูมิใจไทยได้เสนอแนวคิด ‘เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา’ (Anywhere Anytime) โดยจัดสรรงบประมาณราว 5 หมื่นล้านบาทใน 6 ปีงบประมาณ เพื่อเช่าแท็บเล็ตหรือโน้ตบุ๊กให้นักเรียนมัธยมปลายทุกคนและคุณครู
อย่างไรก็ตาม ภาพจำของนโยบายในอดีตอย่าง One Tablet per Child สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังคงหลอกหลอนสังคมอยู่ไม่น้อย ทั้งวิธีดำเนินการจัดเช่าอุปกรณ์ที่ยังไม่ชัดเจน และคำถามว่ามาตรการนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้จริงหรือไม่ ได้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะและฝ่ายค้าน ขณะที่แรงกดดันยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อมีการตั้งข้อสังเกตถึงการใช้งบประมาณมหาศาล จนนำไปสู่การประกาศ ‘แขวน’ นโยบายดังกล่าวโดยพรรคเพื่อไทยผู้นำรัฐบาล
คิด for คิดส์ โดยความร่วมมือของ สสส. กับ 101 PUB และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ขอชวนผู้อ่านร่วม ‘ตั้งหลักคิดใหม่’ กับนโยบายเทคโนโลยีการศึกษา ว่าการใช้เทคโนโลยีจะช่วยยกระดับการศึกษาได้จริงไหม ตั้งอยู่บนเงื่อนไขใด ประสบการณ์จากต่างประเทศสะท้อนผลลัพธ์อย่างไร อะไรควรเป็นเป้าหมายของการใช้เทคโนโลยี และหากนำมาปรับใช้ในบริบทของระบบการศึกษาไทย ควรคำนึงถึงเรื่องใดเป็นสำคัญ[1]ส่วนหนึ่งจาก ธร ปีติดล. 2568. โครงการติดตามพลวัตนโยบายการลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีในบริบทการศึกษา โดย สนับสนุนโดย … Continue reading
นโยบายเทคโนโลยีทางการศึกษา
เป็นนโยบายหาเสียงยอดนิยมในการเลือกตั้งปี 66
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การเรียนออนไลน์ขยายตัวและเผยให้เห็นความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงเทคโนโลยี โดยเฉพาะนักเรียนจากครอบครัวรายได้น้อยที่ขาดอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ต[2]ภัคจิรา มาตาพิทักษ์. 2565. “เข้าใจ ‘วิกฤตการเรียนรู้ถดถอย’ บาดแผลจากโรคระบาดที่ตอกย้ำปัญหาใต้พรมการศึกษาไทย.” The 101 World, 20 กันยายน 2565. … Continue reading ประเด็นนี้จึงกลายเป็นจุดขายสำคัญในช่วงหาเสียงปี 2566 พรรคการเมืองต่างนำเสนอ ‘นโยบายด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา’ โดยมุ่งลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มโอกาสการเรียนรู้
นโยบายหาเสียงเลือกตั้งจากพรรคฝ่ายค้าน
พรรคประชาธิปัตย์เสนอติดตั้ง อินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ตั้งเป้าให้มีการติดตั้ง Wi-Fi ครอบคลุมทุกจังหวัด หมู่บ้าน และห้องเรียนกว่า 3.5 แสนห้อง รวมทั้งสิ้น 1 ล้านจุด เพื่อรองรับการเรียนรู้ การสื่อสาร และการทำธุรกรรมออนไลน์ ช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชนและสร้างโอกาสทางอาชีพ[3]พรรคประชาธิปัตย์. 2566. อินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน ทุกห้องเรียน. เข้าถึงได้จาก https://www.democrat.or.th/policy/bangkok/policy9.
อีกนโยบายหนึ่งคือโครงการ Coding For All ที่มุ่งผลักดันการเรียนการสอนเขียนโค้ดตั้งแต่ระดับประถมจนถึงระดับมัธยม ผ่านการเรียนแบบ Unplugged Coding เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเป็นลำดับ มีเหตุผล และทำงานร่วมกับผู้อื่น นอกจากนี้ยังมีการอบรมครูไปแล้วกว่า 400,000 คนภายใต้โครงการ Coding for Teacher เพื่อขยายผลทั่วประเทศ[4]มติชนออนไลน์. 2566. ปชป. เปิดนโยบายการศึกษาทันสมัย เน้นพัฒนาคน 7 ด้าน เตรียมความพร้อม 0–6 ปี เรียนฟรี ป.ตรีไม่มีค่าหน่วยกิต. 9 พฤษภาคม 2566. เข้าถึงได้จาก … Continue reading
พรรคก้าวไกลชูนโยบาย แพลตฟอร์มเรียนรู้ตลอดชีวิต เรียนฟรีไม่จำกัด รับรองคุณวุฒิพร้อมระบบจัดหางาน สนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงคอร์สออนไลน์ฟรี มีระบบทดสอบและสำรวจความถนัด พร้อมบริการจับคู่หางาน แจกคูปองให้คนวัยทำงานเลือกเรียนหลักสูตรเชิงลึก โดยรัฐร่วมจ่ายสูงสุด 80% (ไม่เกิน 5,000 บาท/คน) และพัฒนาสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพให้ตรงกับมาตรฐานสากล[5]พรรคก้าวไกล. 2566. เสาหลักนโยบายที่ 5: “ต้องก้าวไกล การศึกษาไทยก้าวหน้า.” 14 มกราคม 2566. เข้าถึงได้จาก https://www.moveforwardparty.org/article/16491/.
นโยบายหาเสียงเลือกตั้งจากพรรคร่วมรัฐบาล
พรรคเพื่อไทยมีโครงการ Free Tablet for All ภายใต้แนวคิด 1 นักเรียน 1 แท็บเล็ต และ 1 ครู 1 แท็บเล็ต ที่มีเป้าหมายเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์การเรียน และเพิ่มโอกาสในการเรียนออนไลน์อย่างเท่าเทียมกัน
อีกหนึ่งนโยบายคือโครงการ Learn to Earn ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ผู้เรียนสามารถกำหนดเวลาเรียนได้เอง พร้อมทั้งมีระบบโอนหน่วยกิตเพื่อขอวุฒิหรือประกาศนียบัตร และระบบทดสอบสมรรถนะที่เชื่อมโยงกับตลาดแรงงาน[6]พรรคเพื่อไทย. 2566. นโยบาย การศึกษา. เข้าถึงได้จาก https://ptp.or.th/นโยบายหลักพรรคเพื่อไทย/educational-policy. นอกจากนี้ ยังมีนโยบายโรงเรียนสองภาษาในทุกท้องถิ่น ครอบคลุมภาษาอังกฤษ จีน และ Coding รวมถึงการจัดตั้งธนาคารหน่วยกิต และการใช้ Blockchain welfare เพื่อสนับสนุนการ Reskill–Upskill แรงงาน
พรรคภูมิใจไทยมีนโยบายด้านการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ โดยกำหนดให้ทุกโรงเรียนจัดตั้ง Virtual School เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ทุกที่ทุกเวลา อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ครูสร้างรายได้เพิ่มจากการอัปโหลดคลิปสอนในระบบ Pay-Per-View โดยมีรัฐเป็นผู้จ่ายแทนผู้เรียน[7]พรรคภูมิใจไทย. 2566. “ดร.กมล รอดคล้าย ทีมการศึกษา ภท. เล็งต่อยอดเรียนออนไลน์ให้มีคุณภาพ เพื่อความเท่าเทียม สร้างระบบใหม่การ จัดการสอน … Continue reading
นอกจากนี้ พรรคยังเสนอการจัดตั้งสถาบันพัฒนาสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ เพื่อสร้างระบบการเรียนการสอนออนไลน์ที่ตอบสนองความต้องการของเด็กทั่วไป เด็กพิการ และเด็กด้อยโอกาส ให้สามารถเข้าถึงสื่อการเรียนคุณภาพทั้งในและต่างประเทศได้อย่างเท่าเทียม
นโยบายของพรรคการเมืองเหล่านี้สะท้อนแนวคิดร่วมกันในการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลและสื่อการสอนสมัยใหม่ เพื่อการเรียนรู้ทั้งในระดับพื้นฐานและการเรียนรู้ตลอดชีวิต รองลงมาเป็นนโยบายด้านการแจกอุปกรณ์จากพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อหวังลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี ขณะที่พรรคบางพรรคเน้นมาตรการเฉพาะ อย่างการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีผ่านนโยบายอินเทอร์เน็ตฟรี

‘เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา’ (Anywhere Anytime):
นโยบายฟิวชั่นหลังการจัดตั้งรัฐบาล
หลังการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยย้ำว่ารัฐบาลจะปฏิรูปการศึกษา ‘สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเข้าถึงการเรียนรู้อย่างทั่วถึง มีอุปกรณ์เหมาะสม และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย’[8]สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. 2566. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา. 11 กันยายน 2566. เข้าถึงได้จาก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/72077.

ที่มา: https://edoce.opec.go.th/news/detail/1234
แนวทางนี้สอดรับกับนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ที่มี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยมอบหมายให้หน่วยงานใน ศธ. นำไปปฏิบัติ โดยเน้นเป้าหมาย ‘เรียนดี มีความสุข’ และมีนโยบายเร่งด่วน เช่น ‘เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา’ (Anywhere Anytime) ผ่านระบบหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ฟรี และนโยบาย 1 นักเรียน 1 แท็บเล็ต[9]Thai PBS. 2566. “แท็บเล็ต ยุคยิ่งลักษณ์ถึงไอเดีย เพิ่มพูน ควรไปต่อหรือพอได้แล้ว.” 20 กันยายน 2566. เข้าถึงได้จาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/331854.สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ … Continue reading
ทั้งนายกฯ และ รมว.ศึกษาฯ ต่างให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำด้านเทคโนโลยีในระบบการศึกษา โดยเน้นการมีอุปกรณ์เรียนรู้และระบบแพลตฟอร์มรองรับ ซึ่งในรายละเอียดนโยบายของ รมว.ศึกษาฯ ยังขยายออกมาเป็น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1) ลดภาระครู – จัดหาอุปกรณ์สอน เช่น แท็บเล็ตให้ครูทุกคน เชื่อมโยงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตครอบคลุมทั่วประเทศ ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบุคลากร
2) ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง – นักเรียน ม.4–6 และ ปวช.1–3 ได้แท็บเล็ตฟรี เชื่อมโยงระบบออนไลน์ครบถ้วน พร้อมพัฒนาแอปและแพลตฟอร์มการเรียนรู้ เนื้อหาครอบคลุมหลักสูตร ใช้ร่วมกับการเรียนในห้องเรียน (Hybrid Education) เพื่อขยายโอกาสการศึกษาให้ประชาชนทุกช่วงวัย
3) พัฒนาระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) – เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเรียนและทำงานควบคู่กัน เก็บสะสมหน่วยกิตจากการเรียน การทำงาน หรือการอบรม เพื่อนำไปเทียบวุฒิหรือยกระดับคุณสมบัติได้ทั้งในและนอกระบบการศึกษา

ที่มา: คณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ
ใช้งบรวม 5 หมื่นล้าน แต่ไม่อาจลดความเหลื่อมล้ำหรือยกระดับคุณภาพการศึกษา
- แจกแท็บเล็ต/โน้ตบุ๊กให้นักเรียน ม.ปลาย (44,420 ล้านบาท)
เป็นส่วนงบประมาณส่วนใหญ่ของโครงการเพื่อจัดหาอุปกรณ์ให้นักเรียน ม.ปลาย ทุกคน แต่ข้อถกเถียงสำคัญคือ มาตรการนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้จริงหรือไม่ ข้อมูลชี้ว่านักเรียนยากจนสัดส่วนมากถึง 20% ไม่ได้เรียนต่อ ม.ปลาย เทียบกับค่าเฉลี่ยของนักเรียนทั่วไปที่ไม่ได้เรียนต่อ ม.ปลาย เพียง 4% หมายความว่าโครงการอาจไม่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่เปราะบางที่สุดคือ เด็กยากจนที่หลุดจากระบบไปก่อนแล้ว อีกทั้งนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่ยังอยู่ในระบบก็มีอุปกรณ์อยู่แล้ว จึงทำให้ผลลัพธ์จริงของการแจกอุปกรณ์มีขอบเขตจำกัด และอาจกลายเป็นการใช้งบประมาณจำนวนมากโดยไม่คุ้มค่า
ข้อจำกัดด้านงบประมาณยิ่งตอกย้ำความไม่ทั่วถึงในการดำเนินโครงการ โดย สพฐ. มีภาระงบรายจ่ายประจำสูงถึง 70% เหลืองบลงทุนใหม่เพียง 30% จึงไม่สามารถแจกอุปกรณ์ให้ครบทุกคนภายในปีเดียวได้ ต้องก่อหนี้ผูกพันข้ามปีหรือทยอยแจกเป็นล็อตๆ เช่น ในปี 2568 ทำได้เพียงแจกนักเรียนในโรงเรียนคุณภาพและโรงเรียนขยายโอกาส 1,018 แห่งเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนที่มีความพร้อมอยู่แล้ว ขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กหรือในพื้นที่ห่างไกลต้องรอการจัดสรรรอบถัดไป ความล่าช้านี้ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำใหม่ เพราะนักเรียนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มโรงเรียนต้นแบบย่อมเสียเปรียบในการใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์เพื่อพัฒนาทักษะดิจิทัลของตน
นอกจากนี้ หากไม่มีการกำหนดเงื่อนไขหรือสร้างแรงจูงใจให้ใช้อุปกรณ์เพื่อการเรียนรู้ โดยมีครูคอยกำกับและออกแบบการใช้ อุปกรณ์เหล่านี้ก็เสี่ยงจะถูกนำไปใช้เพื่อความบันเทิงแทนการศึกษา อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การหันไปลงทุนสนับสนุนคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ในโรงเรียนระดับประถมปลายหรือมัธยมต้น อาจช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ทักษะพื้นฐานทางเทคโนโลยีก่อน ซึ่งอาจสร้างประโยชน์และความเสมอภาคได้มากกว่า
- แจกแท็บเล็ต/โน้ตบุ๊กครู (1,683 ล้านบาท)
แม้การจัดหาอุปกรณ์ให้ครูเป็นเรื่องสำคัญ แต่เพียงอุปกรณ์อย่างเดียวไม่พอ หากขาดการพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีเพื่อการสอน ครูจำนวนมากอาจไม่สามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ได้เต็มที่ นโยบายนี้จึงควรมาคู่กับแผนการฝึกอบรม หลักสูตรการศึกษาที่ใช้ร่วมกับเทคโนโลยี และการสนับสนุนเชิงเทคนิค
- ฝึกอบรม (8 ล้านบาท)
งบสำหรับการฝึกอบรมถูกจัดสรรเพียง 8 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดโครงการ ทั้งที่การพัฒนาครูและบุคลากรถือเป็นหัวใจสำคัญ หากไม่มีการลงทุนด้านนี้เพียงพอ ความสามารถในการใช้แท็บเล็ตหรือแพลตฟอร์มใหม่ๆ ก็อาจไม่เกิดผลจริงจัง
- จัดทำเนื้อหาการสอนใหม่ (1,347 ล้านบาท)
แม้การสร้างคอนเทนต์ใหม่จะดูจำเป็น แต่กลับเสี่ยงซ้ำซ้อนกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว เช่น OBEC Content Center ของ สพฐ., Project 14 ของ สสวท. และ DLTV ของมูลนิธิการศึกษาทางไกล นี่สะท้อนปัญหาความไม่เชื่อมโยงของหน่วยงานและการลงทุนที่อาจไม่เกิด ‘มูลค่าเพิ่ม’ จริง
- สร้างแพลตฟอร์มเรียนรู้และระบบคลาวด์ใหม่ (4,505 ล้านบาท)
มีข้อสงสัยว่าแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นใหม่จะแตกต่างไปเช่นไรจากแพลตฟอร์มอื่นๆ มากมายที่ ศธ. ได้เคยดำเนินการ และจะซ้ำรอยการเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่สามารถดึงดูดครูและนักเรียนให้มาใช้งานได้จริง ทำได้เพียงให้การใช้งานเกิดขึ้นตามคำสั่งจากส่วนกลางหรือไม่
นอกจากนี้ การลงทุนสร้างแพลตฟอร์มและคลาวด์ใหม่ยังจำกัดอยู่ในโรงเรียนสังกัด สพฐ. เท่านั้น ไม่ครอบคลุมหน่วยการศึกษาอื่น เช่น อาชีวะ การศึกษานอกระบบ หรือเอกชน จึงเสี่ยงทำให้เกิด ‘แพลตฟอร์มคู่ขนาน’ หลายชุด และซ้ำซ้อนกับระบบที่มีอยู่เดิม แทนที่จะสร้างระบบกลางที่ทุกคนเข้าถึงได้ รวมถึงสร้างอุปสรรคในการจัดตั้งธนาคารหน่วยกิตในกรณีที่นักเรียนย้ายสังกัดหน่วยบริการการศึกษา

สถานะล่าสุด: ระงับและเปลี่ยนรูปแบบโครงการ
แม้โครงการแจกอุปกรณ์ดิจิทัลและโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มภายใต้นโยบาย Anywhere Anytime จะถูกผลักดันตั้งแต่หลังการจัดตั้งรัฐบาล แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ลุล่วง ความล่าช้าเกิดจากการใช้งบประมาณสูงที่ต้องผ่านขั้นตอนงบและระเบียบจัดซื้อจัดจ้างที่เข้มงวด อีกทั้งยังมีคำถามต่อประโยชน์ที่แท้จริง เนื่องจากรายละเอียดการใช้งานและการวางแผนยังไม่ชัดเจน
ปัญหายิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี เมื่อพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยโครงการแจกอุปกรณ์ถูกปรับให้เขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้จัดซื้อแทนส่วนกลาง ส่วนโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มก็ถูกระงับการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อพัฒนาระบบไว้ ต่อมาในสิ้นเดือนมิถุนายน 2568 พรรคเพื่อไทยในฐานะผู้นำรัฐบาลยังได้สั่งระงับการประมูลเช่าแท็บเล็ตด้วยเหตุผลด้านความโปร่งใส
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่งบประมาณประจำปี 2569 ได้ถูกตั้งออกมาแล้ว การกลับมาของรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล อาจเป็นสัญญาณว่านโยบายนี้มีโอกาสถูกฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะมีข่าวโผคณะรัฐมนตรีว่าเก้าอี้ รมว.ศึกษาธิการจะอยู่ในมือพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคกล้าธรรมก็ตาม จึงเป็นประเด็นที่สังคมควรจับตาอย่างใกล้ชิด
ปัจจัยพื้นฐานที่เหลื่อมล้ำนำไปสู่ผลกระทบของเทคโนโลยีที่ล้ำเหลื่อม
การทำให้เทคโนโลยีด้านการศึกษาประสบผลสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีอุปกรณ์หรือแพลตฟอร์มเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้งานครอบคลุมทั่วถึงและส่งมอบคุณภาพการศึกษาที่คาดหวังได้อย่างแท้จริง ปัจจัยพื้นฐาน 4 ประการที่เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อผลสัมฤทธิ์ของเทคโนโลยีเพื่อการศึกษามีดังนี้[10]จากการประมวล 2 บทความวิจัยที่ทบทวนวรรณกรรมด้านการศึกษาออนไลน์:Gabriel, Florence, Rebecca Marrone, Ysabella Van Sebille, Vitomir Kovanovic, and Maarten de Laat. 2022. “Digital Education Strategies around the World: Practices and Policies.” Irish Educational Studies 41 (1): … Continue reading
1) การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
หนึ่งในปัญหาใหญ่ของนโยบายเทคโนโลยีด้านการศึกษา คือความไม่เพียงพอของโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของทั้งประเทศ โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล แม้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ผลักดันการพัฒนาด้านนี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังพบว่าอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เสริมของคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนจำนวนมากทั้งขาดแคลนและคุณภาพต่ำ ทำให้การดำเนินโครงการ เช่น การแจกอุปกรณ์หรือการสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้เต็มที่
สำหรับการใช้อินเทอร์เน็ตในโรงเรียนโดยตรง ปัญหาความไม่ครอบคลุมของสัญญาณ ความไม่เสถียร และความไม่เพียงพอเมื่อมีการใช้งานพร้อมกันจำนวนมาก เช่น ในการเช็กชื่อหรือเรียนออนไลน์ ยังคงเกิดขึ้นอย่างชัดเจน โรงเรียนหลายแห่งจำเป็นต้องใช้งบประมาณของตนเองเพื่อเช่าสัญญาณเพิ่ม หรือแม้แต่ให้ครูจ่ายค่าอินเทอร์เน็ตมือถือส่วนตัวเพื่อให้งานการเรียนการสอนดำเนินไปได้ ผลลัพธ์คือ โรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนชนบทมักตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบในการเข้าถึงเทคโนโลยีการศึกษา
แม้กระทรวงศึกษาธิการจะมีงบประมาณสนับสนุน แต่จากการเก็บข้อมูลโดย ธร (2568) พบว่าการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวไม่เพียงพอ โรงเรียนส่วนใหญ่ยังต้องจัดหาบริการเสริมเอง และเมื่อมีการเปลี่ยนระบบให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้จัดหาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแทนโรงเรียนโดยตรง โรงเรียนหลายแห่งกลับได้รับบริการที่ไม่ตรงกับความต้องการจริง โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลที่เผชิญปัญหาโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมไม่ทั่วถึง ทำให้ไม่สามารถพึ่งพาเพียงงบประมาณของรัฐได้อย่างแท้จริง
ดังนั้น โรงเรียนจำนวนไม่น้อยจึงต้องพึ่งพิงโครงการจากหน่วยงานอื่น เช่น โครงการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (Universal Service Obligation: USO) ของ กสทช. เพื่อช่วยลดช่องว่างด้านการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและสร้างโอกาสให้ครูและนักเรียนได้ใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ไขเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการยกระดับคุณภาพและความเสถียรของอินเทอร์เน็ตในโรงเรียน เป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้นโยบายเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาบรรลุผลด้านความเท่าเทียมระหว่างโรงเรียนในเมืองกับโรงเรียนชนบทได้อย่างจริง
นอกจากนี้ ปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกลไม่ได้กระทบเพียงการใช้อุปกรณ์เพื่อการเรียนรู้ในโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้งานเมื่อเด็กนักเรียนกลับไปที่บ้านด้วย แม้ในร่างขอบเขตของงาน (Terms of Reference: TOR) ของโครงการ Anywhere Anytime จะระบุถึงการจัดหาซิมการ์ดแบบใช้งานไม่จำกัดสำหรับเนื้อหาด้านการศึกษา และการใช้ข้อมูลทั่วไปเดือนละ 30 GB แต่ข้อเสนอดังกล่าวก็ยังไม่สามารถ ตอบโจทย์นักเรียนในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ครอบคลุมได้ ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับที่พบในโรงเรียนหลายแห่งเช่นกัน
2) หลักสูตรการสอน
การเรียนออนไลน์เป็นรูปแบบที่แตกต่างจากการเรียนในห้องเรียนปกติอย่างมาก แม้จะเพิ่มความยืดหยุ่นด้านเวลาและสถานที่ที่เอื้อต่อนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล แต่ก็มีข้อกังวลหลายประการ เช่น การขาดปฏิสัมพันธ์โดยตรงระหว่างครูกับนักเรียนและระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง แนวโน้มการมีส่วนร่วมในห้องเรียนลดลง กิจกรรมที่ต้องลงมือทำจริงทำได้ยากขึ้น ปัญหาสุขภาพจากการใช้หน้าจอนานเกินไป รวมถึงความท้าทายในการประเมินผลที่ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงต่อการทุจริตหรือการคัดลอก
การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่นี้เองชวนให้ผู้กำหนดนโยบายด้านการศึกษาต้องพิจารณารูปแบบหลักสูตรใหม่เพื่อการเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยีร่วมด้วย ย้ำว่าไม่ใช่เพียงหลักสูตรการสอนแบบออนไลน์เท่านั้น แต่เป็นหลักสูตรการสอนในห้องเรียนที่ใช้เทคโนโลยีร่วมด้วย หลักสูตรการสอนที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอนจะเปลี่ยนแปลงไป การประเมินผลจะเปลี่ยนแปลงไป คำนึงถึงผลกระทบทางสุขภาพกายและใจ[11]บางงานวิจัยพบว่าการเรียนออนไลน์ลดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของผู้เรียนและอาจส่งผลกระทบด้านสุขภาพจิตแก่นักเรียนได้ Rutkowska, Anna, Blazej Cieslik, Agata Tomaszczyk, and Joanna … Continue reading ซึ่งควรจะแตกต่างจากหลักสูตรแบบดั้งเดิม
ในโครงการ Anywhere Anytime หลักสูตรที่นำมาใช้คือ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นหลักสูตรเดิมที่ไม่ได้ปรับปรุงเนื้อหามานาน ไม่ได้มีการร่างขึ้นมาใหม่ ทำให้ไม่ทันสมัยและไม่สามารถตอบโจทย์การพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็นในโลกปัจจุบัน
ยิ่งไปกว่านั้น หากมีการปรับปรุงหลักสูตรใหม่ขึ้นภายหลัง สื่อการสอนที่ผลิตขึ้นมาไว้บนแพลตฟอร์มก็อาจต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ส่งผลต่อความคุ้มค่าของงบประมาณที่ลงทุนไป ที่ผ่านมา ฝ่ายการเมืองก็รับรู้และเริ่มดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรแล้ว โดยมีแนวคิดเปลี่ยนจากการเน้นเนื้อหา (content-based) เป็นเน้นสมรรถนะ (competency-based) และมีการทดลองนำร่องใน 200 โรงเรียนในพื้นที่นวัตกรรม แต่แนวทางดังกล่าวก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นการรื้อเนื้อหาใหม่ทั้งหมด หรือเพียงการแก้ไขตัวชี้วัดเล็กน้อยในหลักสูตรเดิม หากเป็นเพียงการแก้ไขเล็กน้อย สื่อการสอนที่ผลิตขึ้นใหม่ก็แทบไม่ต่างจากของเดิม และยังไม่สามารถสะท้อนการบูรณาการเนื้อหาเพื่อเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ได้อย่างแท้จริง
อีกทั้งผู้กำหนดนโยบายยังไม่มีภาพชัดเจนว่าสื่อที่ผลิตออกมาจะมีลักษณะอย่างไร จะถูกนำไปใช้อย่างไร และจะเชื่อมโยงกับการปรับปรุงหลักสูตรในอนาคตได้มากน้อยเพียงใด การพัฒนาเนื้อหาแพลตฟอร์มจึงยังดำเนินไปโดยไม่มีกรอบการบูรณาการกับการปฏิรูปหลักสูตรอย่างเพียงพอ
3) ทักษะการใช้งาน
นโยบายด้านเทคโนโลยีการศึกษาไม่อาจประสบความสำเร็จได้เพียงเพราะมีงบประมาณ โครงสร้างพื้นฐาน หรือหลักสูตรที่ดีเท่านั้น หากแต่ต้องอาศัยความพร้อมด้านทักษะของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ตั้งแต่ครู นักเรียน ไปจนถึงผู้ปกครอง
ครู ถือเป็นหัวใจสำคัญ หากครูขาดความมั่นใจหรือทักษะในการใช้เทคโนโลยี ก็มีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงการใช้งานและยังคงใช้วิธีการสอนแบบเดิม การพัฒนาวิชาชีพครูอย่างต่อเนื่อง และการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ระหว่างครู เช่น แพลตฟอร์ม Glow ของสกอตแลนด์ หรือโครงการครูพี่เลี้ยงช่วยสนับสนุนการใช้เครื่องมือดิจิทัลในฟินแลนด์ แสดงให้เห็นว่าการเสริมทักษะดิจิทัล การอบรมเชิงวิชาการ และการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดี ช่วยสร้างมาตรฐานร่วมและเพิ่มทั้งความมั่นใจและความสามารถในการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับการสอนได้จริง[12]Gabriel, Florence, Rebecca Marrone, Ysabella Van Sebille, Vitomir Kovanovic, and Maarten de Laat. 2022. “Digital Education Strategies around the World: Practices and Policies.” Irish Educational Studies 41 (1): 85–106.
นักเรียน เองก็ต้องการทักษะในการใช้เทคโนโลยีเชิงสร้างสรรค์ ไม่ใช่เพียงการบริโภคสื่อ แต่ต้องสามารถใช้เพื่อการเรียนรู้ การค้นคว้า และการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ทดลองใช้เครื่องมือดิจิทัลตั้งแต่ระดับประถมและมัธยมต้น จะช่วยสร้างความคุ้นเคยและต่อยอดสู่การใช้งานเชิงลึกในระดับสูงขึ้น
ผู้ปกครอง มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้กำกับดูแลการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล โดยเฉพาะในโครงการที่เน้นการเรียนรู้นอกโรงเรียน หากผู้ปกครองขาดความเข้าใจเรื่องการกำกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ อุปกรณ์ก็ไม่อาจตอบโจทย์ด้านการศึกษาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตัวอย่างจากออสเตรเลียและไอร์แลนด์ที่มีนโยบายนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาเอง (Bring Your Own Device: BYOD) แสดงให้เห็นว่าการสร้างความเข้าใจร่วม การกำหนดข้อตกลง และการเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบายการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลในโรงเรียน ช่วยเสริมความร่วมมือและทำให้การใช้อุปกรณ์เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการศึกษา[13]Gabriel, Florence, Rebecca Marrone, Ysabella Van Sebille, Vitomir Kovanovic, and Maarten de Laat. 2022. “Digital Education Strategies around the World: Practices and Policies.” Irish Educational Studies 41 (1): 85–106.
4) แรงจูงใจของครูและนักเรียนในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
แม้จะมีการจัดหาแพลตฟอร์มและอุปกรณ์ให้กับโรงเรียน แต่การทำให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้เพื่อการเรียนรู้ได้จริงยังคงเป็นเรื่องท้าทาย โดยธรรมชาติของผู้เรียนในวัยนี้มักจะใช้เทคโนโลยีเพื่อความบันเทิงมากกว่าการเรียนรู้ ดังนั้น การออกแบบกิจกรรมที่น่าสนใจและการปรับบทบาทของครูให้เป็นผู้สร้างแรงจูงใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ ครูไม่เพียงแต่ต้องชี้นำให้ผู้เรียนใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียน แต่ยังต้องสร้างเงื่อนไขที่จะเอื้อให้ผู้เรียนใช้แพลตฟอร์มเพื่อพัฒนาทักษะของตนเองได้จริง
อย่างไรก็ตาม หากครูไม่ได้มีส่วนร่วมในการสะท้อนความต้องการและข้อกังวลต่อนโยบาย โครงการที่มีการแจกอุปกรณ์อย่าง Anywhere Anytime นี้ก็ยากที่จะตอบโจทย์ปัญหาการเรียนการสอนอย่างแท้จริง
โครงการยังขาดการเตรียมความพร้อมด้านแผนงานระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีของครู การสร้างทัศนคติที่ดีต่อเทคโนโลยี หรือการออกแบบกิจกรรมที่สอดคล้องกับบริบทการเรียนรู้ ทั้งนี้ การเตรียมความพร้อมดังกล่าวไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น หรือเริ่มดำเนินการหลังจากมีการแจกอุปกรณ์แล้ว เพราะครูจำเป็นต้องมีเวลาในการปรับตัวและออกแบบการเรียนการสอนให้เหมาะกับบริบทเฉพาะของแต่ละโรงเรียน
ในขณะเดียวกัน ปัญหาการมีส่วนร่วมของนักเรียนก็ดำเนินไปในลักษณะเดียวกับส่วนของคุณครู กล่าวคือ นักเรียนไม่ได้มีโอกาสสะท้อนความต้องการ ปัญหา หรือข้อจำกัดที่ตนเองเผชิญเมื่อต้องเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี ผลลัพธ์คือหลายปัญหายังคงถูกมองข้ามไป เช่น ช่องว่างด้านทักษะและความรู้ เงื่อนไขในการใช้งานที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ รวมถึงความไม่สอดคล้องระหว่างเนื้อหาและกิจกรรมกับความต้องการจริงของผู้เรียน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้แม้นักเรียนจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในโครงการ แต่กลับมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายค่อนข้างน้อย

ตั้งหลักคิด: จะใช้เทคโนโลยีต้องตีโจทย์ให้แตก
บทความในส่วนนี้ชวนผู้อ่านตั้งหลักคิดถึงนโยบายเทคโนโลยีด้านการศึกษาหรือการเรียนออนไลน์ในบริบทการศึกษาไทยว่าควรไปในทิศทางใด ผ่านการทบทวนประสบการณ์จากต่างประเทศที่เคยดำเนินนโยบายที่คล้ายคลึงกันว่ามีผลกระทบในด้านใด เทคโนโลยีสามารถช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาได้ในบริบทแบบใดบ้าง และอะไรคือข้อควรระวังในการทำนโยบายด้านเทคโนโลยี
จะใช้ ‘เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา’ หรือเรียนเสริมกับห้องเรียน?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเรียนออนไลน์หรือการเรียนทางไกลมีบทบาทสำคัญในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่โรงเรียนไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ตามปกติ แม้ประสิทธิผลของการเรียนรู้จะไม่ทัดเทียมกับการเรียนในห้องเรียนจริง แต่ก็ถือเป็นกลไกสำรองที่ช่วยบรรเทาปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ (Learning loss) ได้ในยามฉุกเฉิน[14]Barron Rodriguez, M., C. Cobo, A. Muñoz-Najar, and I. Sánchez Ciarrusta. 2020. Remote Learning during the Global School Lockdown: Multi-Country Lessons. Washington, DC: World Bank.
วิกฤตดังกล่าวยังจุดประกายให้นักเศรษฐศาสตร์การศึกษาสนใจศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบของรูปแบบการเรียนที่แตกต่างกัน งานวิจัยที่ใช้ข้อมูลจากนักเรียนในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่พบว่า พื้นที่ที่นักเรียนได้เข้าห้องเรียนตามปกติมีอัตราการสอบผ่านลดลงน้อยกว่าพื้นที่ที่เรียนแบบผสมผสาน (hybrid) หรือเรียนออนไลน์เต็มรูปแบบ[15]Jack, Rebecca, Clare Halloran, James Okun, and Emily Oster. 2023. “Pandemic Schooling Mode and Student Test Scores: Evidence from US School Districts.” American Economic Review: Insights 5 (2): 173–90. https://doi.org/10.1257/aeri.20210748 งานวิจัยที่ศึกษาวิชาระดับมหาวิทยาลัยก็ได้ผลในทิศทางเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าการเรียนออนไลน์ไม่สามารถทดแทนห้องเรียนจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ[16]Bettinger, Eric P., Lindsay Fox, Susanna Loeb, and Eric S. Taylor. 2017. “Virtual Classrooms: How Online College Courses Affect Student Success.” American Economic Review 107 (9): 2855–75.
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบด้านลบจากการเรียนออนไลน์หนักหน่วงที่สุดในกลุ่มนักเรียนที่ยากจนที่สุด[17]Goldhaber, Dan, Thomas J. Kane, Adam McEachin, Eric Morton, Emily Patterson, and Douglas O. Staiger. 2023. “The Educational Consequences of Remote and Hybrid Instruction during the Pandemic.” American Economic Review: Insights 5 (3): 377–92. กล่าวคือ แม้แต่ในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดีกว่าไทย นักเรียนจากครอบครัวรายได้ต่ำก็ได้รับประโยชน์จากการเรียนทางไกลน้อยที่สุด และเผชิญผลกระทบเชิงลบมากที่สุด[18]ดูข้อมูลการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเปรียบเทียบระหว่างประเทศได้ทาง Our World in Data/internet
ผลเสียไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในช่วงที่เรียนออนไลน์เท่านั้น หลังจากที่โรงเรียนกลับมาเปิดการเรียนการสอนตามปกติ นักเรียนที่เคยเรียนออนไลน์ยังมีปัญหาในการปรับตัว งานวิจัยในระดับมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ พบว่านักศึกษาที่เรียนบางวิชาออนไลน์มักมีผลการเรียนลดลงในวิชาอื่นๆ ในภายหลัง อีกทั้งยังมีอัตราการลงทะเบียนเรียนในปีถัดไปต่ำกว่าเดิม[19]Bettinger, Eric P., Lindsay Fox, Susanna Loeb, and Eric S. Taylor. 2017. “Virtual Classrooms: How Online College Courses Affect Student Success.” American Economic Review 107 (9): 2855–75. สำหรับประเทศไทย งานศึกษาของ กสศ. ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่สำรวจนักเรียนปฐมวัยในภาคใต้ก็พบผลกระทบคล้ายกัน เด็กที่เรียนออนไลน์ในช่วงโควิดยังมีสมาธิสั้นลงและพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อด้อยกว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนออนไลน์ในวัยเดียวกัน[20]ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค กล่าวสัมภาษณ์ใน ภัคจิรา (2565)
จึงกล่าวได้ว่า ประสบการณ์ช่วงโควิด-19 แสดงให้เห็นว่า การเรียนออนไลน์ แม้จะมีประโยชน์ในฐานะเครื่องมือสำรองยามวิกฤต แต่ในระยะยาวกลับส่งผลกระทบเชิงลบต่อผู้เรียนมากกว่าการเรียนในห้องเรียนจริง
นอกจากรูปแบบการเรียนการสอนใหม่ที่มาพร้อมกับนโยบายเทคโนโลยี ผู้ออกแบบนโยบายควรจะต้องคำนึงถึงผลกระทบของการใช้อุปกรณ์การเรียนรู้แบบใหม่อย่างแท็บเล็ตหรือโน๊ตบุ๊คต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ด้วย การทบทวนงานวิจัยในต่างประเทศที่ประเมินผลกระทบของนโยบายการจัดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คให้เด็กนักเรียนมักไม่ได้เจอผลกระทบเชิงบวกหรือลบที่มีนัยยะสำคัญ (จากข้อมูลนักเรียนในสหรัฐ อังกฤษ) แต่เจอผลกระทบเชิงลบในประเทศอย่างโรมาเนียและเนเธอร์แลนด์เนื่องจากนักเรียนนำคอมพิวเตอร์ที่ได้รับไปใช้เล่นเกม[21]Escueta, Mara, Anna J. Nickow, Philip Oreopoulos, and Vincent Quan. 2020. “Upgrading Education with Technology: Insights from Experimental Research.” Journal of Economic Literature 58 (4): 897–996.
งานวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งศึกษาผลกระทบทางการศึกษาของนโยบายกระจายแท็บเล็ตที่มีหน้าจอสัมผัสกลับพบผลกระทบไปในทิศทางบวกในหลายงานวิจัย รวมถึงยังพบผลกระทบต่อพัฒนาการทางร่างกายด้านการเคลื่อนไหวอีกด้วย แต่ยังให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เทคโนโลยีส่งผลเชิงบวกต่อการเรียนรู้คือเรื่องแรงจูงใจและทักษะการใช้เทคโนโลยีที่ยังมีความสำคัญ[22]Hubber, Peter J., Lucy A. Outhwaite, Alfred Chigeda, Simon McGrath, Jeremy Hodgen, and Nicola J. Pitchford. 2016. “Should Touch Screen Tablets Be Used to Improve Educational Outcomes in Primary School Children in Developing Countries?” Frontiers in Psychology 7: 839.
มุ่งเป้าไปที่นักเรียนเฉพาะกลุ่มที่ด้อยโอกาสหรือนักเรียนทุกคน?
ทั้งประเทศจีนและสิงคโปร์ต่างใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาด้วยเป้าหมายร่วมกัน คือการลดความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงการเรียนรู้ แต่ทั้งสองประเทศก็มีลักษณะเฉพาะในวิธีการดำเนินงานที่น่าสนใจ
ในประเทศจีน แพลตฟอร์ม Smart Education of China (SEC) ถูกจัดทำโดย National Center for Educational Technology เปิดตัวปี 2020 เป็นศูนย์กลางทรัพยากรการเรียนรู้ดิจิทัลสำหรับครู นักเรียน และผู้ปกครอง ครอบคลุมทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา มีสื่อการเรียนรู้กว่า 44,000 รายการสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 19,000 รายการสำหรับอาชีวศึกษา และกว่า 27,000 หลักสูตรออนไลน์ (MOOCs) สำหรับระดับอุดมศึกษา
ในช่วงโควิด-19 SEC เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การเรียนการสอนดำเนินต่อไปได้ทั่วประเทศและยังมีโครงการ ‘MOOCs for Western China’ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาในพื้นที่ชนบทและภาคตะวันตก นอกจากนี้ SEC ยังพัฒนาครูหลายล้านคนให้สามารถใช้สื่อและเครื่องมือดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดเด่นของ SEC คือการทำให้ทรัพยากรทางการศึกษาเป็น ‘สินค้าสาธารณะ’ ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ส่งเสริมการเรียนรู้อิสระ การพัฒนาวิชาชีพครู การแบ่งปันทรัพยากรคุณภาพสู่พื้นที่ห่างไกล และความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับครอบครัว เพื่อสร้างระบบการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องและเท่าเทียมยิ่งขึ้น[23]UNESCO. 2022. “Smart Education Platform in China Laureate of UNESCO Prize in ICT in Education.” Accessed September 16, 2025. https://www.unesco.org/en/articles/smart-education-platform-china-laureate-unesco-prize-ict-education. Ministry of Education, PRC. 2024. “Press Release: Smart Education of China Platform Launches Comprehensive Application.” Accessed September 16, 2025. … Continue reading
ขณะที่ในประเทศสิงคโปร์ แพลตฟอร์ม Student Learning Space (SLS) ได้ขยายความหมายของ ‘ความเท่าเทียม’ ไปสู่กลุ่มนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษและนักเรียนด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจ รัฐบาลสิงคโปร์ทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น SG Enable และ Infocomm Media Development Authority (IMDA) เพื่อจัดหาอุปกรณ์ เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (assistive technology) และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตให้กับนักเรียนที่มีความพิการและครอบครัวรายได้น้อย ตัวอย่างเช่น มีการแจกอุปกรณ์เสริมการเรียนรู้เฉพาะด้าน เช่น เครื่องอ่านหน้าจอสำหรับผู้พิการทางสายตา และซอฟต์แวร์แปลงข้อความเป็นเสียง ตลอดจนโครงการ Home Access และ NEU PC Plus ที่สนับสนุนอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ตให้กับครัวเรือนรายได้น้อย เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนออนไลน์ได้อย่างต่อเนื่อง[24]Ministry of Education, Singapore. n.d. “Student Learning Space (SLS): Designed for Learning.” Accessed September 16, 2025. https://www.learning.moe.edu.sg/sls-designed-for-learning/. UNESCO. 2023. “Technology in Education: A Case Study on Singapore.” Accessed September 16, 2025. https://unesdoc.unesco.org/ark:/48223/pf0000387744.
อีกตัวอย่างคือแพลตฟอร์ม National Resource Hub (เรียกโดยย่อว่า Hub) ของไอร์แลนด์ มุ่งสนับสนุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะ ทั้งในด้านการสร้างและเผยแพร่เนื้อหาการเรียนแบบเปิด และการพัฒนาวิชาชีพคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษา Hub ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐและทำงานแบบเครือข่ายกับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เพื่อผลิตและแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้ที่เปิดให้ใช้ซ้ำ ปรับแต่ง และเข้าถึงได้ฟรี มีระบบตรวจสอบคุณภาพ และเน้นการมีส่วนร่วมของทั้งอาจารย์และนักศึกษาในการออกแบบและกำกับดูแลแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ Hub ยังให้ความสำคัญกับ ความหลากหลายและการมีส่วนร่วม เช่น การสร้างเนื้อหาที่เหมาะกับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษและรองรับผู้เรียนในพื้นที่ที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยังมีข้อจำกัด[25]UNESCO. 2023. “National Resource Hub from Ireland: Laureate of the UNESCO Prize for ICT in Education.” Accessed September 17, 2025. https://www.unesco.org/en/articles/national-resource-hub-ireland-laureate-unesco-prize-ict-education.
เมื่อเปรียบเทียบกับจีนและสิงคโปร์จะเห็นความต่างชัดเจน ที่กลุ่มเป้าหมาย จีน (SEC) และสิงคโปร์ (SLS) มุ่งพัฒนาระบบที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับประถม มัธยม จนถึงอุดมศึกษา รวมถึงเด็กด้อยโอกาส นักเรียนพิการ และผู้เรียนในพื้นที่ชนบทห่างไกล โดยจีนเน้นลดความเหลื่อมล้ำทางพื้นที่ ส่วนสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนนักเรียนพิการและครอบครัวรายได้น้อยควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้ทั้งประเทศ ในทางตรงกันข้าม ไอร์แลนด์เลือกที่จะโฟกัส เฉพาะระดับอุดมศึกษา และชี้ให้เห็นว่าการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาไม่จำเป็นต้องครอบคลุมทุกช่วงวัย แต่สามารถเน้นเชิงลึกในกลุ่มผู้เรียนเฉพาะได้ โดยเฉพาะการสร้างแหล่งทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด (Open Educational Resources: OER) คุณภาพสูงและการพัฒนาศักยภาพอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา
จากประสบการณ์ของประเทศต่างๆ ที่ได้รับการยกย่องด้านการบูรณาการเทคโนโลยีกับการเรียนการสอน จะเห็นได้ว่าแต่ละประเทศต่างมีเป้าหมายเชิงนโยบายที่ชัดเจนในการอุดช่องว่างของระบบการศึกษาเดิม ไม่ว่าจะเป็นการขยายโอกาสให้ผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาและเศรษฐกิจ หรือการพัฒนาทักษะวิชาชีพระดับสูงผ่านหลักสูตรออนไลน์ที่มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในสังคม กรณีเหล่านี้สะท้อนว่าผู้กำหนดนโยบายการศึกษาไทยควรหันกลับมาทบทวนช่องว่างที่มีอยู่ในระบบ และพิจารณาว่าควรใช้เทคโนโลยีรูปแบบใดในการเติมเต็มโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้เรียนอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง

ตั้งหลักคิด: ถึงจะใช้เทคโนโลยี ก็ต้องเริ่มที่คน
เพิ่มทักษะครูในห้องเรียน เพราะจะยังมีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้
แม้จะมีแพลตฟอร์มและอุปกรณ์ดิจิทัล แต่หากขาดครูผู้สอนที่มีทักษะและความมั่นใจในการใช้งาน เทคโนโลยีก็ไม่อาจสร้างคุณค่าทางการเรียนรู้ได้เต็มที่ ครูจึงถูกคาดหวังให้มีบทบาทสำคัญอย่างน้อยสามประการ ได้แก่ (1) นำเนื้อหาและอุปกรณ์จากแพลตฟอร์มไปปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของห้องเรียน โรงเรียน และตัวนักเรียน (2) ดูแล บำรุงรักษา และใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีภายในโรงเรียนให้พร้อมใช้งาน และ (3) กำกับดูแล และสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพและมีจริยธรรม ครูจึงไม่ใช่เพียง ‘ผู้ใช้เทคโนโลยี’ แต่เป็นผู้กำหนดบรรยากาศและทิศทางการเรียนรู้ในชั้นเรียนให้สอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบาย
ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการพัฒนาทักษะครูในการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอย่างจริงจัง ทั้งการใช้แพลตฟอร์มเพื่อสร้างเครือข่ายผู้สอนในการแลกเปลี่ยนความรู้และวิธีการสอน ตลอดจนการปรับปรุงหลักสูตรผลิตครูในคณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ ให้บูรณาการทักษะด้านเทคโนโลยีการศึกษาเข้าไปอย่างเป็นระบบ แทนที่จะจำกัดเพียงการมีสาขาเอกด้านเทคโนโลยีการศึกษาเป็นทางเลือกเฉพาะสำหรับนักศึกษาครูบางกลุ่มเท่านั้น
ลดความเหลื่อมล้ำด้านเทคโนโลยี (Digital Divide) ของครูและนักเรียน
ความเหลื่อมล้ำไม่ได้จำกัดอยู่เพียงระหว่างโรงเรียนในเมืองกับชนบท แต่ยังปรากฏในทักษะและโอกาสของทั้งครูและนักเรียน ครูบางส่วนยังขาดการฝึกอบรมระยะยาวและการสนับสนุนต่อเนื่อง ส่งผลให้ไม่สามารถออกแบบการเรียนรู้ที่ผสมผสานเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียนเอง โดยเฉพาะจากครอบครัวรายได้น้อย อาจไม่มีอินเทอร์เน็ตหรืออุปกรณ์ที่เพียงพอ จึงไม่สามารถใช้แพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้ได้จริง ดังนั้น การแก้ปัญหา digital divide จำเป็นต้องทำอย่างเป็นระบบ ทั้งการเพิ่มทักษะดิจิทัลให้ครู การสนับสนุนอุปกรณ์และการเชื่อมต่อแก่นักเรียน รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับผู้ปกครองเพื่อกำกับการใช้งานอุปกรณ์อย่างสร้างสรรค์[26]Bettinger, Eric P., Lindsay Fox, Susanna Loeb, and Eric S. Taylor. 2017. “Virtual Classrooms: How Online College Courses Affect Student Success.” American Economic Review 107 (9): 2855–75.
ระหว่างช่วงการเปลี่ยนผ่าน ควรใช้นโยบายการศึกษาทางไกล (DLTV) ควบคู่ไปด้วย เนื่องจากเป็นกลไกที่สามารถช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนครูผู้สอนในโรงเรียนขนาดเล็กและพื้นที่ห่างไกลได้จริง อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่ทำให้ผู้เรียนยังคงเข้าถึงการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะยังไม่สามารถพัฒนากำลังคนด้านการสอนหรือบุคลากรครูได้เพียงพอในระยะสั้น นโยบาย DLTV จึงถือเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยรองรับความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในช่วงระหว่างการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้อย่างเต็มรูปแบบ[27]ธร ปีติดล. 2568. โครงการติดตามพลวัตนโยบายการลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีในบริบทการศึกษา โดย สนับสนุนโดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา … Continue reading
ตั้งหลักสะสมองค์ความรู้ เพื่อวางยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีการศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการยังไม่ได้มีโครงสร้างการทำงานที่เอื้อต่อการผลักดันนโยบายด้านเทคโนโลยี กระทรวงยังขาดหน่วยงานที่ทำหน้าที่เชิงยุทธศาสตร์และสะสมองค์ความรู้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง เช่น วิเคราะห์วิจัยและสำรวจสถานการณ์ของการพัฒนาเทคโนโลยีในบริบทการศึกษา รวมถึงวางแผนที่ชัดเจนว่าจะต้องพัฒนาเทคโนโลยีในส่วนต่างๆของการศึกษาไทยอย่างไร
กระทรวงศึกษาธิการยังมีโครงสร้างแบบแยกส่วน ทำให้การผลักดันนโยบายด้านเทคโนโลยีต้องแยกกันดำเนินการ และขาดการประสานงานเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานในกระทรวง เช่น กระทรวงศึกษาธิการที่ขาดแคลนบุคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอยู่แล้ว เมื่อยิ่งต้องแยกกันดำเนินการ ก็ยิ่งทำให้ไม่สามารถดึงเอาความเชี่ยวชาญที่กระจายกันไปในแต่ละหน่วยงานมาประสานการทำงานร่วมกันได้
ท้ายที่สุด การดำเนินนโยบายด้านเทคโนโลยียังมีลักษณะเอนไปทางการสั่งการจากบนลงล่าง นโยบายถูกคิดและผลักดันจากฝ่ายการเมืองให้ข้าราชการส่วนกลางรีบดำเนินการ ปราศจากแผนการประเมินผลกระทบ ในขณะที่สภาพปัญหาในระดับพื้นที่เช่นที่เกิดในโรงเรียนจริงกลับไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาอย่างเพียงพอ การขาดช่องทางการมีส่วนร่วมจากตัวละครสำคัญเช่นครูและนักเรียนในการกำหนดนโยบาย จึงทำให้นโยบายเสี่ยงจะไม่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อการพัฒนาการศึกษาและการลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาไทย

↑1 | ส่วนหนึ่งจาก ธร ปีติดล. 2568. โครงการติดตามพลวัตนโยบายการลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีในบริบทการศึกษา โดย สนับสนุนโดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.). |
---|---|
↑2 | ภัคจิรา มาตาพิทักษ์. 2565. “เข้าใจ ‘วิกฤตการเรียนรู้ถดถอย’ บาดแผลจากโรคระบาดที่ตอกย้ำปัญหาใต้พรมการศึกษาไทย.” The 101 World, 20 กันยายน 2565. https://www.the101.world/learning-loss-policy-forum/. กองบรรณาธิการ. 2564. “เด็กจนโอกาส: เมื่อโรคระบาดกั้นกำแพงการเรียนรู้.” The 101 World, 24 พฤษภาคม 2564. https://www.the101.world/poor-opportunity-children/. |
↑3 | พรรคประชาธิปัตย์. 2566. อินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน ทุกห้องเรียน. เข้าถึงได้จาก https://www.democrat.or.th/policy/bangkok/policy9. |
↑4 | มติชนออนไลน์. 2566. ปชป. เปิดนโยบายการศึกษาทันสมัย เน้นพัฒนาคน 7 ด้าน เตรียมความพร้อม 0–6 ปี เรียนฟรี ป.ตรีไม่มีค่าหน่วยกิต. 9 พฤษภาคม 2566. เข้าถึงได้จาก https://www.matichon.co.th/politics/news_3969157. |
↑5 | พรรคก้าวไกล. 2566. เสาหลักนโยบายที่ 5: “ต้องก้าวไกล การศึกษาไทยก้าวหน้า.” 14 มกราคม 2566. เข้าถึงได้จาก https://www.moveforwardparty.org/article/16491/. |
↑6 | พรรคเพื่อไทย. 2566. นโยบาย การศึกษา. เข้าถึงได้จาก https://ptp.or.th/นโยบายหลักพรรคเพื่อไทย/educational-policy. |
↑7 | พรรคภูมิใจไทย. 2566. “ดร.กมล รอดคล้าย ทีมการศึกษา ภท. เล็งต่อยอดเรียนออนไลน์ให้มีคุณภาพ เพื่อความเท่าเทียม สร้างระบบใหม่การ จัดการสอน เปลี่ยนภาพจำของโรงเรียน นำพาคนไทยให้มีขีดความสามารถแข่งขันระดับโลก.” 27 มีนาคม 2566. เข้าถึงได้จาก https://bhumjaithai.com/news/85095. |
↑8 | สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. 2566. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา. 11 กันยายน 2566. เข้าถึงได้จาก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/72077. |
↑9 | Thai PBS. 2566. “แท็บเล็ต ยุคยิ่งลักษณ์ถึงไอเดีย เพิ่มพูน ควรไปต่อหรือพอได้แล้ว.” 20 กันยายน 2566. เข้าถึงได้จาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/331854. สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. แผนขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลตำรวจเอก ชิดชอบ เพิ่มพูน) ของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ระยะ 4 ปี (พ.ศ. 2567–2570). 2567. เข้าถึงได้จาก https://www.bic.moe.go.th/images/stories/pdf/เล่มแผนขับเคลื่อนนโยบาย_รมว._ระยะ_4_ปี_พ.ศ.2567_-_2570_.pdf. |
↑10 | จากการประมวล 2 บทความวิจัยที่ทบทวนวรรณกรรมด้านการศึกษาออนไลน์: Gabriel, Florence, Rebecca Marrone, Ysabella Van Sebille, Vitomir Kovanovic, and Maarten de Laat. 2022. “Digital Education Strategies around the World: Practices and Policies.” Irish Educational Studies 41 (1): 85–106. Najjar, Najib, Melissa Rouphael, Tania Bitar, and Walid Hleihel. 2025. “The Rise and Drop of Online Learning: Adaptability and Future Prospects.” In Frontiers in Education, vol. 10, 1522905. Frontiers Media SA. |
↑11 | บางงานวิจัยพบว่าการเรียนออนไลน์ลดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของผู้เรียนและอาจส่งผลกระทบด้านสุขภาพจิตแก่นักเรียนได้ Rutkowska, Anna, Blazej Cieslik, Agata Tomaszczyk, and Joanna Szczepanska-Gieracha. 2022. “Mental Health Conditions among E-Learning Students during the COVID-19 Pandemic.” Frontiers in Public Health 10: 871934. |
↑12, ↑13 | Gabriel, Florence, Rebecca Marrone, Ysabella Van Sebille, Vitomir Kovanovic, and Maarten de Laat. 2022. “Digital Education Strategies around the World: Practices and Policies.” Irish Educational Studies 41 (1): 85–106. |
↑14 | Barron Rodriguez, M., C. Cobo, A. Muñoz-Najar, and I. Sánchez Ciarrusta. 2020. Remote Learning during the Global School Lockdown: Multi-Country Lessons. Washington, DC: World Bank. |
↑15 | Jack, Rebecca, Clare Halloran, James Okun, and Emily Oster. 2023. “Pandemic Schooling Mode and Student Test Scores: Evidence from US School Districts.” American Economic Review: Insights 5 (2): 173–90. https://doi.org/10.1257/aeri.20210748 |
↑16, ↑19, ↑26 | Bettinger, Eric P., Lindsay Fox, Susanna Loeb, and Eric S. Taylor. 2017. “Virtual Classrooms: How Online College Courses Affect Student Success.” American Economic Review 107 (9): 2855–75. |
↑17 | Goldhaber, Dan, Thomas J. Kane, Adam McEachin, Eric Morton, Emily Patterson, and Douglas O. Staiger. 2023. “The Educational Consequences of Remote and Hybrid Instruction during the Pandemic.” American Economic Review: Insights 5 (3): 377–92. |
↑18 | ดูข้อมูลการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเปรียบเทียบระหว่างประเทศได้ทาง Our World in Data/internet |
↑20 | ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค กล่าวสัมภาษณ์ใน ภัคจิรา (2565) |
↑21 | Escueta, Mara, Anna J. Nickow, Philip Oreopoulos, and Vincent Quan. 2020. “Upgrading Education with Technology: Insights from Experimental Research.” Journal of Economic Literature 58 (4): 897–996. |
↑22 | Hubber, Peter J., Lucy A. Outhwaite, Alfred Chigeda, Simon McGrath, Jeremy Hodgen, and Nicola J. Pitchford. 2016. “Should Touch Screen Tablets Be Used to Improve Educational Outcomes in Primary School Children in Developing Countries?” Frontiers in Psychology 7: 839. |
↑23 | UNESCO. 2022. “Smart Education Platform in China Laureate of UNESCO Prize in ICT in Education.” Accessed September 16, 2025. https://www.unesco.org/en/articles/smart-education-platform-china-laureate-unesco-prize-ict-education. Ministry of Education, PRC. 2024. “Press Release: Smart Education of China Platform Launches Comprehensive Application.” Accessed September 16, 2025. http://en.moe.gov.cn/news/press_releases/202404/t20240401_1123431.html. |
↑24 | Ministry of Education, Singapore. n.d. “Student Learning Space (SLS): Designed for Learning.” Accessed September 16, 2025. https://www.learning.moe.edu.sg/sls-designed-for-learning/. UNESCO. 2023. “Technology in Education: A Case Study on Singapore.” Accessed September 16, 2025. https://unesdoc.unesco.org/ark:/48223/pf0000387744. |
↑25 | UNESCO. 2023. “National Resource Hub from Ireland: Laureate of the UNESCO Prize for ICT in Education.” Accessed September 17, 2025. https://www.unesco.org/en/articles/national-resource-hub-ireland-laureate-unesco-prize-ict-education. |
↑27 | ธร ปีติดล. 2568. โครงการติดตามพลวัตนโยบายการลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีในบริบทการศึกษา โดย สนับสนุนโดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.). |