สำหรับคนไทยจำนวนมาก ‘ระบบยุติธรรม’ ไม่ใช่ระบบที่สามารถยุติข้อพิพาท และลงโทษผู้กระทำผิดด้วยความเป็นธรรม แต่กลับเป็นระบบ ‘ยุติ-ธรรม’ ที่ยุติความเป็นธรรมลงเสียเอง สังคมไทยตกผลึกร่วมกันว่าระบบยุติธรรมไทยมีปัญหาใหญ่อยู่ 5 ด้าน ตั้งแต่ โทษอาญาเฟ้อ การใช้โทษจำคุกล้นเกิน ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงกระบวนการ ยุติธรรมของประชาชน ความไร้ประสิทธิภาพ และคอร์รัปชัน ตลอดกว่าสองทศวรรษของการปฏิรูป เราเชื่อกันว่าการแก้ไขกฎหมายและการร่างกฎหมายใหม่จะนำมาซึ่งระบบที่ยุติธรรมกว่าเดิม แต่ปัญหาเหล่านี้เป็นเพียง ‘ยอดภูเขาน้ำแข็ง’ เท่านั้น ข้อเสนอเชิงเทคนิคกฎหมาย แม้จำเป็น แต่ก็ไม่สามารถปฏิรูปกระบวนยุติธรรมได้จริง ในหลายครั้ง เมื่อข้อเสนอเหล่านี้พุ่งชนกับ ‘ใต้ภูเขาน้ำแข็ง’ ของกระบวนการยุติธรรมไทย ผลลัพธ์ที่ได้กลับแย่ลง ทำไมกฎหมายที่ดีจึงไม่เพียงพอต่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม? และทำไมผู้หวังดีต่อกระบวนการยุติธรรมจึงต่อต้านการเปลี่ยนแปลง? ชวนผู้อ่านสำรวจ ‘ภูเขาน้ำแข็ง’ ของระบบ ‘ยุติ-ธรรม’ ผ่านแว่นตาเศรษฐศาสตร์สถาบัน ทำความเข้าใจปัจจัยที่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างกฎหมายและระเบียบการบริหารงานภาครัฐ และปัจจัยที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร อย่างแนวปฏิบัติ บรรทัดฐานทางสังคม คุณค่า วัฒนธรรม และจารีต เพื่อเริ่มต้นหาคำตอบในการสร้างนิติรัฐนิติธรรมขึ้นในสังคมไทย |

“จากดัชนีหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) ในปี 2024 โดย The World Justice Project (WJP) ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 78 จาก 142 ประเทศ และเป็นอันดับที่ 10 จาก 15 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยมีปัจจัยเรื่องกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นตัวชี้วัดที่ประเทศไทยได้คะแนนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยโลกและค่าเฉลี่ยในระดับภูมิภาคค่อนข้างมาก
การศึกษาขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) แสดงให้เห็นว่าอาชญากรรมและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในปี 2022 สร้างความสูญเสียในหลายมิติ ทั้งต่อผู้เสียหาย รัฐ และต่อสังคมภาพรวม คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 9.78 แสนล้านบาท หรือ 5.6% ของ GDP
ความท้าทายของปัญหาที่มีความซับซ้อนข้างต้นชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่เชื่อมโยงกับทุกภาคส่วนในวงกว้าง ทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคม อีกทั้งสะท้อนว่าการขับเคลื่อนการปฏิรูปผ่านการแก้ปัญหาในกฎกติกาบางส่วนในระบบอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะปัจจัยเชิงสถาบันทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการกำลังทำงานอยู่เบื้องลึกซึ่งส่งผลต่อตัวอักษรในบทกฎหมายและการตีความนำไปใช้ จึงมีความจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจถึงเหตุปัจจัยเชิงสถาบันที่อยู่เบื้องหลังและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นระบบและรอบด้าน”
บางส่วนจาก ‘คำนิยม’ โดย ดร.พิเศษ สอาดเย็น
ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย
“งานชิ้นนี้ศึกษาภูเขาน้ำแข็งของระบบ ‘ยุติ-ธรรม’ โดยทำความเข้าใจปัญหาบนยอดภูเขา และใช้กรอบเศรษฐศาสตร์สถาบัน ขุดลึกลงไปดูปัจจัยใต้ภูเขาน้ำแข็ง ทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งกระทบต่อแรงจูงใจ การตัดสินใจ และปฏิสัมพันธ์ในระบบยุติธรรม โดยวิธีการค้นคว้าเชิงเอกสาร การสำรวจตัวบทกฎหมาย และการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิรูป พร้อมทั้งหาความเชื่อมโยงของปัจจัยเชิงสถาบันและปัจจัยอื่นๆ นอกจากนี้ การศึกษานี้ยังได้รวบรวมข้อมูลเพื่อระบุขนาดของปัญหาและผลกระทบต่อเศรษฐกิจสังคม เพื่อให้ฉายภาพปัญหาได้ลึก รอบด้าน และเป็นระบบ
กรอบการวิเคราะห์นี้ถูกผสมผสานเข้ากับกระบวนการยุติธรรมของไทยในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่ขั้นการยื่นฟ้องคดี ขั้นระหว่างการสอบสวนและพิจารณาคดี และขั้นหลังการพิพากษาคดี ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมปัญหาตลอดกระบวนการ อย่างการใช้โทษอย่างไม่ได้สัดส่วน ความเหลื่อมล้ำ ความไม่ชอบธรรมในการดำเนินคดี ตลอดจนปัญหาคอร์รัปชันและความไม่มีประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม และเห็นปัจจัยเชิงสถาบันที่ทำให้ปัญหาเกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้มาอย่างยาวนาน ทั้งปัจจัยเชิงสถาบันในเบื้องต้น เช่น ตัวบทกฎหมาย ช่องว่างทางกฎหมายที่เปิดให้ใช้วิจารณญาณ ระบบการบริหารจัดการ ระบบตรวจสอบติดตาม ตลอดจนปัจจัยเชิงสถาบันในเบื้องลึก อาทิ เศรษฐศาสตร์การเมืองของผู้อำนวยความยุติธรรม วัฒนธรรม ความไว้เนื้อเชื่อใจ ตลอดจนบรรทัดฐานทางสังคมและแนวคิดต่อความเป็นธรรมแบบไทยๆ”
บางส่วนจาก ‘คำนำ’ โดย ฉัตร คำแสง
ผู้อำนวยการ 101 Public Policy Think Tank (101 PUB)
สนับสนุนการทำวิจัยและจัดพิมพ์หนังสือโดย สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ)