ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจสังคมที่รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ครอบครัวไทยกับ ‘หนี้’ ย่อมเป็นสิ่งแยกขาดจากกันได้ยาก เห็นได้จากมูลค่ารวมหนี้ครัวเรือนไทยของประเทศ เมื่อไตรมาส 4 ปี 2024 ที่สูงถึง 16.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 88.4% ของจีดีพี
หนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่การแบกรับหนี้ข้ามรุ่นยังเป็นอุปสรรคของเด็กและเยาวชนในการเข้าถึงโอกาส การมีความฝัน การยกระดับคุณภาพชีวิต และแน่นอนว่าหมายรวมถึงการมีอนาคตที่ดีกว่า
รายงาน ‘ถูกสาปให้พ่ายแพ้ในกระแสความเปลี่ยนแปลง: รายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัว ประจำปี 2025’ ของศูนย์นโยบายความรู้เด็กและครอบครัว คิด for คิดส์ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ 101 Public Policy Think Tank (101 PUB) ระบุว่ามีเด็กและเยาวชนอายุไม่เกิน 25 ปี จำนวนกว่า 6.2 ล้านคน หรือราว 61% ของทั้งหมด อยู่ในครัวเรือนที่มีหนี้ โดยปริมาณหนี้รวมเฉลี่ยของครัวเรือน คือ 4.4 แสนบาท คิดเป็น 45% ของมูลค่าสินทรัพย์ที่ถือครอง และถึงแม้ข้อมูลจะชี้ชัดว่าครัวเรือนที่มีรายได้ทั้งสูงหรือต่ำ ล้วนแล้วแต่มีหนี้ แต่แน่นอนว่ากลุ่มคนที่ต้องเจ็บปวดจากการเป็นหนี้มากที่สุดย่อมคือกลุ่มเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นคนจนเมืองหรือชนบท ที่มีรายได้ไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงจะล้มละลายเมื่อใดก็ตามที่ชีวิตเผชิญวิกฤต
สิ่งที่ต้องเร่งทำความเข้าใจในห้วงเวลานี้ จึงเป็นภาพรวมสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทย ผลของหนี้ต่อชีวิตเด็กและเยาวชน รวมถึงคนตัวเล็กตัวน้อยในมิติต่างๆ ตั้งคำถามว่าเหตุใดมาตรการของรัฐจึงยังไม่ตอบโจทย์ และท้ายที่สุดแล้วเราจะแก้ปัญหาหนี้ที่ต้นตอได้อย่างไร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน
วันโอวัน ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดวงคุยเพื่อตอบคำถามดังกล่าว ร่วมสนทนาโดย ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์, ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวรดร เลิศรัตน์ หัวหน้าทีมเครือข่ายวิจัยและขับเคลื่อนนโยบาย และนักวิจัย 101 PUB
หมายเหตุ: เรียบเรียงเนื้อหาส่วนหนึ่งจากรายการ Public Forum – เด็กและครอบครัวไทยในยุค(ห)นี้ เผยแพร่เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ดำเนินรายการโดย ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย บรรณาธิการอาวุโส The101.world
‘หนี้เป็นปัญหาของคนหมู่มาก’ ว่าด้วยสถานการณ์หนี้ในสังคมไทย
โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ กล่าวว่าหนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยที่มีมายาวนาน ราวสิบปีที่ผ่านมาคนไทยสะสมหนี้มาตลอด ทั้งหนี้บ้าน หนี้รถ จนเมื่อมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งคนขาดรายได้ เป็นช่วงที่หนี้สูงขึ้นมาก หลังจากนั้นด้านธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมีมาตรการเฉพาะจุด เช่น โครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’
สำหรับพลวัตในปัจจุบัน คือหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงบ้างเล็กน้อย หนี้เดิมก้อนใหญ่เริ่มลดลงบ้าง อาจเป็นเพราะคนเข้าร่วมมาตรการมากขึ้น แต่ความต้องการหนี้สูงขึ้น ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินปล่อยกู้น้อยลง เนื่องจากผู้คนเสียประวัติการชำระหนี้ในช่วงโควิด-19 และสถาบันการเงินเริ่มล้มละลาย ดังนั้นโดยรวมแล้ว ผู้คนยังต้องการเข้าถึงหนี้อยู่ แต่เข้าถึงได้ยากขึ้น
โสมรัศมิ์กล่าวว่าในภาพใหญ่มีห้าประเด็นที่ส่งผลให้การแก้หนี้ยากขึ้น
หนึ่ง – 90% ของครัวเรือนไทยมีหนี้สิน สะท้อนว่าเป็นปัญหาของคนหมู่มาก
สอง – คนหนึ่งคนมีหนี้ก้อนโตเฉลี่ยคนละ 450,000 บาท และค่ามัธยฐานอยู่ที่ 270,000 บาท โดยหนี้ทั้งหมดนี้คือหนี้ในระบบอย่างเดียว
สาม – จากจำนวนคนเป็นหนี้ทั้งหมด มีเพียง 20% ที่มีหนี้ในระบบอย่างเดียว ที่เหลือใช้ทั้งในและนอกระบบร่วมกัน เช่น สหกรณ์ กองทุนหมู่บ้าน รวมถึงหนี้นอกระบบ
สี่ – หนี้บ้านคือหนี้เสีย ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้มาชำระหนี้ ไม่ได้ลงทุนเพื่อให้รายได้กลับมา ส่งผลให้ไม่มีรายได้มาจ่ายหนี้ และเมื่องวดถี่ ดอกเบี้ยสูง ทำให้การผิดนัดไม่กี่งวดก็สร้างหนี้ก้อนโตได้รวดเร็ว
ห้า – ตัวเลขหนี้เสียมีประมาณ 20% ของจำนวนคนเป็นหนี้ แม้จะดูเป็นจำนวนที่ไม่มากนึก แต่ขณะเดียวกัน ใน 80% ที่เหลือ มี 30% ในนั้นเป็นหนี้เรื้อรัง จ่ายได้เพียงแค่ดอกเบี้ย ทำให้ต้องอยู่กับหนี้ไปเรื่อยๆ
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ความหลากหลายของหนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนยากจนหรือคนเปราะบาง เพียงแต่ในกลุ่มคนเปราะบางจะเป็นหนี้เรื้อรังและหนี้เสียมากกว่า
สำหรับสถานการณ์หนี้ในเด็กและเยาวชน วรดร เลิศรัตน์ กล่าวข้อค้นพบจากรายงานสถานการณ์เด็กและเยาวชนว่า เด็กและเยาวชนอายุไม่เกิน 25 ปี ประมาณ 6 ล้านคน กำลังเติบโตอยู่ในครัวเรือนมีหนี้ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ คือประมาณ 60% ของเยาวชนทั้งหมด
ผลกระทบของหนี้ต่อชีวิตค่อนข้างหลากหลายแตกต่างกัน ในภาพรวมพบว่า มีภาระในการผ่อนชำระเมื่อมีหนี้ กล่าวคือครัวเรือนที่มีหนี้ ใช้ 20% ของรายได้ในการผ่อนหนี้แต่ละเดือน ทำให้เบียดบังรายได้ที่จะใช้จ่ายในชีวิตครอบครัวและบุตรหลาน แม้สัดส่วนจะไม่แตกต่างกันในแต่ละระดับรายได้ แต่ความต่างคือปริมาณหนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อครัวเรือนที่รายได้น้อยมากกว่า เพราะเงินที่เหลือจากการชำระหนี้จะน้อยลงมาก
ต่อมา เมื่อใช้เส้นความยากจนเป็นเกณฑ์ จะมีเด็กและเยาวชนยากจนประมาณ 7% แต่หากหักลบรายได้ด้วยค่าผ่อนหนี้ของแต่ละครัวเรือนแล้ว สัดส่วนจะเพิ่มเป็น 13% นอกจากนี้ ยังมีเด็กและเยาวชนที่มีรายได้หลังผ่อนหนี้ไม่เกิน 1.25 เท่าจากเส้นความยากจนมากถึง 1 ใน 5 ของสังคมไทย กล่าวได้ว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานะ ‘เกือบจน’
หนึ่งในผลกระทบของหนี้ คือการดูแลและการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวลดน้อยลง อีกทั้งหนี้ยังเป็นภาระของเยาวชนด้วย โดยวรดรกล่าวว่า “เยาวชนจำนวนมากรู้สึกว่าตัวเองถูกคาดหวังจากครอบครัวว่าสักวันหนึ่งจะต้องใช้หนี้ของครอบครัว เราลองถามเยาวชนว่าถ้าได้เงินหนึ่งล้านบาทจะเอาไปทำความฝันอะไรในชีวิต ขณะที่เยาวชนที่ไม่มีหนี้ ระบุว่าต้องการนำเงินไปเรียนต่อ แต่สำหรับ 40% ของเยาวชนที่มีหนี้ พบว่าสิ่งที่จะทำเป็นอันดับแรกคือนำเงินไปใช้หนี้ให้ที่ครอบครัว การเป็นหนี้จึงเบียดบังโอกาสที่เยาวชนจะนำเงินไปใช้เพื่อความฝันของตนเอง”
หนี้กับครัวเรือนยากจน
ในมุมมองของนักมานุษยวิทยา บุญเลิศ วิเศษปรีชา กล่าวถึงหนี้ในมิติของคนจนเมือง ซึ่งมีความเสี่ยงเป็นหนี้ในลักษณะที่แตกต่างจากพนักงานเงินเดือนทั่วไป “อันดับแรก หนี้สำหรับคนจนไม่ใช่หนี้จากการซื้อบ้าน แต่มาจากเรื่องพื้นฐานคือรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องหนี้ ผมคิดว่าสิ่งสำคัญมากคือจะทำอย่างไรให้พวกเขามีรายได้ขึ้นมา” ยิ่งประกอบกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ฝืดเคือง ยิ่งทำให้รายได้ของคนทำงานรับจ้างลดน้อยลง
“อันดับที่สองคือสำหรับคนจนเมือง เขาทำงานในภาคที่ไม่มีความมั่นคง มีความเสี่ยงสูง ทำให้เขาอยู่ในสถานะเสี่ยงว่าจะกลายเป็นคนมีหนี้” บุญเลิศยกตัวอย่างคนขายอาหารตามสั่งที่ไม่สามารถคาดการณ์รายได้ของตนในแต่ละวันได้ เพราะในวันที่มีรายได้ อาจจะพอสำหรับจ่ายดอกเบี้ย แต่ในวันที่ไม่มีลูกค้า ก็ไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ย และมีแนวโน้มนำไปสู่การสร้างหนี้ใหม่
ประเด็นถัดมาที่บุญเลิศกล่าวคือ “คนจนเมืองไม่ได้เป็นหนี้สถาบันการเงิน เขาเป็นหนี้นอกระบบ” เขาอธิบายว่าสูตรของหนี้นอกระบบส่วนใหญ่คือ ยืม 1,000 บาท ส่ง 50 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 20 เป็นเวลา 24 วัน ปัญหาที่พบค่อยคือเมื่อมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นในระหว่างทางจนไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ ก็ต้องเริ่มต้นใหม่ เป็นเหตุให้วงจรหนี้ยังคงอยู่
ต่อประเด็นการปราบปรามเจ้าหนี้ผู้มีอิทธิพลในชุมชน บุญเลิศกล่าวว่ามีความสัมพันธ์เชิงอำนาจบางประการ คือ “คนจนเมืองรู้ว่าชีวิตของตนไม่มีความมั่นคง วันหน้าก็จะต้องพึ่งพาผู้มีอิทธิพลเหล่านี้อีก แล้วใครจะไปชี้ระบุตัว มันเป็นเรื่องพื้นฐานมาก ดังนั้นต้องเข้าใจความไม่มั่นคงของชีวิตที่นำไปสู่หนี้นอกระบบแบบนี้”
สำหรับคำถามว่าในเมื่อร้อยละ 20 เป็นอัตราที่สูง แต่ทำไมคนจนจึงเลือกกู้นอกระบบ บุญเลิศให้คำตอบว่า “ถ้าคุณทำอาชีพนอกระบบ ไม่มีสลิปเงินเดือน ก็ไม่สามารถกู้ในระบบได้” เขาอธิบายว่าเงินกู้นอกระบบที่ต้องใช้เอกสารเพียงบัตรประชาชนและการทำสัญญา คือสิ่งที่รองรับความต้องการของคนจนเมืองได้ ทั้งนี้มีความแตกต่างระหว่างคนจนเมืองที่กู้เงินนอกระบบและในระบบ เช่น บางกลุ่มเปลี่ยนชีวิตเมื่อเขาไปเป็นพนักงานถนนกวาดของ กทม. ทำให้เขาสามารถกู้ในระบบหรือสหกรณ์ได้ แต่คนจำนวนมากเข้าไม่ถึงสินเชื่อแบบนั้น
ประเด็นถัดมาคือแล้วเราจะทำให้คนจนเมืองหรือชุมชนคนจนเมืองสามารถเข้าถึงสินเชื่อที่ไม่เสี่ยงได้อย่างไร? โสมรัศมิ์กล่าวว่าในชนบทมีระบบสถาบันการเงินชุมชนที่สร้างดุลยภาพในการหมุนหนี้ เช่น กองทุนหมู่บ้าน สหกรณ์ เหล่านี้ปล่อยเงินกู้ แต่ไม่ได้เก็บข้อมูลว่ากู้เกินศักยภาพหรือไม่ ทำให้คนกู้ต่อไปได้เรื่อยๆ จนเกินศักยภาพ นอกจากนี้ยังเอื้อต่อการหมุนหนี้ไปมา เช่น กู้กองทุนหมู่บ้านเพื่อมาชดใช้หนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.)
โสมรัศมิ์กล่าวว่าระบบการเงินของไทยออกแบบไม่ตรงกับวิถีของคน โดยในต่างประเทศมีระบบการเงินระดับจุลภาคหรือ ไมโครไฟแนนซ์ (Micro-Finance) มีรูปแบบของสินเชื่อหลายแบบ ที่ต่อให้คนไม่มีเครดิต ก็เปิดโอกาสให้สร้างเครดิต เช่น บางวันรายได้เยอะ บางวันรายได้น้อย ดังนั้นประเทศไทยอาจออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่คนสามารถนำเงินไปฝากเมื่อมีรายได้ และถอนออกมาเมื่อขาดรายได้ และยิ่งไปกว่าสินเชื่อ คือต้องมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สร้างการผูกมัดให้ออมเงินด้วย
‘หนี้’ กระทำต่อ ‘ชีวิตคน’ อย่างไร
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าหนี้ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน คำถามสำคัญคือหนี้ส่งผลต่อทัศนคติและพฤติกรรมในการใช้ชีวิตอย่างไร ต่อประเด็นนี้ บุญเลิศกล่าวว่า “คนที่ติดในกับดักหนี้ เขาวางอนาคตตัวเองยาก ความหวังขั้นต่ำของเขาคือเมื่อไหร่จะหมดหนี้”
เขาเน้นย้ำถึงแนวคิดความทุกข์ทรมานทางสังคม (social suffering) ว่าอำนาจทางเศรษฐกิจสังคมไปลดทอนคุณค่าในตัวมนุษย์ โดยยกกรณีแม่ค้าขายข้าวกล่องในชุมชนที่ตนเคยไปสัมภาษณ์ในงานวิจัย ว่าถูกมอเตอร์ไซค์ทวงหนี้ตวาดด้วยคำพูดหยาบคายจนน้ำตาร่วง “ความรู้สึกของคนเป็นหนี้ ความรู้สึกของคนที่ถูกเหยียด ถูกตำหนิ มันรุนแรงกระทบกับเขาขนาดไหน หนี้กระทำกับชีวิตคนแบบนี้ มันลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” และถึงแม้ว่าจะมีคนกล่าวโทษว่าคนเป็นหนี้เนื่องมาจากผลของการกระทำของตัวเอง แต่บุญเลิศย้ำว่า “ไม่มีใครอยากเป็นแบบนี้”
ด้านวรดรเสริมในส่วนของเด็กและเยาวชนว่า “เด็กและเยาวชนในบ้านที่มีหนี้ไม่กล้าฝัน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะถ้าไม่เริ่มกล้าฝันก็จะไม่มีฝันอะไรเลย เพราะชีวิตมีความไม่แน่นอนสูงว่าในวันข้างหน้าเขาจะมีรายได้ไหม มีทุนให้เขาได้เติมเต็มความฝันหรือเปล่า ความไม่แน่นอนและภาระที่ต้องผ่อนหนี้ ทำให้เด็กไม่กล้าฝัน และเมื่อไม่กล้าฝันก็ทำให้ยากจะเดินไปได้ไกลในการเติบโต”
อีกประเด็นหนึ่งคือด้านการลดทอนความเป็นมนุษย์ วรดรกล่าวว่า “เยาวชนในครอบครัวมีหนี้ มีทุนทางจิตวิทยาในมิติที่เชื่อมั่นในขีดความสามารถตัวเอง -เชื่อมั่นว่าจะทำสิ่งต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จได้- ต่ำกว่ากลุ่มที่ครอบครัวไม่มีหนี้อย่างมีนัยสำคัญ รวมไปถึงความสามารถที่เชื่อว่าตนเองจะฟื้นตัวกลับมาหลังเกิดปัญหาหรือวิกฤต (resilience) ก็ต่ำกว่ากลุ่มที่ครอบครัวไม่มีหนี้เช่นกัน”
วรดรยกตัวอย่างงานศึกษาในต่างประเทศว่า พบความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างหนี้ครัวเรือนกับเยาวชน กล่าวคือ หนี้รักษาพยาบาลและหนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ประกัน จะส่งผลกระทบให้เด็กและเยาวชนคุณภาพชีวิตแย่ลง โดยผลกระทบที่พบบ่อยคือ “ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวมักตึงเครียดมากขึ้น พบบ่อยในครัวเรือนมีหนี้ที่ยากจนและเปราะบาง”
ในขณะที่อีกประเภทคือหนี้ก่อดอกผล เช่น หนี้บ้าน หนี้การศึกษา มักมีความสำคัญในช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน และการเลื่อนลำดับชั้นทางสังคมในระยะยาว หนี้ลักษณะนี้มักพบในครัวเรือนที่รายได้สูงขึ้น
คนสูงวัยชำระหนี้ไม่ไหว คนรุ่นใหม่เป็นหนี้เร็วขึ้น
เมื่อกล่าวถึงหนี้ในครัวเรือน หนีไม่พ้นที่จะต้องกล่าวถึงสองกลุ่มประชากรที่แตกต่างกันแต่แบกรับหนี้เช่นเดียวกัน นั่นคือคนสูงวัยและคนรุ่นใหม่ ต่อประเด็นนี้ โสมรัศมิ์กล่าวถึงบริบทของครอบครัวเกษตรกรว่าเกษตรกรส่วนใหญ่อายุมากแล้วและยังทำการเกษตรอยู่ พร้อมทั้งยังกู้ ธกส. เพื่อให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือ และหนี้เหล่านี้จะเป็นมรดกตกทอดไปสู่ลูกหลาน ซึ่งจะเติบโตไปกับการมีหนี้จากการลงทุนในตัวพวกเขาเอง
“สถานการณ์หนี้ไม่ใช่เรื่องรายคน แต่เป็นเรื่องของทั้งครัวเรือน” โสมรัศมิ์กล่าว
ส่วนในแง่ของคนรุ่นใหม่ที่เป็นหนี้เร็ว โสมรัศมิ์กล่าวว่ามักพบในชุนชนเมืองเป็นหลัก เมื่อลูกหลานเติบโตขึ้น เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองเพื่อหวังทำงานส่งเงินกลับไปทางบ้านที่ชนบท แต่ก็จำต้องทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และมีค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย รวมถึงค่านิยมต่างๆ ที่หล่อหลอมให้เป็นหนี้ได้เร็วขึ้น จึงเริ่มเป็นหนี้เสียตั้งแต่อายุยังน้อย ส่งผลต่อประวัติทางการเงิน ทำให้ความสามารถในการลงทุนในอนาคตลดน้อยลง
เมื่อถามถึงศักยภาพในการชำระหนี้ของคนทั้งสองวัย โสมรัศมิ์ให้คำตอบว่าอายุเป็นปัจจัยหนึ่ง ไม่จำเป็นว่าอายุมากแล้วศักยภาพในการชำระหนี้จะถดถอย เพราะแม้อายุมากแต่มีสินทรัพย์ ก็สามารถปลดหนี้ได้ แต่ในแง่ปัจจัยด้านกำลังหรือสมรรถนะ คนอายุน้อยอาจมีมากกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อคนสูงอายุติดกับดักหนี้ถ้วนหน้า ทำให้เด็กและเยาวชนโตมากับหนี้ก้อนโต ทั้งหมดผสมปนเปทำให้มีความยากในการเข้าถึงการปลดหนี้ และความมุ่งมั่นในการปลดหนี้จะน้อยลงไปด้วย
จากที่โสมรัศม์กล่าวถึงในเชิงภาพใหญ่ บุญเลิศให้ภาพของชีวิตครอบครัวคนจนเมืองที่เป็นหนี้ เขากล่าวยกตัวอย่างว่าครอบครัวเหล่านี้อาจอยู่ได้แบบสถานการณ์ปริ่มน้ำ มักจะมีหนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตต่างๆ เช่น สมาชิกในครอบครัวป่วย แม้ค่ารักษาจะฟรี แต่ก็มีค่าเดินทาง
นอกจากนี้ เขากล่าวว่า “ต้นธารหนึ่งซึ่งเป็นที่มาให้ครัวเรือนในชุมชนเป็นหนี้ ก็คือตั้งแต่พวกเขายังเด็กๆ ตั้งแต่พวกเขาไปโรงเรียน ตั้งแต่วันเปิดเทอม” การไปโรงเรียนของเด็กแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายมากมาย แม้จะมีเงินอุดหนุน แต่ก็ไม่ครอบคลุมค่าชุดนักเรียนและรองเท้านักเรียนของเด็ก
บุญเลิศเล่าต่อไปว่าหนี้อีกประเภทหนึ่งที่พบได้บ่อยครั้งคือหนี้เพื่อการศึกษา เขาพบว่าครัวเรือนที่ลูกเรียนจบมหาวิทยาลัย จำเป็นต้อง กู้ กยศ. เมื่อนักศึกษาขอทุน กู้กยศ. หลายกรณีก็ต้องหยุดเรียนเพื่อกลับไปทำงาน แล้วจึงกลับมาเรียนใหม่ หลายกรณีต้องแบ่งค่าใช้จ่ายรายเดือนไปให้ครอบครัวด้วย
‘การศึกษา’ ยกระดับชีวิตหรือก่อหนี้เพิ่ม?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเด็นที่กล่าวไปข้างต้นชวนให้ตั้งคำถามว่า การลงทุนเพื่อการศึกษาของเยาวชน ที่ควรจะออกดอกผลเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิต แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทำไมจึงมักกลับการเป็นการก่อหนี้เพิ่มให้เยาวชนต้องแบกรับเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่
วรดรให้คำตอบประการแรกคือ “การศึกษาเองมีคุณค่าบางอย่างที่ช่วยให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสมากขึ้น สามารถหารายได้ ยกระดับฐานะ หรือเติมเต็มความฝันของตนเองได้ดีขึ้น แต่ปัญหาคือมีต้นทุนหลายอย่างที่รายล้อมการศึกษาอยู่” ก่อนจะอธิบายว่าเมื่อถามถึงต้นทุนในการเข้าถึงการศึกษาท่ามกลางนโยบายเรียนฟรี คำตอบส่วนใหญ่คือค่าเดินทาง โดยเฉพาะในชุมชนเมือง ขณะที่ในต่างจังหวัด เมื่อเด็กโตขึ้นระดับหนึ่ง ครอบครัวก็ต้องผ่อนมอเตอร์ไซค์ให้เด็กและเยาวชนใช้เดินทางไปเรียน จึงเป็นส่วนหนึ่งของการก่อหนี้ที่ผูกพันกับชีวิตพวกเขาตั้งแต่เด็ก
“การศึกษาเองไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือการเข้าถึงต้นทุนที่รายล้อมมันอยู่” วรดรย้ำ
ประการต่อมา วรดรตั้งคำถามต่อคุณภาพของการศึกษาว่า “การศึกษาในเชิงคุณภาพสามารถตอบโจทย์ให้เด็กและเยาวชนให้มีชีวิตดีขึ้นและเติมเต็มความฝันได้ขนาดไหน เพราะถ้าวันหนึ่งต้องกู้ กยศ. ในฐานะการลงทุนอย่างหนึ่งเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น แต่สุดท้ายการศึกษานั้นไม่ได้ก่อดอกผลให้มีรายได้พอที่จะกลับไปผ่อนกยศ. ดังนั้นการศึกษาก็อาจจะล้มเหลวในเป้าหมายนี้”
เขากล่าวต่อไปว่าในช่วงที่ผ่านมา กยศ. เองก็ลดการปล่อยกู้ให้นิสิตนักศึกษารายใหม่เกือบสองแสนคน ทำให้เด็กและเยาวชนจำนวนมากไม่สามารถข้ามกำแพงของมัธยมปลาย ปวช. หรือ ปวส. ไปสู่ช่วงชั้นมหาวิทยาลัยได้
ด้านโสมรัศน์มองว่าหากปล่อยให้กู้มากเกินไป อาจไม่ส่งผลดี เพราะคำถามคือเด็กทุกคนจำเป็นต้องเรียนมหาวิทยาลัยหรือไม่ และการเรียนมหาวิทยาลัยจะพัฒนาเด็กได้จริงหรือ เพราะการกู้ กยศ. จากการที่มหาวิทยาลัยต้องการให้เด็กมาเรียนเพื่อให้ครบโควตา เด็กอาจต้องแบกรับหนี้สินโดยไม่พร้อมก็ได้ ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าหาก กยศ. มีกระบวนการคัดกรองที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ โสมรัศมิ์ยังกล่าวว่าการลงทุนในการศึกษาเป็นต้นตอของปัญหาหนี้ ไม่ว่าจะชุมชนเมือง ชนชั้นกลางหรือคนยากจน คนทุกกลุ่มก้อนมีแรงจูงใจในการลงทุนในลูก ในครอบครัวยากจนก็จะต้องแบกรับใช้จ่ายมากกว่าเดิม ขณะที่ชนชั้นกลางก็มีการแข่งขันสูง มีแรงบีบคั้นให้เรียนพิเศษ มีกิจกรรมวันเสาร์อาทิตย์ ทำให้พ่อแม่ต้องลงทุนในส่วนนี้เพิ่มเติม
“ทุกกลุ่มชนชั้นต้องพยายามดิ้นรนหาเงินมาเพื่อลงทุนในลูกให้ได้มากที่สุด และผลสุดท้ายคือเด็กจะเรียนจบมาพร้อมกับการไม่มีเงินออม เพราะพ่อแม่ทุ่มเงินไปหมดแล้วกับการเรียน ซึ่งมองไปข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร พวกเขาจะสามารถหารายได้ได้อย่างไร ทักษะที่เรียนมาใช้ได้หรือเปล่า พวกเขาจึงมีความเปราะบางค่อนข้างสูง ผนวกกับการไม่มีเงินออมและยังมีหนี้ติดตัวมาด้วย” โสมรัศน์ทิ้งท้าย
ทำอย่างไรให้คนไทยหลุดพ้นจากกับดักหนี้?
เราได้เห็นแล้วว่าหนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนอย่างไร ดังนั้นสิ่งที่จะต้องผลักดันต่อไปคือข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้พวกเขาหลุดพ้นจากกับดักหนี้
สำหรับบุญเลิศ เขากล่าวในมิติของคนจนเมืองว่า “หากจินตนาการว่าปีนี้เราเสกให้หนี้มลายหายไป ปีหน้าเราก็จะมาคุยกันเรื่องหนี้อีกอยู่ดี เพราะต้นตอที่ทำให้รายได้ไม่พอรายจ่ายไม่ได้ถูกแก้”
บุญเลิศกล่าวว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนรุ่นพ่อแม่ที่สามารถสร้างตัวได้มากกว่า ในขณะที่ปัจจุบันพื้นที่ในเมืองถูกแปรให้เป็นสินค้าทุกตารางนิ้ว ไม่มีความทนทานต่อหาบเร่แผงลอยที่ไม่สวยงาม ทำให้คนรุ่นปัจจุบันเติบโตจากการทำอาชีพเหล่านี้ได้ยากขึ้น จึงต้องใช้ช่องทางการศึกษา แต่ถ้าหากไม่ใช่เด็กที่มีผลการเรียนดี ก็มักหลุดจากระบบการศึกษา และออกมาทำงานเป็นไรเดอร์ หรือทำงานรายชั่วโมง เช่น เป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อ ซึ่งทุกวันนี้โอกาสในการหารายได้ในเมืองก็น้อยลง ทำให้มีรายได้ยากขึ้น
ต่อประเด็นเรื่องหนี้ บุญเลิศกล่าวว่าตนเคยทำงานกับองค์กรพัฒนาชุมชน และพบว่าการช่วยเหลือกันในชุมชนผ่านการออมทรัพย์และกู้ยืมกันในกลุ่มนั้นมีประสิทธิภาพมาก “หนี้ไม่ได้ส่งผลเชิงลบเสมอไป แต่เป็นช่องทางในการเติบโตและตั้งตัวได้ โดยเก็บดอกเบี้ยในราคาที่สมเหตุสมผล กลุ่มออมทรัพย์ในชุมชนจึงมีพลังและช่วยเหลือกันได้จริง ไม่เพียงแต่กู้ยืมไปเพื่อประกอบอาชีพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการกู้ยืมยามเจ็บป่วย และเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาของลูกหลานด้วย”
อย่างไรก็ตาม บุญเลิศมองว่าทุกวันนี้วงจรข้างต้นเกิดขึ้นยากกว่าเดิม คำอธิบายชุดหนึ่งคือสมัยก่อนกลุ่มออมทรัพย์สร้างความรู้สึกว่าทุกคนในชุมชนเป็นเจ้าของเงินออม แต่วินัยทางการเงินเช่นนี้เริ่มเสียเมื่อรัฐโยนเงินเข้ามาและผู้คนมีความรู้สึกว่ารัฐจะไม่มาทวงเงินคืน จึงเริ่มไม่คืนเงินกองทุน ความไว้เนื้อเชื่อใจในชุมชนจึงถูกบั่นทอนลง ทุกวันนี้พวกเขาจึงหันไปกู้ยืมแบบปัจเจก
“หนี้ถูกทำให้เป็นเรื่องธรรมชาติ คนที่มีรายได้ไม่พอก็ถูกดึงให้เป็นหนี้ พวกเขาถูกดึงให้มีความจำเป็นต้องใช้เงินเหมือนคนอื่น แต่พวกเขาไม่มีศักยภาพเหมือนคนอื่นในการเข้าถึงช่องทางแหล่งเงินกู้ปกติ ไม่มีช่องทางในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ทำให้พวกเขาลำบากกว่าคนอื่น” ซึ่งบุญเลิศมองว่าการจัดการของภาครัฐนั้น “ไม่ได้ง่ายแบบแค่โยนเงินเข้าไป แต่ต้องอาศัยการจัดการพอสมควร”
ด้านโสมรัศมิ์มองว่า “การแก้หนี้อย่างยั่งยืน ต้องจัดการต้นตอที่ทำให้หนี้เกิดขึ้นและคงอยู่ ซึ่งได้แก่ ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมรายได้ไม่พอ ปัญหาสวัสดิการไม่มีโครงข่ายความปลอดภัย (safety net) ทำให้ต้องหันมาพึ่งพิงสินเชื่อ ในระบบการเงินฐานรากทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ หลายแหล่งต่างปล่อยกู้นอกระบบหรือกึ่งในและนอกระบบ ซึ่งเมื่อเข้าถึงได้แล้วก็กู้เพิ่มเพื่อหมุนเงินหรือนำไปใช้หนี้ที่มีอยู่ เมื่อทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ทำให้เกิดวงจรของการเป็นหนี้”
อีกประการหนึ่งคือ เมื่อระบบการเงินฐานรากไม่ตอบโจทย์ คนหันไปกู้นอกระบบซึ่งเข้าถึงได้ง่ายกว่า ทำให้จุดประเด็นนิสัยของคนให้มีความต้องการมากขึ้น ซึ่งโสมรัศมิ์มองว่า “ระบบการเงินหล่อหลอมความเป็นคนของเรา” ดังนั้นคนอาจมองผลลัพธ์ในระยะสั้น โดยละเลยการคำถึงผลกระทบในระยะยาว
นอกจากนี้ โสมรัศมิ์ยังเห็นว่านโยบายภาครัฐบางนโยบายก็อาจสร้างแรงจูงใจที่ไม่ดีนัก เช่น การพักหนี้เกษตรกร และหากจะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้ จำเป็นต้องแก้ไขตั้งแต่โครงสร้างเศรษฐกิจสังคม แต่หากกล่าวถึงการแก้ไขในเชิงสถาบันการเงินแล้ว การแก้หนี้มีสองส่วนได้แก่ หนี้เก่าและหนี้ใหม่
ในด้านการลดหนี้เก่า กระดุมเม็ดแรกคือการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ยืดอายุสัญญา ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างหนี้มีต้นทุน เพราะคนไทยเป็นหนี้เกินศักยภาพค่อนข้างมาก และอีกประเด็นที่ทำให้ลดหนี้เก่าได้ยาก คือ last mile problem เพราะการสื่อสารมาตรการเข้าไม่ถึงกลุ่มคนเปราะบาง หรือต่อให้แม้มาตรการดีและเข้าถึงกลุ่มเปราะบาง แต่ไม่มีการกระตุ้นให้มีวินัยในการจ่ายหนี้ หรือความถี่ของงวดไม่สอดคล้องกับความถี่ของรายได้ คนก็อาจไม่จ่ายหนี้ มาตรการอาจไม่เกิดผลเท่าที่ควร
“สถาบันการเงินต้องเข้าถึงและสร้างกลไกให้เกิดการผูกมัดด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง” โสมรัศมิ์ย้ำ
ส่วนในแง่การลดหนี้ใหม่ โสมรัศมิ์กล่าวว่าจำเป็นจะต้องมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินหรือสถาบันทางการเงินที่เข้าใจกระแสรายได้ในกลุ่มคนที่รายได้ไม่แน่นอนหรือมีความเสี่ยง ควรกระตุ้นให้พวกเขาออมเงินในวันที่มีรายได้ และควรพิจารณาความถี่ของงวดว่าสอดคล้องกับความถี่และความไม่แน่นอนของกระแสรายหรือไม่ และต้องมีกลไกที่ปล่อยเงินกู้แล้ว พวกเขาสามารถจ่ายคืนได้ด้วย หากดำเนินการได้ตามนี้จะช่วยให้ผู้คนที่มีรายได้ไม่แน่นอนสามารถบริหารจัดการเงินได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ “ระบบนิเวศของการเงินฐานรากต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพราะปัจจุบันมีทั้งธนาคารรัฐ ธนาคารทั่วไป สหกรณ์ กองทุนหมู่บ้าน กองทุนในชุมชน หากต่างคนต่างทำ จะไม่มีทางแก้ได้ เช่น เมื่อต้องจ่ายหนี้ ธกส. ผู้คนก็ไปกู้จากแหล่งอื่นมาจ่าย ดังนั้น ถ้าไม่มีการสร้างระบบที่เชื่อมโยงกันและเข้าใจว่าสถาบันการเงินต่างๆ ต้องมีบทบาทตรงไหน จะยากมากที่จะแก้ปัญหาหนี้ได้อย่างยั่งยืน”
สำหรับข้อเสนอแนะในประเด็นการแก้ปัญหาหนี้ในเด็กและเยาวชน วรดรชี้ว่า “ผู้กำหนดนโยบายและสังคมต้องเข้าใจภาวะความเป็นจริงของหนี้ในชีวิตคนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางมากกว่าเดิม หนี้ไม่ใช่แค่การกู้เงินแล้วจบไป แต่มีมิติทางสังคมวัฒนธรรมที่รายรอบอยู่ มันเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ในสังคม ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในชุมชน เราอาจจำเป็นต้องเข้าใจหนี้มากกว่านี้ก่อนจะตอบคำถาม(เชิงนโยบาย)ทั้งหมด และเราอาจจะต้องกล้าจินตนาการถึงหนี้ไปไกลกว่านี้เช่นกัน”
วรดรกล่าวว่าภาวะหนี้ครัวเรือนเกิดขึ้นหลายแห่งในโลก ดังนั้นอาจไม่ใช่ความผิดของแต่ละครัวเรือนที่มีวินัยทางการเงินไม่มากพอ แต่อาจสะท้อนความป่วยไข้ ความล้มเหลวของโครงสร้างสังคม
“เรามีความสัมพันธ์ด้านการผลิตและรายได้ที่เปลี่ยนแปลงไป ความต้องการทางเศรษฐกิจสังคมก็เปลี่ยนแปลงตาม แต่สิทธิทางเศรษฐกิจสังคมที่รัฐคุ้มครองให้เรานั้นไล่ตามความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน หนี้สะท้อนความล้มเหลวของรัฐในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนทางเศรษฐกิจและสังคมของมนุษย์”
สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย วรดรกล่าวถึงสวัสดิการทางสังคมว่า “หากเราเชื่อว่าเด็กและเยาวชนควรเติบโตอย่างเสมอภาค ถ้าจะแข่งขันก็ควรแข่งกันตามความสามารถ (merit based) แต่การแข่งขันตามความสามารถจะได้ผล หากว่าทุกคนออกวิ่งในจุดสตาร์ตที่ราบเรียบเสมอกัน และสิ่งที่จะช่วยได้คือการมีสวัสดิการเด็กและเยาวชนที่ทำให้พวกเขาเติบโตได้โดยไม่ติดกับดักว่าที่บ้านมีหนี้หรือเปล่า และสุดท้ายจะต้องรับชะตากรรมแบบนั้นชั่วชีวิตหรือไม่ โดยสวัสดิการนี้อาจเป็นได้ตั้งแต่เงินอุดหนุนเด็กเล็ก และการทำให้ต้นทุนการเข้าถึงการศึกษาต่ำลงที่สุด กระจายทุกพื้นที่ รวมไปถึงบริการสาธารณะอื่นๆ ด้วยเช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคคือระบบราชการและภาครัฐ และประเด็นเชิงโครงสร้างอย่างระบบการเมือง ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ วรดรกล่าวว่า “การขยายตัวของรัฐสวัสดิการในสังคมไทย เชื่อมโยงกับการมีประชาธิปไตยเสมอ แต่พัฒนาการของประชาธิปไตยยังคงติดๆ ขัดๆ มีความไม่เป็นประชาธิปไตย มีรัฐประหารเรื่อยๆ”
วรดรอธิบายว่าเมื่อมองย้อนกลับไป จะเห็นว่าสวัสดิการที่ก้าวหน้า เช่น ประกันสังคม เบี้ยผู้สูงอายุ มักเกิดขึ้นในสมัยที่ประเทศมีประชาธิปไตย มีระบบรัฐสภารองรับ ในทางกลับกัน เมื่อมีการกดปราบการมีส่วนร่วมของประชาชน มีความไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งอาจรวมถึงกลุ่มทุนสามารถยึดกุมอำนาจรัฐได้ ก็จะทำให้มาตรการที่จะนำไปสู่การกระจายความมั่งคั่งในสังคมไทยเกิดขึ้นได้ยาก
“ในสังคมไทย แนวคิดกระแสหลักยังมองความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องของปัจเจก ไม่ได้มองว่าเป็นผลกระทบของโครงสร้างที่ใหญ่กว่านั้น ที่องค์กรหรือสถาบันทางสังคม เช่น รัฐ จะต้องมีบทบาทในการแก้ไขร่วมกัน” วรดรทิ้งท้าย