ประเด็นสำคัญ
- กัมพูชากำลังขยับตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและหลากหลายมากขึ้น สัดส่วนการลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment: FDI) จากประเทศสำคัญมีสัดส่วนลดลงอย่างมากต่อกัมพูชา รวมถึงประเทศไทยที่ลดลงจาก 7.9% ในปี 2554 เหลือเพียง 4.5% ในปี 2567
- ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกัมพูชา-จีนมีความแน่นแฟ้นมากขึ้น จีนเป็นแหล่งความช่วยเหลือหลักของกัมพูชากว่าครึ่งหนึ่ง และนำเข้ายุทโธปกรณ์จากจีนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามากกว่า 75% ส่งผลให้ ‘ราคาความขัดแย้ง’ กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- หลังการปิดด่านผ่านแดน หอการค้าชายแดนจังหวัดประเมินว่าเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ประมาณ 0.06–0.4% โดยผลกระทบเหล่านี้กระจุกตัวกับธุรกิจและประชาชนในพื้นที่ชายแดนเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีผลกระทบด้านจิตใจ ความวิตกกังวล และความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิตประจำวัน
- รัฐบาลของทั้งสองประเทศ ควรให้ความสำคัญกับการ 'ลดระดับความรุนแรง' (de-escalation) อย่างจริงจัง และควรมียุทธศาสตร์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ชัดเจนมากขึ้นเพื่อสร้าง ‘ความร่วมมือ’ แทน ‘ความเปราะบาง’
ความขัดแย้งตามแนวพรมแดนระหว่างไทย–กัมพูชากลับมาปะทุอีกครั้งหลังปี 2554 โดยมีจุดน่าสนใจอยู่ที่ท่าทีของกัมพูชาที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะท่าทีที่แข็งกร้าวต่อกลุ่มพรรคเพื่อไทย ซึ่งในอดีตเคยเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกันมาตลอดช่วงวิกฤตการเมืองไทยนับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา
จนวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 มีรายงานข่าวบนสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับการเริ่มต้นโจมตีจากฝั่งกัมพูชา ซึ่งเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่รัฐบาลไทยลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและเศรษฐกิจโดยไม่จำเป็น
101 PUB ชวนคิดจากมุมมองเศรษฐศาสตร์การเมืองว่า เหตุใดท่าทีของกัมพูชาในความขัดแย้งระลอกใหม่จึงดูขึงขังและแตกต่างจากสถานการณ์เมื่อปี 2554? โดยชี้ให้เห็นถึง ‘ราคาความขัดแย้ง’ ที่ลดลงสำหรับกัมพูชา ภายใต้บริบทของโลกาภิวัตน์และการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในระดับโลกที่เข้มข้นขึ้น
ถึงจะเกิดความรุนแรงขึ้น แต่ไทยและกัมพูชาก็จะยังต้องเป็นประเทศเพื่อนบ้านกันต่อไป ดังนั้น จึงต้องกลับมาคิดใหม่เรื่องนโยบายการต่างประเทศอย่างมียุทธศาสตร์และมองไกลกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อลดความสูญเสียและสร้างผลประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว
ข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา จากปี 2554 ถึงปัจจุบัน
นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชากลับมารุนแรงอีกครั้งในปี 2551 เมื่อองค์การยูเนสโกประกาศให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกตามคำขอของกัมพูชา การตัดสินใจครั้งนี้จุดกระแสชาตินิยมในทั้งสองประเทศ และนำไปสู่การปะทะกันของกองทัพไทยและกัมพูชาหลายครั้ง
ต้นปี 2553 เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติเริ่มจัดการชุมนุมต่อเนื่องบริเวณแนวชายแดน และในช่วงปลายปี แกนนำอย่างวีระ สมความคิด พร้อมพวกอีก 6 คน ถูกจับกุมในพื้นที่ชายแดน เหตุการณ์นี้กลายเป็นประเด็นที่ประชาชนไทยจำนวนมากเรียกร้องให้รัฐบาลไทยกดดันรัฐบาลกัมพูชาให้ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุม
ปี 2554 ถือเป็นช่วงที่สถานการณ์ตึงเครียดสูงสุด เมื่อมีการปะทะกันหลายครั้งตลอดแนวชายแดน และความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็อยู่ในภาวะตึงเครียดที่สุดในรอบสามสิบปี ทั้งในแง่ของระยะเวลาและความถี่ของเหตุการณ์ ตามที่เห็นได้ในภาพที่ 1
ท้ายที่สุด เหตุการณ์ในปีนั้นก็ถูกยกเข้าสู่การพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ตามคำร้องของรัฐบาลกัมพูชา โดยคณะมนตรีฯ มอบหมายให้อาเซียน ซึ่งอินโดนีเซียเป็นประธานในขณะนั้น เข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจา ขณะเดียวกัน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมีท่าทีเป็นมิตรต่อผู้นำกัมพูชากว่ารัฐบาลชุดก่อนหน้า ก็มีบทบาทช่วยลดความตึงเครียดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ สถานการณ์จึงเริ่มคลี่คลายตั้งแต่กลางปี 2554 เป็นต้นมา และค่อยๆ สงบลงเรื่อยๆ จนถึงพฤษภาคม 2568[1]International Crisis Group. “แสวงหาสันติภาพ: อาเซียนกับกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา” 2554. https://www.crisisgroup.org/sites/default/files/215-waging-peace-asean-and-the-thai-cambodian-border-conflict-thai.pdf
ภาพที่ 1 ดัชนีความรุนแรงทางการเมืองกัมพูชา และจำนวนข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา

ที่มา: https://conflictforecast.org/, Correlates of War, ประมวลผลและเพิ่มข้อมูลในปี 2568 โดย 101 PUB
ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชารอบล่าสุด เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 จากการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่ายในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งยังไม่มีการแบ่งเขตแดนอย่างชัดเจน โดยกัมพูชาอ้างว่าทหารของตนเสียชีวิต 1 นายจากเหตุการณ์ครั้งนี้
หลังเหตุปะทะ ผู้นำทั้งสองประเทศต่างแสดงท่าทีผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยฝ่ายไทยดูเหมือนจะพยายามประคับประคองสถานการณ์ผ่านความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำ ขณะที่กัมพูชากลับแสดงออกอย่างชัดเจน แข็งกร้าว และมีท่าทีที่เป็นเอกภาพมากกว่า
อย่างในวันที่ 29 พฤษภาคม เพียงหนึ่งวันหลังเหตุการณ์ นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ของกัมพูชาแถลงว่าไม่ต้องการให้เรื่องนี้บานปลาย แต่ก็จะไม่ถอนกำลังออกจากพื้นที่ และจะใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ ไม่ว่าจะผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) หรือช่องทางอื่น ซึ่งต่อมาในวันที่ 31 พฤษภาคม กัมพูชาแถลงว่าจะยื่นกรณีพิพาทใน 4 พื้นที่ต่อศาลโลก ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มอมเบ และในวันถัดมา สภากัมพูชาก็ได้ลงมติอนุมัติให้ดำเนินการตามแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ[2]ThaiPBS. “สรุปไทม์ไลน์ไทย-กัมพูชา จากปะทะช่องบก ไร้ทางออกบนเวที JBC สู่ฟ้องศาลโลก” 17 มิถุนายน 2568. https://www.thaipbs.or.th/news/content/353284
นักวิเคราะห์การเมืองมองว่าท่าทีของกัมพูชานั้นดูเหมือนเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ โดยมองว่าความขัดแย้งครั้งนี้ รวมถึงหลายครั้งที่ผ่านมา อาจสะท้อนพลวัตทางการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะความพยายามสร้างคะแนนนิยมให้กับผู้นำรัฐบาลใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง[3]โดยในขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยเองก็ตกอยู่ภายใต้บริบทของรัฐบาลผสมนำโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งอำนาจนำของรัฐบาลดูเหมือนจะถูกตั้งคำถาม … Continue reading
นอกเหนือจากคำอธิบายเชิงการเมืองข้างต้น ยังมีกรอบวิเคราะห์อื่นที่สามารถช่วยทำความเข้าใจความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาได้ โดยเฉพาะในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมายาวนาน งานชิ้นนี้ต้องการชวนมองคำอธิบายเพิ่มเติม โดยเน้นบริบทของโลกาภิวัตน์ยุคใหม่และการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความเข้มข้นในระดับโลก ซึ่งชวนให้เห็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรมในการลดโอกาสความขัดแย้งที่อาจจะปะทุขึ้นอีกในอนาคต
โลกาภิวัตน์กับสันติภาพโลก: หรือนี่คือ ‘Peace for our time‘
โลกาภิวัตน์ผ่านความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ได้กลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการรักษาสันติภาพและลดความขัดแย้งระหว่างประเทศ นับตั้งแต่การก่อตัวของระเบียบโลกยุคใหม่หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ความร่วมมือในลักษณะนี้มีให้เห็นในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแผนมาร์แชล (Marshall Plan) ที่สหรัฐฯ ใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจยุโรปหลังสงคราม การก่อตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรป (European Coal and Steel Community – ECSC) ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นสหภาพยุโรป การวางระบบการค้าระหว่างประเทศที่นำไปสู่การจัดตั้งองค์การการค้าโลก (WTO) การให้ความช่วยเหลือทางการเงินในยามวิกฤตผ่านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รวมถึงการสนับสนุนด้านการเงินแก่ประเทศกำลังพัฒนาเพื่อบรรเทาปัญหาความยากจนผ่านกลุ่มธนาคารโลก (The World Bank Group)
แนวคิดที่ว่า ‘ความร่วมมือทางเศรษฐกิจสามารถสร้างสันติภาพ’ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะถูกหยิบยกขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่สหรัฐฯ จะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างเป็นทางการ โดยประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ แห่งสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิล แห่งสหราชอาณาจักร ได้กล่าวถึงหลักการนี้ไว้ในกฎบัตรแอตแลนติก (Atlantic Charter)[4]Wolff, A. W. (2015). Can Trade Aid in Bringing Peace?. Trade for Peace, 67. https://www.wto.org/english/res_e/booksp_e/pathways_sustainable_tfp_ch05_e.pdf
แนวคิดเรื่องการใช้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อธำรงสันติภาพ ยังคงได้รับการสืบทอดและตอกย้ำในหลายช่วงเวลา หนึ่งในตัวอย่างสำคัญคือการสนับสนุนให้จีนเข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2544 ซึ่งในสุนทรพจน์อันโด่งดังของประธานาธิบดีบิล คลินตัน ได้แสดงความคาดหวังว่า ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นขึ้นกับจีนจะช่วยส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก[5]“ถ้าคุณเชื่อมั่นในอนาคตที่เปิดกว้างและเสรีมากขึ้นสำหรับประชาชนชาวจีน คุณควรสนับสนุนข้อตกลงนี้ … Continue reading
หลายปีต่อมา แนวคิดนี้ยังคงถูกกล่าวถึงอีกครั้งในเวทีสำคัญระดับนานาชาติ เช่น สุนทรพจน์เปิดการประชุมข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ปี 2560 โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เน้นย้ำถึงบทบาทของความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในการสร้างความมั่นคงและพัฒนาร่วมกันในระดับโลก[6]“…เราควรสร้างโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางให้เป็นเส้นทางที่นำไปสู่สันติภาพ เส้นทางสายไหมในอดีตเคยรุ่งเรืองในห้วงเวลาแห่งสันติ … Continue reading
แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงระเบียบโลกยุคใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเอื้อต่อการเปิดรับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน หรือความช่วยเหลือทางการเงิน โดยเฉพาะผ่านองค์กรระหว่างประเทศ ที่มักกำหนดเงื่อนไขให้ประเทศที่รับความช่วยเหลือต้องดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางการค้าและการเงิน
กล่าวได้ว่า โลกาภิวัตน์ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เชื่อมโยงชีวิตของผู้คนในแต่ละประเทศเข้าหากันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ พร้อมกันนั้น โลกยังอยู่ในภาวะสันติภาพยาวนานที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ (ดูภาพที่ 2)[7]ข้อมูลก่อนสงครามรัสเซียและยูเครนในปี 2014
ภาพที่ 2 จำนวนผู้เสียชีวิตจากความขัดแย้ง

ที่มา: Our World in Data
รูปแบบสงครามระหว่างประเทศเปลี่ยนไป: ประเทศขัดแย้งกับเพื่อนบ้านมากขึ้น
แม้โดยรวมแล้ว โลกจะดูสงบขึ้นหลังทศวรรษ 1980 แต่สงครามระหว่างประเทศก็ยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ในหลายพื้นที่ของโลก เช่น ความขัดแย้งระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน สงครามในอัฟกานิสถาน หรือสงครามเอริเทรีย-เอธิโอเปีย
รูปแบบของสงครามระหว่างประเทศในยุคโลกาภิวัตน์จึงมีหน้าตาเปลี่ยนไป โดยมีแนวโน้มจะกลายเป็นสงครามในระดับภูมิภาค หรือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ดังภาพที่ 3 ที่แสดงให้เห็นว่าระยะทางเฉลี่ยระหว่างประเทศที่มีความขัดแย้งทางทหารนั้นลดลงเรื่อยๆ พูดอีกแบบก็คือ ในยุคที่โลกาภิวัตน์กำลังเบ่งบาน ความขัดแย้งก็ยิ่งใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนเข้ามาเคาะถึงหน้าบ้านเลยทีเดียว[8]Martin, Philippe, Thierry Mayer, and Mathias Thoenig. “Make trade not war?.” The Review of Economic Studies 75.3 (2008): 865-900.
ภาพที่ 3 ค่าเฉลี่ยระยะทางระหว่างประเทศคู่สงคราม

ที่มา: บทความ Make Trade Not War? โดย Martin, Mayer, and Thoenig (2008)
โลกาภิวัตน์สมัยใหม่ช่วยให้ประเทศ ‘เปิด’ กับโลกมากขึ้น แต่ ‘ปิด’ กับเพื่อนบ้าน
โลกาภิวัตน์ยุคใหม่ที่มาในรูปแบบของการค้าและการลงทุนไม่ได้ส่งผลให้เกิดสันติภาพอย่างตรงไปตรงมาอย่างที่ผู้นำประเทศมหาอำนาจหลายคนเคยคาดหวังไว้
ในมุมมองของเศรษฐศาสตร์การเมือง งานของ Martin, Mayer, และ Thoenig (2008) เสนอว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศมี ‘ราคา’ ที่ต้องจ่าย ไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่ายทางทหารเท่านั้น แต่รวมถึงการสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ประเทศคู่ขัดแย้งเคยมีร่วมกันด้วย และยิ่งประเทศไหนมีราคาในการเข้าสู่สงครามต่ำ โอกาสที่จะเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งก็ยิ่งสูงขึ้น[9]Martin, Philippe, Thierry Mayer, and Mathias Thoenig. “The geography of conflicts and regional trade agreements.” American Economic Journal: Macroeconomics 4.4 (2012): 1-35.
คำถามสำคัญคือ โลกาภิวัตน์ส่งผลต่อ ‘ราคาของความขัดแย้ง’ อย่างไร?
เมื่อแนวคิดการค้าแบบพหุภาคีแพร่กระจายมากขึ้น ประเทศต่างๆ ก็เริ่มมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศที่หลากหลายมากขึ้น แทนที่จะพึ่งพาการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านหรือในภูมิภาคใกล้เคียงเท่านั้น ประกอบกับเทคโนโลยีการขนส่งที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้การค้ากับประเทศที่อยู่ไกลออกไปเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายและคุ้มค่ามากขึ้น ผลลัพธ์ก็คือ แต่ละประเทศมีทางเลือกทางเศรษฐกิจมากขึ้น มีคู่ค้าที่หลากหลายมากขึ้น และมีช่องทางรับความช่วยเหลือจากทั่วโลกมากขึ้น ประเทศเพื่อนบ้านเริ่มพึ่งพากันทางเศรษฐกิจน้อยลง
ในระเบียบโลกาภิวัตน์ใหม่นี้ ประเทศต่างๆ จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเพื่อนบ้านมากเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นความขัดแย้ง เช่นในเรื่องเขตแดน จึงมีแนวโน้มปะทุขึ้นได้ง่ายกว่าเดิม เพราะราคาที่ต้องจ่ายดูจะไม่สูงเท่าในอดีตอีกต่อไป
ข้อมูลความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-กัมพูชาบอกอะไรเกี่ยวกับราคาความขัดแย้งต่อไทยที่เกิดขึ้นกับกัมพูชา
หลังจากที่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างโลกาภิวัตน์สมัยใหม่ในมิติของการค้าและการลงทุน และผลที่มีต่อแนวโน้มความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านในภาพรวมไปแล้ว ส่วนนี้จะชวนมามองใกล้ขึ้น โดยนำกรอบความคิดดังกล่าวมาใช้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและกัมพูชาว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา
เป้าหมายก็เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า ‘ราคาของความขัดแย้ง’ สำหรับกัมพูชาในกรณีที่เกิดข้อพิพาทกับไทยนั้นมีหน้าตาอย่างไร และเปลี่ยนไปเพียงใด เพื่อเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการทำความเข้าใจว่าทำไมท่าทีของกัมพูชาดูจะแข็งกร้าว ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และมีลักษณะเป็นระบบ ในความขัดแย้งรอบล่าสุด
เศรษฐกิจกัมพูชาพึ่งพิงไทย (และเวียดนาม) น้อยลงอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงปี 2554
หากมองจากมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็ต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศเติบโตขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา มูลค่าการส่งออกสินค้าจากไทยไปยังกัมพูชาเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าในช่วงเวลาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเดียวกัน เศรษฐกิจกัมพูชาเองก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีความเชื่อมโยงทางการค้าและการลงทุนกับประเทศอื่นๆ มากขึ้นเช่นกัน เพราะฉะนั้น การจะบอกว่าไทยยังคงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจกัมพูชามากน้อยแค่ไหน คงไม่สามารถดูจากตัวเลขมูลค่าโดยรวมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณา ‘สัดส่วนความสำคัญ’ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่มีบทบาทต่อกัมพูชาด้วย
จากข้อมูลด้านนี้เราจะเห็นว่า สัดส่วนการลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment: FDI) จากไทยในกัมพูชาลดลงอย่างชัดเจน จาก 7.9% ในปี 2554 เหลือเพียง 4.5% ในปี 2567 ขณะที่ประเทศจากเอเชียตะวันออก เช่น เกาหลีใต้และญี่ปุ่น กลับมีบทบาททางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ส่วนจีนและเวียดนาม แม้มูลค่าการลงทุนจะเพิ่มขึ้นมาก แต่เมื่อคิดเป็นสัดส่วนแล้ว ก็ลดลงในลักษณะเดียวกับไทย ซึ่งสะท้อนว่ากัมพูชากำลังขยับตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและหลากหลายมากขึ้น
ในด้านพลังงาน แม้กัมพูชาจะนำเข้าพลังงานฟอสซิลเพิ่มขึ้นถึง 70% จากปี 2554 แต่สัดส่วนการพึ่งพิงแหล่งพลังงานจากไทยก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก และเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความพยายามของกัมพูชาในการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพิงเวียดนามมากเกินไป โดยหันไปเพิ่มการนำเข้าจากแหล่งอื่น เช่น อินโดนีเซียและลาว ทำให้แม้ไทยอาจมีบทบาทเพิ่มขึ้นบ้างในฐานะผู้จัดหาพลังงาน แต่ในภาพรวมแล้ว กัมพูชาสามารถกระจายการพึ่งพาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ แม้ไทยจะเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 3 ของกัมพูชาในแง่มูลค่าการนำเข้าสินค้า รองจากจีนและเวียดนาม แต่สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปยังกัมพูชากลับเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (คิดเป็นสัดส่วนราว 50% ในปี 2565) และพลังงาน (ราว 28%) ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการแข่งขันสูง และสามารถหาทดแทนได้ไม่ยากในตลาดโลก[10]WITS. “Cambodia Product Imports from Thailand 2022.” https://wits.worldbank.org/CountryProfile/en/Country/KHM/Year/2022/TradeFlow/Import/Partner/THA/Product/All-Groups และ ฮุน มาเนต ประกาศงดนำเข้าสินค้าด้านพลังงานจากไทย อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Aljazeera. … Continue reading

ในด้านการส่งออกสินค้า ประเทศไทยเองก็ไม่ได้เป็นตลาดส่งออกหลักของกัมพูชา โดยในปี 2565 คู่ค้าสำคัญของกัมพูชารายใหญ่อันดับหนึ่งคือสหรัฐอเมริกา (43%) รองลงมาคือจีน ญี่ปุ่น แคนาดา และประเทศในสหภาพยุโรป ที่มีสัดส่วนส่งออกใกล้เคียงกัน (5-6%) โดยไทยนับเป็นตลาดส่งออกที่อันดับที่ 12 (2%) เป็นรองประเทศเวียดนาม[11]ข้อมูล Comtrade ประมวลผลโดย World Integrated Trade Solution (WITS). https://wits.worldbank.org/CountryProfile/en/Country/KHM/Year/2022/TradeFlow/Export
รัฐบาลกัมพูชาหันไปพึ่งพิงจีนมากขึ้น
นอกจากการลดการพึ่งพาการลงทุนจากไทย และการกระจายแหล่งนำเข้าพลังงานที่หลากหลายมากขึ้น ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกัมพูชากับมหาอำนาจตะวันออกอย่างจีนก็มีความแน่นแฟ้นมากขึ้นด้วย แม้สัดส่วนการลงทุนทางตรงจากจีนในกัมพูชาจะดูเหมือนลดลงตามข้อมูลทางการ แต่ก็อาจต้องตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ตัวเลขเหล่านี้อาจไม่รวมการลงทุน ‘นอกระบบ’ เช่น ธุรกิจหลอกลวงทางการเงิน (scam) หรือการฟอกเงินผ่านธุรกิจคาสิโน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีรายงานว่ากระจุกตัวอยู่ในกัมพูชาในช่วงหลัง[12]อ่านตัวอย่างการใช้บริษัทข้ามชาติจากจีนในการลงทุนทางตรงในกัมพูชาที่ BBC. “The shadowy Chinese firms that own chunks of Cambodia.” 25 September 2023. https://www.bbc.com/news/world-asia-66851049 และ … Continue reading
หากพิจารณาด้านเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา ข้อมูลระหว่างปี 2555–2563 (ปีล่าสุดที่มีข้อมูล) ชี้ว่า จีนเป็นแหล่งความช่วยเหลือหลักของกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วนถึง 50% ขณะที่กลุ่มประเทศองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา มีสัดส่วนรวมกันอยู่ที่ประมาณ 32% ส่วนไทยเองส่งความช่วยเหลือคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.3 ของทั้งหมด โดยเน้นไปที่ความร่วมมือทวิภาคีในพื้นที่ชายแดน เช่น ด้านสาธารณสุข ทุนอบรม และทุนการศึกษา[13]กองความร่วมมือระหว่างประเทศ https://tica-thaigov.mfa.go.th/th/content/117030-cambodia
ตัวอย่างโครงการช่วยเหลือจากจีนที่ได้รับความสนใจมากในช่วงหลังคือ ‘โครงการคลองฟูนัน–เตโช’ ซึ่งเป็นการขุดคลองจากแม่น้ำโขงจากตอนใต้ของกรุงพนมเปญไปสู่อ่าวไทย โดยไม่ต้องพึ่งเส้นทางผ่านเวียดนาม มีมูลค่าลงทุนราว 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 5% ของ GDP กัมพูชา แม้โครงการนี้จะถูกนำเสนอว่าเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเศรษฐกิจของกัมพูชา แต่ก็มีการวิเคราะห์ว่ามีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์สำหรับจีนด้วย เพราะเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่เชื่อมต่อจากจีนสู่ทะเลจีนใต้และช่องแคบมะละกา โดยปลายทางของคลองนี้อยู่ใกล้ฐานทัพเรือเรียม ที่จีนมีบทบาทสำคัญในการลงทุนและพัฒนา และมีรายงานว่ามีกิจกรรมของกองเรือจีนในพื้นที่ดังกล่าวแล้วด้วย[14]Council on Foreign Relations. “Why Is China Investing In a $1.7 Billion Canal in Cambodia?.” 30 September 2024. https://www.cfr.org/blog/why-china-investing-17-billion-canal-cambodia
ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับกัมพูชาจึงไม่ได้จำกัดแค่เศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังโยงไปถึงประเด็นด้านความมั่นคง โดยกัมพูชาเองก็ได้รับประโยชน์ในมิตินี้เช่นกัน เห็นได้จากสถิติการนำเข้ายุทโธปกรณ์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่า 75% ของมูลค่าอาวุธนำเข้าทั้งหมดมาจากจีน
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชาในปัจจุบัน ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทของโลกาภิวัตน์ยุคใหม่ที่ผสมผสานกับการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะบทบาทของจีนที่มีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ซึ่งทำให้กัมพูชามีแหล่งพึ่งพิงที่หลากหลายและมั่นคงมากขึ้น ส่งผลให้ ‘ราคาความขัดแย้ง’ กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ[15]ตัวอย่างอิทธิพลจีนในปากีสถานเรื่องความมั่นคง ในความขัดแย้งระหว่างปากีสถานและอินเดียจาก CNN. “China has spent billions developing military tech. Conflict between India and Pakistan could be its first major test.” 9 May 2025. … Continue reading

มองมุมกลับ: ราคาความขัดแย้งของไทยดูจะรุนแรงกว่า จากการค้าและการลงทุนเกินดุล
หากมองในมุมกลับว่า ความขัดแย้งระลอกนี้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยอย่างไร ก็จะพบว่ามีกลุ่มผู้ประกอบการ โดยเฉพาะสภาหอการค้าจังหวัดตามแนวชายแดน ออกมาแสดงความกังวลและเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไข หลังได้รับผลกระทบจากการปิดด่านผ่านแดน โดยประเมินกันว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจอยู่ที่ประมาณ 0.06–0.4% โดยยิ่งปิดด่านนานเท่าใด ก็ยิ่งมีความเสียหายรุนแรงขึ้นเท่านั้น[16]ประชาชาติธุรกิจ. “หอการค้าจังหวัดชายแดนประเมินมูลค่าความเสียหายประมาณ 500 ล้านบาทต่อวัน” 28 มิถุนายน 2568. https://www.prachachat.net/local-economy/news-1836404

แม้ตัวเลขความเสียหายโดยรวมอาจดูไม่มากนัก และอาจไม่มีผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรงในระยะสั้น แต่ผลกระทบเหล่านี้กระจุกตัวกับธุรกิจในพื้นที่ชายแดนเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินมหาศาลสำหรับพวกเขา และยังมีผลกระจุกกับบางกลุ่มธุรกิจ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ยังต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากฝั่งกัมพูชา รวมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน
ในพื้นที่เหล่านี้ ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงผลกระทบด้านจิตใจ ความวิตกกังวล และความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลรุนแรงในระยะยาว โดยเฉพาะต่อแรงจูงใจในการพัฒนาทุนมนุษย์ และการตัดสินใจลงทุนในภาคส่วนต่างๆ เมื่อความไม่แน่นอนยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง
เพื่อนบ้านที่เลือกกันไม่ได้: เราจะอยู่กันอย่างไร
บทเรียนจากประวัติศาสตร์สอนเราว่า สงครามและความรุนแรงนำมาซึ่งต้นทุนมหาศาลต่อสังคม ทั้งในรูปของชีวิตผู้คนที่สูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน งบประมาณมหาศาลที่ใช้ในสงครามซึ่งแปลว่าการเสียโอกาสในการพัฒนาด้านอื่นๆ ไปโดยปริยาย และผลกระทบระยะยาวต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลทางร่างกายหรือจิตใจ ความหวาดกลัว ความไม่มั่นคง และคุณภาพชีวิตที่ตกต่ำลง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เติบโตท่ามกลางความรุนแรง
ด้วยเหตุนี้ การตัดสินใจเข้าสู่ภาวะสงครามระหว่างประเทศจึงควรเป็นการตัดสินใจร่วมของสังคม ผ่านกระบวนการทางการเมืองที่มีความรับผิดชอบ โปร่งใส และตรวจสอบได้ มากกว่าจะเป็นการตัดสินใจโดยฝ่ายความมั่นคงเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งในระบบการเมืองไทยขณะนี้ยังขาดกลไกที่ชัดเจนในการตรวจสอบและระบุความรับผิดชอบเช่นนั้น
ในทำนองเดียวกัน บทเรียนจากสงครามในอดีตก็แสดงให้เห็นว่า วิธีที่ดีที่สุดในการลดผลกระทบต่อชีวิตผู้คน คือในระยะสั้น ต้องหาทางกลับเข้าสู่ภาวะ ‘หยุดยิง’ โดยเร็วที่สุด เปิดทางให้คู่ขัดแย้งกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา และใช้เครื่องมือทางการทูตในการประคับประคองสภาวะไร้ความรุนแรงให้ยืนยาวที่สุด
เพื่อบรรลุเป้าหมายระยะสั้นดังกล่าว เพื่อลดผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนโดยเร็ว รัฐบาลของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะฝั่งไทย ควรให้ความสำคัญกับการ ‘ลดระดับความรุนแรง’ (de-escalation) อย่างจริงจัง การใช้กำลังทางทหารควรเป็นไปอย่างมียุทธศาสตร์ มีขอบเขตชัดเจน หลีกเลี่ยงการโจมตีพลเรือน เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัวในระดับประชาชน และเลือกใช้ปฏิบัติการที่มีความเหมาะสม ได้สัดส่วน และเพื่อลดโอกาสในการถูกตอบโต้กลับ
แม้สถานการณ์จะใกล้เข้าสู่ระยะก่อนสงคราม แต่เครื่องมือทางการทูตก็ยังเป็นเครื่องมือแนวหน้า กระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงทูตไทยในประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ จีน ฝรั่งเศส ตลอดจนในเวทีองค์การสหประชาชาติ ควรเร่งประสานงาน สื่อสาร และชี้แจงสถานการณ์ เพื่อผลักดันให้เกิดกลไกการเจรจาที่มีประเทศผู้เป็นกลางเข้ามาเป็นตัวกลาง เช่น อาเซียน หรือบทบาทของจีน สหรัฐฯ และฝรั่งเศส ในการร่วมออกแบบและกำกับกระบวนการเจรจาอย่างเป็นทางการ
ภายในประเทศ รัฐบาลควรมีจุดยืนร่วมและเป็นหนึ่งเดียวในการสื่อสารกับสาธารณชน โดยเฉพาะกับฝ่ายความมั่นคง ควรลดการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการจากผู้ที่ไม่มีหน้าที่ด้านการทูตโดยตรง และระมัดระวังการใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือกระตุ้นความขัดแย้งให้ลุกลามในระดับประชาชนได้ง่าย
เพื่อรักษาสภาวะไร้ความรุนแรงในระยะยาว ความสัมพันธ์ที่เปราะบางกับประเทศเพื่อนบ้าน—ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่ใครก็ไม่สามารถย้ายหนีกันได้—ควรถูกทบทวนอย่างจริงจังว่า หากต้องอยู่ร่วมกันไปอีกนานแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้ควรเป็นไปในลักษณะใด เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบในระยะยาวที่อาจเกิดจากความไม่แน่นอนและความรุนแรง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่บั่นทอนทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของผู้คนในทั้งสองประเทศ
ประเทศไทยควรมียุทธศาสตร์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้บริบทของโลกยุคใหม่ทั้งภาวะโลกาภิวัตน์หดตัวและการแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ไทยได้จัดสรรเงินช่วยเหลือต่างประเทศเฉลี่ยปีละราว 2.4 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่มอบให้ลาว (เกือบ 60%) และกัมพูชา (ราว 12%) การจัดสรรทรัพยากรเหล่านี้ควรมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อสร้าง ‘ความร่วมมือ’ แทน ‘ความเปราะบาง’ และยกระดับต้นทุนของความขัดแย้งให้สูงขึ้นในสายตาของคู่ขัดแย้ง[17]Martin et al. (2008) ได้ใช้ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศและข้อมูลความขัดแย้งทางทหารในการทดสอบเชิงประจักษ์ และพบว่า … Continue reading
ภาพที่ 4 สัดส่วนเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย ช่วงปี 2558-2565

ที่มา: OECD
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศจะกลายเป็นเสมือนเกราะป้องกันไม่ให้ประเด็นชาตินิยมถูกหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยชนชั้นนำของทั้งสองฝ่าย และนี่เองคือหัวใจสำคัญของการสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคอย่างยั่งยืน

↑1 | International Crisis Group. “แสวงหาสันติภาพ: อาเซียนกับกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา” 2554. https://www.crisisgroup.org/sites/default/files/215-waging-peace-asean-and-the-thai-cambodian-border-conflict-thai.pdf |
---|---|
↑2 | ThaiPBS. “สรุปไทม์ไลน์ไทย-กัมพูชา จากปะทะช่องบก ไร้ทางออกบนเวที JBC สู่ฟ้องศาลโลก” 17 มิถุนายน 2568. https://www.thaipbs.or.th/news/content/353284 |
↑3 | โดยในขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยเองก็ตกอยู่ภายใต้บริบทของรัฐบาลผสมนำโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งอำนาจนำของรัฐบาลดูเหมือนจะถูกตั้งคำถาม ความขัดแย้งในครั้งนี้ได้สะท้อนถึงความเปราะบางของรัฐบาลไทย ทั้งในแง่ของอำนาจนำ ความเป็นเอกภาพในการสื่อสาร และศักยภาพในการเจรจาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่สาธารณชนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างหนัก อ่าน สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี. “ทบทวนปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา: สนธิสัญญา เขตแดน และแผนที่.” 10 มิถุนายน 2568. https://www.the101.world/revisiting-thailand-cambodia-dispute/ |
↑4 | Wolff, A. W. (2015). Can Trade Aid in Bringing Peace?. Trade for Peace, 67. https://www.wto.org/english/res_e/booksp_e/pathways_sustainable_tfp_ch05_e.pdf |
↑5 | “ถ้าคุณเชื่อมั่นในอนาคตที่เปิดกว้างและเสรีมากขึ้นสำหรับประชาชนชาวจีน คุณควรสนับสนุนข้อตกลงนี้ ถ้าคุณปรารถนาอนาคตที่มั่งคั่งยิ่งขึ้นสำหรับชาวอเมริกัน คุณต้องสนับสนุนข้อตกลงนี้ และถ้าหากคุณใฝ่ฝันถึงอนาคตที่เปี่ยมด้วยสันติภาพและความมั่นคงทั้งในเอเชียและทั่วโลก คุณยิ่งต้องสนับสนุนข้อตกลงนี้ด้วย นี่คือสิ่งที่ถูกต้องที่เราต้องทำ นี่คือโอกาสทางประวัติศาสตร์ และเป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงของประเทศอเมริกา ผมจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เพื่อโน้มน้าวรัฐสภาและประชาชนชาวอเมริกันให้สนับสนุนมัน และวันนี้ ผมขอแรงสนับสนุนจากพวกคุณทุกคน” |
↑6 | “…เราควรสร้างโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางให้เป็นเส้นทางที่นำไปสู่สันติภาพ เส้นทางสายไหมในอดีตเคยรุ่งเรืองในห้วงเวลาแห่งสันติ แต่กลับซบเซาเมื่อเผชิญภาวะสงครามและความขัดแย้ง ฉะนั้น การผลักดันข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางให้ประสบความสำเร็จ จึงต้องตั้งอยู่บนรากฐานของสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างประเทศ เราต้องร่วมกันสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในรูปแบบใหม่ ที่ยึดหลักแห่งความร่วมมือซึ่งทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน และต้องสร้างพื้นที่การเจรจาต่อรองอย่างฉันมิตรระหว่างหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ แทนการเผชิญหน้าในข้อพิพาทระหว่างขั้วพันธมิตรทางการทหาร” http://www.xinhuanet.com/english/2017-05/14/c_136282982.htm |
↑7 | ข้อมูลก่อนสงครามรัสเซียและยูเครนในปี 2014 |
↑8 | Martin, Philippe, Thierry Mayer, and Mathias Thoenig. “Make trade not war?.” The Review of Economic Studies 75.3 (2008): 865-900. |
↑9 | Martin, Philippe, Thierry Mayer, and Mathias Thoenig. “The geography of conflicts and regional trade agreements.” American Economic Journal: Macroeconomics 4.4 (2012): 1-35. |
↑10 | WITS. “Cambodia Product Imports from Thailand 2022.” https://wits.worldbank.org/CountryProfile/en/Country/KHM/Year/2022/TradeFlow/Import/Partner/THA/Product/All-Groups และ ฮุน มาเนต ประกาศงดนำเข้าสินค้าด้านพลังงานจากไทย อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Aljazeera. “Cambodia halts fuel and gas imports from Thailand as crisis simmers.” 22 June 2025. https://www.aljazeera.com/news/2025/6/22/cambodia-halts-fuel-and-gas-imports-from-thailand-as-crisis-simmers |
↑11 | ข้อมูล Comtrade ประมวลผลโดย World Integrated Trade Solution (WITS). https://wits.worldbank.org/CountryProfile/en/Country/KHM/Year/2022/TradeFlow/Export |
↑12 | อ่านตัวอย่างการใช้บริษัทข้ามชาติจากจีนในการลงทุนทางตรงในกัมพูชาที่ BBC. “The shadowy Chinese firms that own chunks of Cambodia.” 25 September 2023. https://www.bbc.com/news/world-asia-66851049 และ อ่านประกาศจากกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐที่ลงโทษชาวจีนในสหรัฐที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจฉ้อโกงทางการเงินในกัมพูชา. 9 June 2025. https://www.justice.gov/opa/pr/five-men-plead-guilty-their-roles-global-digital-asset-investment-scam-conspiracy-resulting |
↑13 | กองความร่วมมือระหว่างประเทศ https://tica-thaigov.mfa.go.th/th/content/117030-cambodia |
↑14 | Council on Foreign Relations. “Why Is China Investing In a $1.7 Billion Canal in Cambodia?.” 30 September 2024. https://www.cfr.org/blog/why-china-investing-17-billion-canal-cambodia |
↑15 | ตัวอย่างอิทธิพลจีนในปากีสถานเรื่องความมั่นคง ในความขัดแย้งระหว่างปากีสถานและอินเดียจาก CNN. “China has spent billions developing military tech. Conflict between India and Pakistan could be its first major test.” 9 May 2025. https://edition.cnn.com/2025/05/09/china/china-military-tech-pakistan-india-conflict-intl-hnk |
↑16 | ประชาชาติธุรกิจ. “หอการค้าจังหวัดชายแดนประเมินมูลค่าความเสียหายประมาณ 500 ล้านบาทต่อวัน” 28 มิถุนายน 2568. https://www.prachachat.net/local-economy/news-1836404 |
↑17 | Martin et al. (2008) ได้ใช้ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศและข้อมูลความขัดแย้งทางทหารในการทดสอบเชิงประจักษ์ และพบว่า การค้าระหว่างสองประเทศที่เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มจะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างกันได้ ในทางกลับกัน หากประเทศต่างๆ หันไปเน้นการค้าแบบพหุภาคีกับหลายประเทศมากขึ้นแทนที่จะพึ่งพาเพื่อนบ้านเดิม ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่เคยมีความขัดแย้งอยู่ก่อนก็อาจมีแนวโน้มที่ความรุนแรงจะปะทุขึ้นมาได้อีกครั้ง |