เป็นแรงงานเร็วขึ้น แต่ไม่ได้รับการคุ้มครองเหมือนเดิม? : ความเสี่ยงของเด็กและเยาวชนในโลกการทำงานยุคใหม่

101 PUB

5 September 2025

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบัน ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำยังคงส่งผลให้หลายครัวเรือนประสบปัญหาในการเลี้ยงดูเด็กและเยาวชน จนเด็กหลายคนที่เกิดมาในครอบครัวรายได้ต่ำ ต้องดิ้นรนหางานทำตั้งแต่ยังเล็กเพื่อหาเงินมาจุนเจือตัวเองและครอบครัว และกลายเป็นกลุ่มแรงงานที่มีสถานะเปราะบางกว่าแรงงานทั่วไป

เมื่อผนวกกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทใกล้ชิดกับชีวิต ก่อให้เกิดงานแบบใหม่ในโลกออนไลน์ ทั้งงานรับจ้างรายชิ้นจากแพลตฟอร์มออนไลน์ งานที่ไม่มีสัญญาจ้าง งานที่ไม่ได้ตรงตามมาตรฐานหรือความเข้าใจของคนรุ่นเก่า ฯลฯ งานเหล่านี้กำลังกลายเป็นแหล่งเงินของเด็กและเยาวชน เพราะเข้าถึงได้ง่าย หากแต่กฎหมายแรงงานที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมลักษณะงานดังกล่าว ดังนั้นคำถามสำคัญคือกฎหมายแรงงานไทยควรจะปรับเปลี่ยน แก้ไขไปในทิศทางใด เพื่อให้คุ้มครองแรงงานรุ่นเยาว์ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานเร็วขึ้นทุกที

ร่วมหาคำตอบไปด้วยกัน กับงานวิจัย ‘กฎหมายคุ้มครองแรงงานที่มีเด็กและครอบครัวเป็นศูนย์กลาง’ โดย รศ.ดร.ทศพล ทรรศนพรรณ และ ภาสกร ญี่นาง จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยความเห็นจากนักวิชาการแรงงาน โดย ผศ.ดร.กฤษฎา ธีระโกศลพงษ์ จากคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอนรรฆ พิทักษ์ธานิน จากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาจากวงเสวนา ‘เมื่อเด็ก-เยาวชนทำงาน: ความเสี่ยงใหม่กับข้อจำกัดของกฎหมายแรงงาน’ ในงานเสวนา ‘เติบโตในโลกใหม่? จากเอไอ ถึงอนาคตของงาน สู่ความคิด-ความฝันของเด็กและเยาวชนไทย’ เมื่อวันอังคารที่ 19 สิงหาคม 2568



เมื่อกฎหมายแรงงานที่มีอยู่ ไม่รองรับเด็กและครอบครัวในเศรษฐกิจยุคใหม่


เมื่อชีวิตต้องเข้าสู่ตลาดแรงงาน สิทธิและสวัสดิการที่คุ้มครองคนทำงานคือสิ่งพื้นฐานที่แรงงานควรได้รับ แต่ที่ผ่านมาพบว่า แม้มีเด็กและเยาวชนจำนวนมากเริ่มทำงานแบบเต็มเวลาไม่ต่างจากผู้ใหญ่ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ แรงงานอายุน้อยเหล่านี้กลับไม่ได้รับการรับรองจากกฎหมายแรงงาน หรือมีสิทธิตามที่พึงได้รับ

เหตุเพราะกฏหมายแรงงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ถูกสร้างเมื่อครั้งที่นิยามการทำงานของเด็กและเยาวชน เกิดขึ้นแค่ในสถานประกอบการอย่างโรงงานอุตสาหกรรม ห้างร้าน หรือในพืชสวนไร่นา ไม่ได้ครอบคลุมถึงงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้แรงงานเด็กบนโลกอินเทอร์เน็ตกลายเป็นกลุ่มเสี่ยง จากการที่มีจำนวนแรงงานบนโลกออนไลน์มากขึ้น เกิดตัวเลือกการจ้างงานจากฝั่งนายจ้างมากขึ้น ก่อให้เกิดการแย่งชิงการจ้างงาน และนำไปสู่การกดขี่ ด้อยสิทธิแรงงานกลุ่มดังกล่าวที่ไร้อำนาจการต่อรองและขาดหลักประกันความมั่นคงจากกฏหมายในที่สุด

จากปัญหาดังกล่าว นำไปสู่กรอบแนวคิดการวิเคราะห์ในงานวิจัย ‘กฎหมายคุ้มครองแรงงานที่มีเด็กและครอบครัวเป็นศูนย์กลาง’ โดยพิจารณา 2 ประเด็นหลัก หนึ่ง คือตั้งคำถามต่องานในลักษณะดั้งเดิม ได้แก่ งานในภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม ว่ากฎหมายแรงงานไทยที่มีอยู่ ทำให้เกิดการกำหนดมาตรฐานของงานที่ตอบสนองต่อความต้องการของคนทำงานได้เป็นอย่างดีหรือยัง โดยวิเคราะห์ผ่านองค์ประกอบขั้นต่ำของหลักประกันสิทธิแรงงาน 5 ประการ ได้แก่ ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม, การบริหารที่เป็นธรรม, สภาพการทำงานที่ปลอดภัย, ระบบตัวแทนที่เป็นธรรม และข้อสัญญาที่โปร่งใส ทั้งยังตั้งคำถามต่องานในศตวรรษที่ 21 จำพวกงานออนไลน์ งานคอนเทนต์ และอื่นๆ ที่เป็นงานสมัยใหม่ในทำนองเดียวกัน

สอง คือการศึกษาเรื่องการคุ้มครองความเปราะบางของเด็กในบริบทการทำงานตามหลักมนุษยชน โดยตั้งคำถามว่าเราจะสามารถบรรลุสิทธิของแรงงาน และดูแลสิทธิในฐานะของเด็กที่สามารถพัฒนาตนเองได้ ได้รับการคุ้มครอง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาไปพร้อมกันได้หรือไม่

จากกรอบแนวคิดที่ตั้งไว้ งานวิจัยดังกล่าววิเคราะห์และวิพากษ์ปรากฏการณ์ต่างๆ ในสังคม ภายใต้บริบทของประชากรเด็กที่จำเป็นต้องเข้าสู่ตลาดแรงงานก่อนวัยทำงาน กล่าวคือบางกรณี เด็กไม่ได้มีเสรีภาพเลือกเข้าไปทำงานด้วยตัวเอง แต่เพราะเงื่อนไขชีวิตรวมกับโครงสร้างทางสังคมที่บีบคั้น ทำให้เด็กจำนวนหนึ่งต้องทำงานทั้งในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการบริการ ดังที่ทีมวิจัยพบว่าในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมนั้นมักจะมีแรงงานเด็กเข้าไปมีส่วนอยู่บ่อยครั้ง และในหลายกรณียังมีการลักลอบแอบใช้งานแรงงานเด็กแม้เป็นการละเมิดกฎหมาย อาทิ การใช้แรงงานเด็กในโรงงาน แรงงานเด็กในภาคประมง ซึ่งเด็กต้องเสี่ยงต่อภัยอันตราย ถูกละเมิดสิทธิด้านความปลอดภัยในชีวิต ขณะเดียวกัน แรงงานเด็กในภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยว ก็มักมีกรณีแรงงานเด็กที่ต้องทำงานโดยไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการทำงานเกิดขึ้นโดยทั่วไป

“มองในมิติอื่น ๆ นอกเหนือจากเรื่องการจ้างงานแล้ว เราจะเห็นว่าสภาพการจ้างงานเด็กที่เผชิญกับความไม่เป็นธรรมและมีความเปราะบาง มันจะกระทบกับสิทธิอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิการศึกษา สิทธิที่จะมีเวลาพัฒนาตนเอง เช่นเดียวกัน ขณะที่เด็กคนนั้นที่ทำงานอยู่เผชิญกับความเปราะบาง เขากลับไม่ได้เข้าถึงหรือไม่สามารถเข้าถึงระบบสวัสดิการหรือหลักประกันสังคมที่มั่นคงแน่นอน” ภาสกร ญี่นาง อธิบาย

นอกจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากสภาพการทำงานต่อเด็กโดยตรงแล้ว คุณภาพชีวิตของเด็กภายใต้ครอบครัวที่เป็นแรงงานบางประเภทก็อาจได้รับผลกระทบ ตัวอย่างเช่น ครอบครัวแรงงานในแคมป์งานก่อสร้าง แรงงานบริการตามเมืองใหญ่ หรือเมืองท่องเที่ยว มักเผชิญปัญหาถูกกดขี่แรงงาน ละเมิดสิทธิของพ่อแม่จากนายจ้าง ส่งผลให้พ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงดูเด็ก และจำต้องบังคับให้เด็กออกมาทำงานด้วย นำไปสู่การละเมิดสิทธิของเด็กโดยครอบครัวอีกทอดหนึ่ง

ในเรื่องข้อกฏหมาย ภาสกรได้กล่าวถึงปัญหากฎหมายแรงงานที่ยังไม่ครอบคลุมการทำงานของเด็กได้ทุกประเภท โดยเฉพาะงานในลักษณะจ้างไม่เต็มเวลา (Part-Time) ซึ่งเป็นกลุ่มงานที่เด็กส่วนใหญ่เข้าทำงาน นายจ้างมักปฏิเสธความรับผิดชอบและไม่ให้การคุ้มครองแรงงานกลุ่มนี้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ด้วยอ้างว่าแรงงานกลุ่มนี้ไม่ใช่ลูกจ้างประจำ จึงไม่มีความจำเป็นต้องให้หลักประกันและสวัสดิการเหมือนลูกจ้างประจำ แรงงานกลุ่มนี้จึงมักจะโดนกดขี่ค่าจ้าง เวลาพัก ค่าทำงานล่วงเวลา เป็นต้น

เมื่อมองในบริบทงานยุคใหม่ เด็กหลายคนเข้าไปทำกิจกรรม สร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ Twitch TikTok หรือแพลตฟอร์ม Live สดต่าง ๆ ในทางกฎหมายนั้นถือว่าเป็นการทำงานรูปแบบหนึ่งโดยเอาตัวเองเข้าไปผูกพันกับแพลตฟอร์ม หากแต่สัญญาและข้อตกลงการทำงานต่างๆ นั้น คนทำงานไม่เคยต่อรองกับแพลตฟอร์มได้เลย

“คนทำงานที่เป็นพวกสตรีมเมอร์ เขาถูกกำหนดชั่วโมงว่าต้องทำงานกี่ชั่วโมงขั้นต่ำในแต่ละเดือน ไม่งั้นจะไม่ได้ค่าตอบแทน ซึ่งข้อตกลงต่างๆ เกิดขึ้นโดยการกำหนดเพียงฝ่ายเดียวคือแพลตฟอร์ม โดยที่ไม่มีอีกฝ่ายเข้ามาเจรจาต่อรองได้เลย” ภาสกรอธิบาย

นอกจากงานที่เกี่ยวโยงกับแพลตฟอร์มแล้ว ภาสกรยังกล่าวถึงงานในอุตสาหกรรมบันเทิงจำพวกศิลปิน ไอดอล ซึ่งถือเป็นอีกกลุ่มงานในยุคสมัยใหม่ และเป็นประเด็นต่อการคุ้มครองแรงงานเด็กด้วยเช่นกัน โดยยกกรณีตัวอย่างอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีใต้ ที่ปัจจุบันเริ่มมีการเดบิวต์ศิลปินตั้งแต่อายุ 13-14 ปี ทำให้มีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อคุ้มครองศิลปินเด็ก เช่น ออกกฎหมายห้ามศิลปินเด็กแสดงออกในเชิงล่อแหลมทางเพศ แต่ประเทศไทยยังไม่มีกฏหมายคุ้มครองศิลปินในส่วนนี้

“กฎหมายของไทย บางครั้งยังไม่มองเรื่องศิลปินไอดอลทั้งหลายเป็นแรงงานด้วยซ้ำ แม้ว่าจะถูกอำนาจบังคับบัญชาจากฝั่งค่ายหรือบริษัท” ภาสกรว่า

ด้านการนำเด็กมาทำคอนเทนต์ต่างๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อหารายได้ จริงอยู่ที่ผู้ปกครองจำนวนมากโพสต์คอนเทนต์เด็กเพื่อโชว์ความน่ารักของลูกหรือมีเจตนาที่ดี และตามกฏหมายว่าด้วยการละเมิดสิทธิของเด็ก กำหนดว่าต้องเป็นการกระทำโดยมิชอบ มีเจตนาให้เกิดความอับอาย แต่ในทางปฏิบัติ อย่าลืมว่านี่เป็นการละเมิดสิทธิและความเป็นส่วนตัวของเด็กแบบหนึ่งได้เหมือนกัน


พัฒนาการคุ้มครองสิทธิ เปลี่ยนแปลงให้เท่าทันยุคสมัย


ปัญหาใหญ่ของกฏหมายแรงงานและกฏหมายคุ้มครองสิทธิของเด็กขณะนี้คือการก้าวไม่ทันความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลก ทำให้สิทธิแรงงานต่างๆ ยังไม่ครอบคลุมถึงแรงงานเด็กจำนวนมาก ข้อเสนอของงานวิจัยดังกล่าวจึงเป็นแนวทางการพัฒนาสิทธิแก่แรงงานเด็กในสองรูปแบบ คือการพัฒนาสิทธิแก่เด็กในกลุ่มแรงงานแบบดั้งเดิม และการพัฒนาสิทธิงานในยุคสมัยใหม่ โดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงและความเปราะบางใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมและสภาพเศรษฐกิจ

การพัฒนาสิทธิเด็กในกลุ่มแรงงานแบบดั้งเดิมนั้น ภาสกรเสนอให้มีการปรับลดชั่วโมงการทำงานให้เหมาะสม โดยไม่กระทบกับสิทธิในส่วนอื่นของแรงงานเด็ก เพราะหากการปรับลดนี้ส่งผลให้ได้รับค่าตอบแทนน้อยลง จะยิ่งทำให้เด็กต้องทำงานมากขึ้น และสุดท้ายก็จะกระทบต่อสิทธิในการพัฒนาตนเองของเด็กอยู่ดี

นอกจากนี้ การมีระบบติดตามและการเฝ้าระวังแรงงานเด็ก ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิของเด็กทั้งในที่ทำงานและครอบครัว ยิ่งไปกว่านั้น ต้องสร้างอำนาจการต่อรองของเด็กในฐานะแรงงานต่อนายจ้าง โดยเฉพาะในรูปแบบการรวมกลุ่มแรงงานเด็ก มีระบบตัวแทนเสียงเพื่อให้แรงงานเด็กมีคุณภาพและมีอำนาจในการต่อรองมากยิ่งขึ้น เพิ่มเติมด้วยการขจัดแรงงานเด็กออกจากงานที่อันตราย สร้างพื้นที่ปลอดภัยในที่ทำงาน ส่งเสริมพื้นที่การเรียนรู้และพัฒนาตนเอง และส่งเสริมช่วงเวลาการพักผ่อนและเล่นของเด็กๆ ด้วย

ในส่วนของการพัฒนาสิทธิเด็กในกลุ่มแรงงานยุคสมัยใหม่ รศ.ดร.ทศพล ทรรศนพรรณ เสนอให้มีการยอมรับสถานะของเด็กและเยาวชนในฐานะแรงงาน ขยายขอบเขตของกฏหมายและบัญญัติกฏหมายใหม่ให้ครอบคลุมการทำงานในทุกรูปแบบ ออกแบบกลไกการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรม กำหนดชั่วโมงการทำงานให้เหมาะสมกับการพัฒนาตนเองและชีวิตในวัยเรียน คุ้มครองป้องกันมิให้ให้เด็กกลายเป็นวัตถุทางเพศ และสร้างการเรียนรู้ทางด้านดิจิทัล ตลอดจนพัฒนาอำนาจการรวมกลุ่มเพื่อต่อรองกับแพลตฟอร์มได้


รศ.ดร.ทศพล ทรรศนพรรณ


“หลังจากการทบทวนกฎหมายที่มีอยู่ในประเทศไทย และกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี เราพบว่าตัวกฎหมายที่รัฐไทยเข้าร่วมและสร้างขึ้นมาภายใน เป็นผลผลิตจากการประนีประนอมระหว่าง รัฐ นายจ้าง และแรงงานแบบเดิม แต่ขาดสิ่งสำคัญมากคือการพูดถึงแพลตฟอร์มหรือนายจ้างแบบใหม่ๆ หรือคนที่หยิบยื่นเงินมาให้กับเด็กและเยาวชนในกลุ่มที่ทำงานแบบใหม่ ๆ ว่าเขาจะสามารถจ้างงานอย่างมีคุณภาพและทำให้เด็กมีสวัสดิภาพและสามารถพัฒนาตนเองที่ดีได้อย่างไร?” ทศพลกล่าว

“เราปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับโลกาภิวัฒน์ เกิดการจ้างงานเสรี และระบบดิจิทัลเข้าถึงอุปกรณ์ที่เด็กมีอยู่กับตัว บางคนอาจจะมองในมุมกลับกันว่า การใช้เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์สามารถหารายได้ แต่หลังจากนั้นแล้ว สิทธิสวัสดิการที่พึ่งมี หรือผลกระทบที่ตามมา จะควบคุมกำกับดูแลอย่างไร

“เพื่อทำให้ช่องว่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือกฎหมายเก่าที่ยังไม่รองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีหรือระบบการจ้างงานแบบใหม่ เราต้องอุดหรืออาจจะต้องคิดกันใหม่ว่าจะเอาใครเข้ามาในสมการการกำกับควบคุมดูแล”


ยอมรับเพื่อรับรองสิทธิ : ความท้าทายของสวัสดิการและสิทธิของแรงงานเด็กที่ควรจะเกิดขึ้น


แม้ว่าในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ทศวรรษ 2490 รัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหาเรื่องแรงงานเด็กเพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ โดยการออกมาตรการห้ามใช้แรงงานเด็ก แต่ในระยะหลังมานี้ พบว่ามีการใช้แรงงานเด็กเป็นจำนวนมากขึ้น ในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งในบางแบบ สังคมกลับมองว่าเป็นความขยันและความกตัญญูของเด็กมากกว่ามองในมิติสิทธิที่เด็กควรได้รับ งานวิจัยชิ้นนี้จึงชี้ให้เห็นถึงช่องว่างทางกฎหมายเกี่ยวกับแรงงานและการคุ้มครองเด็ก ที่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผ่านไป ได้สร้างช่องว่างใหม่ที่กฎหมายก็ไล่ตามความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน

ในมุมมองของ ผศ.ดร.กฤษฎา ธีระโกศลพงษ์ จากคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่าความท้าทายอย่างหนึ่งสำหรับการแก้ไขปัญหาแรงงานเด็ก คือการทำให้แรงงานเด็กเกิดการรวมตัวกันเพื่อเป็นกระบอกเสียงและสร้างอำนาจต่อรองกับนายจ้าง เนื่องจากในปัจจุบัน สังคมในกลุ่มเด็กมีความเป็นปัจเจกสูงมาก แต่ละคนเองก็อยากจะมีรายได้ ยิ่งเมื่อมีตัวกลางอย่างแพลตฟอร์มเข้ามาช่วยหางานให้เด็กโดยไม่มีการจำกัดเวลา ยิ่งทำให้สิทธิแรงงานของเด็กถูกละเลยลงโดยที่แพลตฟอร์มเองไม่มีการรับผิดชอบแต่อย่างใด การจะรวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานก็ทำได้อย่างลำบาก และกฎหมายยังไม่มีการควบคุม ดังนั้นหากต้องการเพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับแรงงานเด็ก อาจจะต้องเปลี่ยนแนวทางการรวมตัวใหม่

“เราพูดถึงการทำงานของเยาวชนเยอะ แต่มันมีบางอย่างที่ควรจะทำให้เขาได้ทำงานระหว่างเรียน มีการฝึกฝนระหว่างการทำงานและมีการดูแลเขาด้วย ดีกว่าปล่อยให้เขาไปหางานเอง” กฤษฎากล่าว


ผศ.ดร.กฤษฎา ธีระโกศลพงษ์


กฤษฎายังเสนอแนวทางการคุ้มครองสิทธิแรงงานเด็ก ทั้งเรื่องการออกแบบระบบการเรียนรู้การทำงานควบคู่กับการเรียน เช่น การออกมาตรฐานการฝึกงานระหว่างเรียนและการคุ้มครองสิทธิของเด็กระหว่างการฝึกประสบการณ์ทำงาน ดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งอาจช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้และได้รับการคุ้มครองตามสิทธิของเด็ก แทนที่จะออกไปหางานเพียงลำพังและเสี่ยงที่จะถูกกดขี่จากนายจ้าง

นอกจากเรื่องปัญหาการรวมตัวกันของแรงงานเด็กแล้ว ทศพลเสริมว่าปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือช่วงอายุของเด็กและเยาวชนที่สั้น ทำให้การเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิแรงงานของเด็กทำได้ยาก เพราะหลายคนกำลังเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ การเคลื่อนไหวจะทำได้ลำบาก ดังนั้นพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองจึงเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสำคัญที่จะต้องเข้าไปเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายระดับภาครัฐ ให้เป็นมาตรการทางกฏหมายที่สามารถกำกับได้ทั้งบรรษัท ผู้ประกอบการเอกชน หรือแพลตฟอร์มต่างๆ ให้มีมาตรฐานภายใต้การควบคุมของรัฐ

ความท้าทายอีกอย่างของการแก้ไขปัญหาในมุมมองของ อนรรฆ พิทักษ์ธานิน จากสถาบันเอชัยศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือแนวโน้มการหารายได้ของแรงงานเด็กบนแพลตฟอร์มจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น หากมองในประเด็นกฎหมายหรือการคุ้มครองแรงงานบนแพลตฟอร์ม เราอาจต้องพิจารณาเรื่องความสัมพันธ์ของการทำงานและความสัมพันธ์ของการจ้างงาน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ประเด็นที่ชัดเจนกว่า คือการมองผ่านแง่มุมสิทธิเด็กว่าเด็กมีสิทธิที่จะหารายได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและพัฒนาการของเด็ก


อนรรฆ พิทักษ์ธานิน


“ผมคิดว่าพอเป็นประเด็นเด็ก แล้วมามองฝั่งของสิทธิและการคุ้มครอง มันน่าจะพูดคุยหรือสามารถสร้างระบบของแพลตฟอร์มได้มากกว่าเรื่องของแรงงาน

“มันยากมากในการดันเรื่องแรงงานในประเด็นแพลตฟอร์ม แต่ถ้าเราสลับมาเรื่องของเด็กกับประเด็นครอบครัว ผมคิดว่าภายใต้โครงสร้างในทางกฎหมายมันทำได้เลยว่า แพลตฟอร์มต้องทำอย่างไร ใครปล่อยปละละเลยจะต้องทำอย่างไร ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าจะเป็นทางออกที่ทำได้ ” อนรรฆกล่าวทิ้งท้าย



ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ The101.world

เรียบเรียง/นำเสนอ

101 PUB

บทความที่เกี่ยวข้อง

วันนี้เด็กไทยมีความสุขดีไหม? ฟังความคิด ตรวจสุขภาพใจเยาวชนเจเนอเรชันใหม่

101 PUB ชวนอ่านผลสำรวจเยาวชน คิด for คิดส์ 2025 เพื่อทำความเข้าใจความคิดอ่าน ความต้องการของเด็กทุกวันนี้ พร้อมข้อเสนอแนะด้านนโยบายจากผู้เชี่ยวชาญ

101 Public Policy Think Tank
ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง

ศูนย์วิจัยนโยบายสาธารณะไทยในบริบทโลกใหม่ สร้างสรรค์ความรู้ด้านนโยบายสาธารณะที่มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มพลังให้ประชาชนสามารถตัดสินใจอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ในเรื่องสำคัญที่มีความหมายต่อชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และสังคม

Copyright © 2025 101pub.org | All rights reserved.